(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้พระเจ้าทรงกำหนดสร้าง
ให้เป็นดาวแห่ง #ทางเลือกเสรี ของมนุษย์
ซึ่งแตกต่างจากดาวดวงอื่นในอนันตจักรวาล
มนุษย์จึงมีทางเลือกที่หลายหลากมากมาย
ที่แต่ละคนจะตัดสินใจ “เลือก” หรือ “ไม่เลือก”
ในการนึกคิดพูดทำรับไม่รับแต่ละสิ่งได้เอง
ด้วย #จิตสามนึกจากจิตตปัญญา ของตนได้
ไม่ต้องให้ใครบังคับข่มขืนฝืนจิตใจให้ทำตาม
ไม่ต้องให้ใครคอย “จูงจมูก” เพื่อให้คล้อยตาม
พระเจ้าจึงทรงติดตั้งพลังอำนาจทางจิตปัญญา
เอาไว้ให้มนุษย์โลกแต่ละคนเรียนรู้และฝึกฝน
ในการใช้พลังอำนาจทั้งสองอย่างที่ตนมีอยู่นั้น
โดยทุกคนจะต้องเข้าถึงมันให้ได้ตั้งแต่วัยเด็ก
เพราะทุกการตัดสินใจเลือกไม่เลือกในชีวิตคุณ
ต้องใช้พลังอำนาจของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
กับอำนาจทางปัญญาของสมองของตนเท่านั้น
เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมต่างๆในการดำเนินชีวิต
จากมโนกรรมวจีกรรมและกายกรรมตามลำดับ
การสั่นสะเทือนในสองมิติพร้อมกันครบลูปนี้
รวมเรียกว่า #การสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
พวกคุณจะเห็นได้ว่าเราใช้คำสองคำ
โดยนำเอามาเชื่อมต่อกันจนเป็นคำเดียวสั้นๆ
เริ่มต้นจากคำว่า “จิตตปัญญา”
ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “จิตสามนึก” นั่นเอง
คำว่า “จิตตปัญญา” ในที่นี้เราหมายถึง
อำนาจขั้นพื้นฐานที่พระเจ้าทรงติดตั้งไว้ให้คุณ
ได้ใช้มันเพื่อสร้างทักษะในการดำเนินชีวิต
ในบทบาท #คนสองมิติ เพื่อการหมุนธรรมจักร
ทั้งภายในตนเองและหมุนร่วมกันกับคนอื่นๆ
ด้วยอำนาจของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ที่มีอยู่
โดยอำนาจของจิตหยาบก็คือพลังฌานของจิต
ที่ได้จากการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยรักบริสุทธิ์
ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูงมาก
แน่นอนว่าจิตมนุษย์จะเข้าถึงความรักบริสุทธิ์ได้
สภาวะจิตหยาบในขณะนั้นต้องเข้าถึงความสงบ
คือว่างจากกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะทุกสิ่ง
โดยจะต้องว่างจากสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงด้วย
รักบริสุทธิ์คือรักเพื่อให้มิใช่รักเพื่อเอาแบบที่ว่านี้
คุณจึงจะสามารถสั่นสะเทือนเพื่อเข้าถึงมันได้
เนื่องจากจิตหยาบของคุณมันจะสั่นได้ทีละเรื่อง
สั่นสะเทือนได้ทีละอารมณ์สั่นได้ทีละความรู้สึก
รวมทั้งการนึกคิดก็จะนึกคิดได้ทีละเรื่องเท่านั้น
นี่เป็นคุณสมบัติของจิตหยาบของมนุษย์ทุกคน
ที่คุณจะต้องเรียนรู้เอาไว้เพื่อฉลาดใช้มันให้เป็น
ถ้าคุณใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึก
เพื่อนึกคิดพูดหรือกระทำอะไรพร้อมกันหลายสิ่ง
คุณจะเกิดอาการเครียดทางประสาทคือปวดหัว
มึนหัวจะเกิดอาการประสาทเครียดลงกระเพาะ
กินอาหารไม่ได้คล้ายจะอาเจียนจนนอนไม่หลับ
ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการเครียดทางประสาท
อันเกิดจากการใช้จิตตปัญญาไม่เป็นทั้งสิ้น
ถ้าคุณมีสภาวะจิตที่ “สุขสงบ”
อันเกิดจากจิตที่ว่างไปจากกิเลสและทุกสิ่งแล้ว
จนคุณสามารถเข้าถึงความอิ่มเอิบเบิกบานได้
จึงจะเป็นสภาวะจิตที่เป็นสุขอันเกิดจากความสงบ
ซึ่งคุณจะต้องฝึกเข้าถึงสภาวะจิตว่างแบบนี้ให้ได้
โดยไม่ต้องนั่งคนเดียวปิดอายตนะอยู่ในที่เปลี่ยว
อันเป็นการปฏิบัติในยามตื่นปฏิบัติตามธรรมชาติ
โดยไม่ต้องมีรูปแบบไม่ต้องมีพิธีรีตองให้ยุ่งยาก
เมื่อฝึกด้วยวิธีธรรมชาติจนเข้าถึงความสงบได้
จิตของคุณก็จะเกิดพลังหรือเกิด “ฌาน” ขึ้นมา
พลังอำนาจของจิตหรือฌานสูงมากเท่าไหร่
มันจะยิ่งเป็นประโยชน์กับคุณมากเท่านั้น
เพราะอำนาจจิตสูงสุดหรือการมีฌานสูงๆนั้น
มันจะทำให้คุณเข้าถึงความรักบริสุทธิ์
ที่เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณของคุณเองได้
ทั้งมันยังจะสั่นสะเทือนเซลล์สมองทั้งสองซีก
ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
เพื่อการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์หรือหยั่งรู้
ด้วยความสงบ ความรักและความฉลาดสูงสุด
ในบทบาทคนสองมิติเพื่อเป็นมนุษย์ที่สมดุลได้
คำว่า “มนุษย์ที่สมดุล” หมายถึง
ผู้ที่ใช้ความรักบริสุทธิ์สั่นสะเทือนขันธ์ห้า
โดยใช้จิตหยาบทำงานร่วมกันกับสมองสองซีก
ด้วยการสนับสนุนของอายตนะภายนอกทั้งห้า
ที่รวมแล้วเรียกว่า “สั่นสะเทือนทางจิตสามนึก”
เพื่อการเป็นมนุษย์ได้อย่างสมภาคภูมิได้แล้ว
ด้วยการปฏิบัติไปตามธรรมชาติในชีวิตจริง
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำก็คือ
เข้าถึง #ธรรมชาติสมาธิ ในชีวิตประจำวันให้ได้
โดยไม่ยึดติดรูปแบบพิธีกรรมที่ถูกอบรมมา
จนทำให้พวกคุณเข้าใจว่ากรรมฐานสมาธิ
เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมในวิเวการามที่ยอดเยี่ยม
ที่มันจะทำให้จิตวิญญาณคุณหลุดพ้นนิพพาน
ด้วยการหายตัวออกไปจากภพภูมิมนุษย์ได้
โดยไม่ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีก
เพราะการปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ
เป็นการปฏิบัติเพื่อตนเองคนเดียวมิใช่เพื่อโลก
เป็นการปฏิบัติเพื่อการข่มจิตให้มันนิ่งสงบไว้
เหมือนกับการเอาแผ่นไม้หนักหนาทับหญ้าไว้
ทำให้ต้นหญ้ามันเติบโตขึ้นมาตามปกติไม่ได้
แต่รากหญ้าที่ฝังตัวอยู่ในดินคือจิตคุณนั้นยังอยู่
คุณเลิกเก็บกดมันเมื่อไหร่คือยกแผ่นไม้ออก
ต้นหญ้านั้นมันก็จะเติบโตงอกงามขึ้นมาอีกครั้ง
“ต้นหญ้าบนแผ่นดิน” ในที่นี้เราหมายถึง
กิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะและสันดานที่ไม่ดี
ซึ่งเป็นคุณสมบัติด้านที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย
มันจะดูเหมือน “สงบได้” เพราะถูกคุณกดมันไว้
ด้วยปฏิบัติการในที่ตั้งเรียกว่า “กรรมฐานสมาธิ”
ขณะที่ตาหูจมูกปากถูกคุณปิดมันไว้จนมิดชิด
เสมือนว่าคุณแสร้งทำตนเป็นคนพิการนั่นเอง
คุณคิดว่าการทำแบบนี้มันผิดธรรมชาติมั้ยล่ะ
หากผิดธรรมชาติจะเรียกว่า “ปฏิบัติธรรม” ไม่ได้
จงอย่าหลงเชื่อว่าการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
มันจะช่วยชำระจิตหยาบคุณให้สะอาดหมดจดได้
จะดับการเกิดดับของกิเลสให้คุณอย่างสิ้นเชิงได้
จะจัดการสันดานที่ไม่ดีในสัญญาขันธ์หมดสิ้นได้
มันเป็นเพียงแค่ปฏิบัติการเพื่อทำให้จิตสงบ
จนเกิดพลังหรือฌานเพื่อนำมันไปใช้กระตุ้นสมอง
ให้เกิดพลังอำนาจทางปัญญาชั่วคราวเท่านั้นเอง
พระพุทธองค์จึงทรงสอนสาวก
ให้เริ่มฝึกปฏิบัติสมถะกรรมฐานให้เกิดฌานก่อน
เมื่อเห็นว่าจิตเริ่มสงบจนเกิดพลังฌานได้บ้างแล้ว
จึงทรงอนุญาตให้ฝึก “วิปัสสนากรรมฐาน” กันต่อ
เพื่อนำพลังอำนาจจิตที่ได้ไปทำงานร่วมกับสมอง
ในการนึกคิดพิจารณาปัญหาที่ต้องการรู้ทีละเรื่อง
โดยสามารถนั่งขบคิดพิจารณาปัญหานั้นต่อเนื่อง
จนกว่าจะบรรลุคำตอบที่ต้องการในประเด็นนั้นๆ
จึงจะสิ้นสุดปฏิบัติการวิปัสสนากรรมฐาน
การนั่งปฏิบัติกรรมฐานทั้งสองขั้นตอนที่ว่านี้
จะทรงใช้เวลาอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่มีกำหนด
จะทรงละเลิกปฏิบัติก็ต่อเมื่อได้คำตอบที่ต้องการ
จะไม่เลิกกลางคันเพราะเบื่อหรือเพราะเมื่อยขบ
พระเจ้าจึงทรงเรียกปฏิบัติการแบบนี้ว่า #มีสมาธิ
จนหลายคนที่ไม่เข้าใจพากันเรียกว่า “นั่งสมาธิ”
นอกจากนั้น
หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่า
ถ้านั่งปฏิบัติกรรมฐานจนชำนาญมากเท่าใด
สภาวะจิตหยาบมันจะยิ่งใสสะอาดมากเท่านั้น
แปลความง่ายๆว่า “สันดานทางจิต” จะดีขึ้นได้
แค่เคร่งครัดปฏิบัติสมถะกรรมฐานขั้นต้นแล้ว
ใครกวนตีนยั่วโมโหมาจะไม่เอาตีนยันกลับไป
ใครอ่อยเหยื่อเย้ายวนมาจะไม่หลงคล้อยตามไป
ซึ่งมันจะเป็นจริงไม่ได้เลยถ้าจิตยังติดกิเลสอยู่
ถ้าสัญญขันธ์มันยังบันทึกนิสัยทางจิตที่ไม่ดีอยู่
พระเจ้าจึงให้เรากล่าวต่อพวกคุณตลอดมาว่า
จงอย่าหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดเลย
เพราะคนนำทางก็ตาบอดคนก้าวตามก็ตาบอด
เหมือนทุกคนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืด
จะมองเห็นทางเดินที่ถูกต้องได้อย่างไร
โอกาสที่จะพากันหลงทางตกบ่อลงบึงจึงสูงยิ่ง
โดยเฉพาะเส้นทางนิพพานหลุดพ้นกลับบ้าน
ซึ่งตัวคนนำทางเองก็ยังไม่เคยผ่านออกไป
พวกเขาย่อมไม่คุ้นเส้นทางย่อมจำทางไม่ได้
แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่พากันหลงทาง
ดังนั้น
กิเลสตัณหาที่ในจิตหยาบพวกคุณ
ถ้าไม่นิพพานให้สิ้นหรือดับการเกิดดับให้หมด
เพื่อพร้อมต่อการหมุนธรรมจักรด้วยขันธ์ห้าแล้ว
คุณจะช่วยนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นไม่ได้แน่
นอกจากหลุดไปนั่งกรรมฐานอยู่บนสวรรค์มายา
จากจริตที่ติดอยู่ในสัญญาขันธ์ตอนที่เป็นมนุษย์
ให้จิตใต้สำนึกมันผลักดันขับเคลื่อนขึ้นไปบนนั้น
วิธีชำระกิเลสของมนุษย์ที่ได้ผลแท้จริงก็คือ
จะต้องชำระด้วยจิตสามนึกจากเหตุการณ์จริง
จากเงื่อนไขจริงที่คนรอบข้างยื่นมาให้เท่านั้น
โดยคุณจะละทิ้งสังคมไปถือสันโดษก็ไม่ได้
คุณจะทำตนไม่น่ารักไม่ให้ใครอยากคบก็ไม่ได้
คุณจะแกล้งทำเป็นคนอายตนะพิการก็ไม่ได้
คุณจะนั่งกดดันจิตคุณแบบไม้ทับหญ้าก็ไม่ได้
จะใช้วิธีปฏิบัติอุตริพิสดารผิดธรรมชาติก็ไม่ได้
เมื่อชำระจิตหยาบให้สะอาดบริสุทธิ์
ด้วยวิธีธรรมชาติที่ถูกต้องอย่างแท้จริงได้แล้ว
ในสัญญาขันธ์ของคุณมันจะบันทึกสิ่งใหม่ที่ดีๆ
เข้าไปแทนที่ข้อมูลเก่าซึ่งเป็นจริตสันดานไม่ดี
ด้วยกระบวนการอัตโนมัติที่พระเจ้าทรงกำหนด
ที่สำคัญคือบททดสอบจิตสามนึกและบทเรียน
ที่คุณจะต้องเรียนรู้และต้องทำข้อทดสอบนั้น
ผู้ที่ร่วมชะตาชีวิตและร่วมชะตากรรมกับคุณมา
จะมีโอกาสมาปฏิสัมพันธ์หยิบยื่นมันให้คุณได้
แทนที่จะทำตนผิดธรรมชาติแบบที่ทำกันสืบมา
จนทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากกันเสียเอง
#เพราะทำตนไม่มีใครคบและไม่ยอมคบกับใคร
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
17/06/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้พระเจ้าทรงกำหนดสร้าง
ให้เป็นดาวแห่ง #ทางเลือกเสรี ของมนุษย์
ซึ่งแตกต่างจากดาวดวงอื่นในอนันตจักรวาล
มนุษย์จึงมีทางเลือกที่หลายหลากมากมาย
ที่แต่ละคนจะตัดสินใจ “เลือก” หรือ “ไม่เลือก”
ในการนึกคิดพูดทำรับไม่รับแต่ละสิ่งได้เอง
ด้วย #จิตสามนึกจากจิตตปัญญา ของตนได้
ไม่ต้องให้ใครบังคับข่มขืนฝืนจิตใจให้ทำตาม
ไม่ต้องให้ใครคอย “จูงจมูก” เพื่อให้คล้อยตาม
พระเจ้าจึงทรงติดตั้งพลังอำนาจทางจิตปัญญา
เอาไว้ให้มนุษย์โลกแต่ละคนเรียนรู้และฝึกฝน
ในการใช้พลังอำนาจทั้งสองอย่างที่ตนมีอยู่นั้น
โดยทุกคนจะต้องเข้าถึงมันให้ได้ตั้งแต่วัยเด็ก
เพราะทุกการตัดสินใจเลือกไม่เลือกในชีวิตคุณ
ต้องใช้พลังอำนาจของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
กับอำนาจทางปัญญาของสมองของตนเท่านั้น
เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมต่างๆในการดำเนินชีวิต
จากมโนกรรมวจีกรรมและกายกรรมตามลำดับ
การสั่นสะเทือนในสองมิติพร้อมกันครบลูปนี้
รวมเรียกว่า #การสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
พวกคุณจะเห็นได้ว่าเราใช้คำสองคำ
โดยนำเอามาเชื่อมต่อกันจนเป็นคำเดียวสั้นๆ
เริ่มต้นจากคำว่า “จิตตปัญญา”
ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “จิตสามนึก” นั่นเอง
คำว่า “จิตตปัญญา” ในที่นี้เราหมายถึง
อำนาจขั้นพื้นฐานที่พระเจ้าทรงติดตั้งไว้ให้คุณ
ได้ใช้มันเพื่อสร้างทักษะในการดำเนินชีวิต
ในบทบาท #คนสองมิติ เพื่อการหมุนธรรมจักร
ทั้งภายในตนเองและหมุนร่วมกันกับคนอื่นๆ
ด้วยอำนาจของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ที่มีอยู่
โดยอำนาจของจิตหยาบก็คือพลังฌานของจิต
ที่ได้จากการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยรักบริสุทธิ์
ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูงมาก
แน่นอนว่าจิตมนุษย์จะเข้าถึงความรักบริสุทธิ์ได้
สภาวะจิตหยาบในขณะนั้นต้องเข้าถึงความสงบ
คือว่างจากกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะทุกสิ่ง
โดยจะต้องว่างจากสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงด้วย
รักบริสุทธิ์คือรักเพื่อให้มิใช่รักเพื่อเอาแบบที่ว่านี้
คุณจึงจะสามารถสั่นสะเทือนเพื่อเข้าถึงมันได้
เนื่องจากจิตหยาบของคุณมันจะสั่นได้ทีละเรื่อง
สั่นสะเทือนได้ทีละอารมณ์สั่นได้ทีละความรู้สึก
รวมทั้งการนึกคิดก็จะนึกคิดได้ทีละเรื่องเท่านั้น
นี่เป็นคุณสมบัติของจิตหยาบของมนุษย์ทุกคน
ที่คุณจะต้องเรียนรู้เอาไว้เพื่อฉลาดใช้มันให้เป็น
ถ้าคุณใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึก
เพื่อนึกคิดพูดหรือกระทำอะไรพร้อมกันหลายสิ่ง
คุณจะเกิดอาการเครียดทางประสาทคือปวดหัว
มึนหัวจะเกิดอาการประสาทเครียดลงกระเพาะ
กินอาหารไม่ได้คล้ายจะอาเจียนจนนอนไม่หลับ
ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการเครียดทางประสาท
อันเกิดจากการใช้จิตตปัญญาไม่เป็นทั้งสิ้น
ถ้าคุณมีสภาวะจิตที่ “สุขสงบ”
อันเกิดจากจิตที่ว่างไปจากกิเลสและทุกสิ่งแล้ว
จนคุณสามารถเข้าถึงความอิ่มเอิบเบิกบานได้
จึงจะเป็นสภาวะจิตที่เป็นสุขอันเกิดจากความสงบ
ซึ่งคุณจะต้องฝึกเข้าถึงสภาวะจิตว่างแบบนี้ให้ได้
โดยไม่ต้องนั่งคนเดียวปิดอายตนะอยู่ในที่เปลี่ยว
อันเป็นการปฏิบัติในยามตื่นปฏิบัติตามธรรมชาติ
โดยไม่ต้องมีรูปแบบไม่ต้องมีพิธีรีตองให้ยุ่งยาก
เมื่อฝึกด้วยวิธีธรรมชาติจนเข้าถึงความสงบได้
จิตของคุณก็จะเกิดพลังหรือเกิด “ฌาน” ขึ้นมา
พลังอำนาจของจิตหรือฌานสูงมากเท่าไหร่
มันจะยิ่งเป็นประโยชน์กับคุณมากเท่านั้น
เพราะอำนาจจิตสูงสุดหรือการมีฌานสูงๆนั้น
มันจะทำให้คุณเข้าถึงความรักบริสุทธิ์
ที่เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณของคุณเองได้
ทั้งมันยังจะสั่นสะเทือนเซลล์สมองทั้งสองซีก
ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
เพื่อการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์หรือหยั่งรู้
ด้วยความสงบ ความรักและความฉลาดสูงสุด
ในบทบาทคนสองมิติเพื่อเป็นมนุษย์ที่สมดุลได้
คำว่า “มนุษย์ที่สมดุล” หมายถึง
ผู้ที่ใช้ความรักบริสุทธิ์สั่นสะเทือนขันธ์ห้า
โดยใช้จิตหยาบทำงานร่วมกันกับสมองสองซีก
ด้วยการสนับสนุนของอายตนะภายนอกทั้งห้า
ที่รวมแล้วเรียกว่า “สั่นสะเทือนทางจิตสามนึก”
เพื่อการเป็นมนุษย์ได้อย่างสมภาคภูมิได้แล้ว
ด้วยการปฏิบัติไปตามธรรมชาติในชีวิตจริง
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำก็คือ
เข้าถึง #ธรรมชาติสมาธิ ในชีวิตประจำวันให้ได้
โดยไม่ยึดติดรูปแบบพิธีกรรมที่ถูกอบรมมา
จนทำให้พวกคุณเข้าใจว่ากรรมฐานสมาธิ
เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมในวิเวการามที่ยอดเยี่ยม
ที่มันจะทำให้จิตวิญญาณคุณหลุดพ้นนิพพาน
ด้วยการหายตัวออกไปจากภพภูมิมนุษย์ได้
โดยไม่ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีก
เพราะการปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ
เป็นการปฏิบัติเพื่อตนเองคนเดียวมิใช่เพื่อโลก
เป็นการปฏิบัติเพื่อการข่มจิตให้มันนิ่งสงบไว้
เหมือนกับการเอาแผ่นไม้หนักหนาทับหญ้าไว้
ทำให้ต้นหญ้ามันเติบโตขึ้นมาตามปกติไม่ได้
แต่รากหญ้าที่ฝังตัวอยู่ในดินคือจิตคุณนั้นยังอยู่
คุณเลิกเก็บกดมันเมื่อไหร่คือยกแผ่นไม้ออก
ต้นหญ้านั้นมันก็จะเติบโตงอกงามขึ้นมาอีกครั้ง
“ต้นหญ้าบนแผ่นดิน” ในที่นี้เราหมายถึง
กิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะและสันดานที่ไม่ดี
ซึ่งเป็นคุณสมบัติด้านที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย
มันจะดูเหมือน “สงบได้” เพราะถูกคุณกดมันไว้
ด้วยปฏิบัติการในที่ตั้งเรียกว่า “กรรมฐานสมาธิ”
ขณะที่ตาหูจมูกปากถูกคุณปิดมันไว้จนมิดชิด
เสมือนว่าคุณแสร้งทำตนเป็นคนพิการนั่นเอง
คุณคิดว่าการทำแบบนี้มันผิดธรรมชาติมั้ยล่ะ
หากผิดธรรมชาติจะเรียกว่า “ปฏิบัติธรรม” ไม่ได้
จงอย่าหลงเชื่อว่าการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
มันจะช่วยชำระจิตหยาบคุณให้สะอาดหมดจดได้
จะดับการเกิดดับของกิเลสให้คุณอย่างสิ้นเชิงได้
จะจัดการสันดานที่ไม่ดีในสัญญาขันธ์หมดสิ้นได้
มันเป็นเพียงแค่ปฏิบัติการเพื่อทำให้จิตสงบ
จนเกิดพลังหรือฌานเพื่อนำมันไปใช้กระตุ้นสมอง
ให้เกิดพลังอำนาจทางปัญญาชั่วคราวเท่านั้นเอง
พระพุทธองค์จึงทรงสอนสาวก
ให้เริ่มฝึกปฏิบัติสมถะกรรมฐานให้เกิดฌานก่อน
เมื่อเห็นว่าจิตเริ่มสงบจนเกิดพลังฌานได้บ้างแล้ว
จึงทรงอนุญาตให้ฝึก “วิปัสสนากรรมฐาน” กันต่อ
เพื่อนำพลังอำนาจจิตที่ได้ไปทำงานร่วมกับสมอง
ในการนึกคิดพิจารณาปัญหาที่ต้องการรู้ทีละเรื่อง
โดยสามารถนั่งขบคิดพิจารณาปัญหานั้นต่อเนื่อง
จนกว่าจะบรรลุคำตอบที่ต้องการในประเด็นนั้นๆ
จึงจะสิ้นสุดปฏิบัติการวิปัสสนากรรมฐาน
การนั่งปฏิบัติกรรมฐานทั้งสองขั้นตอนที่ว่านี้
จะทรงใช้เวลาอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่มีกำหนด
จะทรงละเลิกปฏิบัติก็ต่อเมื่อได้คำตอบที่ต้องการ
จะไม่เลิกกลางคันเพราะเบื่อหรือเพราะเมื่อยขบ
พระเจ้าจึงทรงเรียกปฏิบัติการแบบนี้ว่า #มีสมาธิ
จนหลายคนที่ไม่เข้าใจพากันเรียกว่า “นั่งสมาธิ”
นอกจากนั้น
หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่า
ถ้านั่งปฏิบัติกรรมฐานจนชำนาญมากเท่าใด
สภาวะจิตหยาบมันจะยิ่งใสสะอาดมากเท่านั้น
แปลความง่ายๆว่า “สันดานทางจิต” จะดีขึ้นได้
แค่เคร่งครัดปฏิบัติสมถะกรรมฐานขั้นต้นแล้ว
ใครกวนตีนยั่วโมโหมาจะไม่เอาตีนยันกลับไป
ใครอ่อยเหยื่อเย้ายวนมาจะไม่หลงคล้อยตามไป
ซึ่งมันจะเป็นจริงไม่ได้เลยถ้าจิตยังติดกิเลสอยู่
ถ้าสัญญขันธ์มันยังบันทึกนิสัยทางจิตที่ไม่ดีอยู่
พระเจ้าจึงให้เรากล่าวต่อพวกคุณตลอดมาว่า
จงอย่าหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดเลย
เพราะคนนำทางก็ตาบอดคนก้าวตามก็ตาบอด
เหมือนทุกคนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืด
จะมองเห็นทางเดินที่ถูกต้องได้อย่างไร
โอกาสที่จะพากันหลงทางตกบ่อลงบึงจึงสูงยิ่ง
โดยเฉพาะเส้นทางนิพพานหลุดพ้นกลับบ้าน
ซึ่งตัวคนนำทางเองก็ยังไม่เคยผ่านออกไป
พวกเขาย่อมไม่คุ้นเส้นทางย่อมจำทางไม่ได้
แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่พากันหลงทาง
ดังนั้น
กิเลสตัณหาที่ในจิตหยาบพวกคุณ
ถ้าไม่นิพพานให้สิ้นหรือดับการเกิดดับให้หมด
เพื่อพร้อมต่อการหมุนธรรมจักรด้วยขันธ์ห้าแล้ว
คุณจะช่วยนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นไม่ได้แน่
นอกจากหลุดไปนั่งกรรมฐานอยู่บนสวรรค์มายา
จากจริตที่ติดอยู่ในสัญญาขันธ์ตอนที่เป็นมนุษย์
ให้จิตใต้สำนึกมันผลักดันขับเคลื่อนขึ้นไปบนนั้น
วิธีชำระกิเลสของมนุษย์ที่ได้ผลแท้จริงก็คือ
จะต้องชำระด้วยจิตสามนึกจากเหตุการณ์จริง
จากเงื่อนไขจริงที่คนรอบข้างยื่นมาให้เท่านั้น
โดยคุณจะละทิ้งสังคมไปถือสันโดษก็ไม่ได้
คุณจะทำตนไม่น่ารักไม่ให้ใครอยากคบก็ไม่ได้
คุณจะแกล้งทำเป็นคนอายตนะพิการก็ไม่ได้
คุณจะนั่งกดดันจิตคุณแบบไม้ทับหญ้าก็ไม่ได้
จะใช้วิธีปฏิบัติอุตริพิสดารผิดธรรมชาติก็ไม่ได้
เมื่อชำระจิตหยาบให้สะอาดบริสุทธิ์
ด้วยวิธีธรรมชาติที่ถูกต้องอย่างแท้จริงได้แล้ว
ในสัญญาขันธ์ของคุณมันจะบันทึกสิ่งใหม่ที่ดีๆ
เข้าไปแทนที่ข้อมูลเก่าซึ่งเป็นจริตสันดานไม่ดี
ด้วยกระบวนการอัตโนมัติที่พระเจ้าทรงกำหนด
ที่สำคัญคือบททดสอบจิตสามนึกและบทเรียน
ที่คุณจะต้องเรียนรู้และต้องทำข้อทดสอบนั้น
ผู้ที่ร่วมชะตาชีวิตและร่วมชะตากรรมกับคุณมา
จะมีโอกาสมาปฏิสัมพันธ์หยิบยื่นมันให้คุณได้
แทนที่จะทำตนผิดธรรมชาติแบบที่ทำกันสืบมา
จนทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากกันเสียเอง
#เพราะทำตนไม่มีใครคบและไม่ยอมคบกับใคร
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
17/06/2566