02 มิถุนายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 2/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
หน้าที่หลักของจิตวิญญาณของคุณ
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็น “คนสองมิติ” อยู่บนโลก
ก็เพื่อมาทำหน้าที่ใช้ #เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
คำว่า “เมตตาธรรม” คือความรักในวิถีธรรมชาติ
อันเป็นความรักที่เกิดขึ้นตามความจริงในจิตคุณ
 
ตัวอย่างเช่น
ถ้าใครทำให้คุณไม่พอใจไม่ชอบใจไม่ถูกใจ
คุณจะแสดงความรักตอบสนองพวกเขาได้ทันที
ด้วยการอดทนอดกลั้นหรือด้วยการให้อภัยต่อเขา
โดยไม่ต่อสู้ไม่ตอบโต้ไม่ต่อต้านหรือหลีกเลี่ยง
เพราะคุณเห็นคุณค่าและความสำคัญของเขา
จึงไม่สร้างเงื่อนไขด้านลบให้เกิดการแตกแยก
คุณจึงปรารถนาที่จะเหนี่ยวรั้งเขาไว้กับคุณต่อไป
 
นี่จึงเป็น “ความรัก” ที่เกิดขึ้นจริงโดยไม่ปรุงแต่ง
จึงเป็นความรักที่เป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียเปรียบได้เปรียบต่อกัน
 
เพราะคำว่า “อดทน” นั้นหมายถึง
การที่ตัวคุณยอมให้เขาทำไม่ถูกต้องต่อตัวคุณ
โดยไม่เอาเรื่องเอาราวหรือไม่ถือสาหาความอะไร
เพราะว่าคุณยังต้องการคบเขาเป็นเพื่อนอยู่ต่อไป
ขณะเดียวกันกับคำว่า “อดกลั้น” นั้นหมายถึง
การที่คุณยอมให้เขาทำไม่ถูกต้องต่อตัวคุณ
โดยไม่เอาเรื่องเอาราวไม่ถือสาหาความอะไร
เพราะยังต้องการให้เขามีคุณเป็นเพื่อนต่อไปได้
 
ส่วนคำว่า “ให้อภัย” นั้นหมายถึง
การที่ตัวคุณยอมให้เขาทำไม่ถูกต้องต่อตัวคุณ
โดยไม่เอาเรื่องเอาราวหรือไม่ถือสาหาความอะไร
เพราะคุณระลึกหรือสำนึกได้ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ด้วยการเห็นแก่อดีตที่ผ่านมาและอนาคตข้างหน้า
ถ้ายังยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งกันยังคบหาสมาคมกันอยู่
โอกาสที่คุณกับตัวเขาจะกระทำไม่ถูกต้องต่อกัน
มันยังสามารถจะเกิดขึ้นได้เสมอ
 
ดังนั้น
การไม่ถือสากันด้วยการอดทนอดกลั้นและให้อภัย
จึงเป็นความรักความเมตตาในแบบธรรมชาติแท้ๆ
ที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์เสมอกันอย่างชัดเจน
ภายในครอบครัวในทีมงานหรือในสังคมพวกคุณ
จะมีความสมานฉันท์กันมีความสงบเย็นเป็นสุขกัน
ก็เพราะ “เมตตาธรรม” ในแบบที่เรากล่าวนี้ทั้งสิ้น
 
การอดทน อดกลั้น ให้อภัย
เป็นรูปแบบหลักของ #ความรักบริสุทธิ์
เป็นความรักที่เป็นธรรมชาติของพวกคุณทุกคน
ที่สามารถแสดงออกหรือกระทำต่อกันได้เสมอ
ไม่ต้องทำดัดจริตบิดธรรมชาติจนขาดธรรมสำนึก
ไม่ต้องสร้างเงื่อนไขว่าคุณกับเขาต้องเป็นญาติกัน
ไม่ต้องสร้างเงื่อนไขว่าทำแล้วจะได้อะไรตอบแทน
ไม่ต้องสร้างเงื่อนไขว่า “ทีนี้เป็นข้าทีหน้าต้องแก”
 
ทุกคนสามารถที่จะทำได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา
ไม่ต้องเสียเวลาเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม
ไม่ต้องลงทุนลงแรงให้สิ้นเปลืองทรัพยากรอะไร
แค่ลงทุนด้วยแรงสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
ด้วยความรักความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นเท่านั้น
ความมีสันติสุขก็จะบังเกิดขึ้นในหมู่พวกคุณได้
 
แต่ในเวลาปฏิบัติจริงนั้นทุกสิ่งมันจะง่ายขึ้น
ถ้าพวกคุณทุกคนมีคุณสมบัติด้านบวกต่อไปนี้
 
คือต้องมีธรรมชาติสมาธิ
หรือมี #มหาสติ ตลอดเวลา
นั่นคือ คุณต้องรู้สติ มีสติ และใช้สติได้ทุกเมื่อ
 
คำว่า “รู้สติ” ในที่นี้ เราหมายถึง
รู้ว่าปัจจุบันขณะคุณกำลังทำอะไรอยู่
รู้ว่าเมื่อครู่หรืออดีตคุณเพิ่งทำอะไรมา
รู้ว่าอนาคตข้างหน้าคุณจะต้องเผชิญกับอะไร
โดยทั้งสามกาลคือปัจจุบันอดีตและอนาคต
เป็นสิ่งที่คุณรู้เท่าทันและสำนึกได้ตลอดเวลา
จิตตปัญญาจึง #ตื่นตัวพร้อมใช้งาน เสมอ
 
คำว่า “มีสติ” ในที่นี้ เราหมายถึง
รู้ว่าสิ่งใดคุณควรรับรู้สิ่งใดควรรับเอามาเรียนรู้
รู้ว่าสิ่งใดคุณควรรับรู้แต่ไม่ควรรับเอามาปรุงแต่ง
รู้ว่าสิ่งใดไม่ควรรับรู้และไม่ควรรับเอาหรือวางเฉย
 
การที่คุณสามารถมีสติหรือครองสติได้เช่นนี้แล้ว
โอกาสที่คุณจะตกเป็นทาสเงื่อนไขที่ยั่วยุเย้ายวน
จากสิ่งเร้าภายนอกที่คนรอบข้างบางคนยื่นมาให้
จนทำให้คุณจิตตกนั้นมันจะเป็นไปได้ยากมากขึ้น
เพราะคุณกำลังอยู่ในสภาวะที่ #รู้ตัวทั่วพร้อม
จนจิตคุณว่างไปจากกิเลสและว่างจากอัตตาได้
จึงเข้าถึงเมตตาธรรมและความฉลาดทางปัญญา
ได้อย่างง่ายดายเป็นที่ยิ่ง
 
คำว่า “ใช้สติ” นี้ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของมหาสติ
เมื่อจิตหยาบของคุณมันตื่นตัวอยู่จากการรู้สติ
และจิตหยาบคุณมันรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่จากการมีสติ
ซึ่งการใช้สตินั้นโดยปกติแล้วมันจะทำได้ยากมาก
แต่ถ้าทำตามขั้นตอนที่เรากล่าวมานี้ก็แสนง่าย
เพราะการใช้สตินั้นเราหมายถึง
 
1.รักคนที่ทำตนไม่น่ารักให้ได้
2.อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น
3.ไม่ก้าวล่วง ไม่มุ่งเน้นเพื่อแก้แค้นเอาคืน
 
คุณจะทำสามสิ่งนี้ได้ด้วยจิตตปัญญาเท่านั้น
การทำด้วยจิตตปัญญาคือความรักและความคิด
ความรักคือเมตตาธรรมความคิดคือการใช้เหตุผล
แล้วจงสั่นสะเทือนออกมาเป็นพฤติกรรมด้านบวก
ตอบสนองคนที่ทำผิดคิดชั่วต่อตัวคุณให้ได้
 
ในมิติโลกทางกายภาพ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสงบเย็นเป็นสุขของทุกคน
ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้นั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือพลังงานจิตด้านบวกจากขันธ์ห้า
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ตามแบบที่โลกต้องการใช้ค้ำจุนความสมดุล
ซึ่งสองตาเปล่าของพวกคุณมองไม่เห็น
 
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นศาสตร์และศิลป์ในการหมุน “ธรรมจักร”
ที่มันเกิดขึ้นง่ายๆภายในวัดประจำตนของคุณเอง
โดยไม่ต้องไปปฏิบัติทำที่วัดอื่นใดไกลใกล้เลย
เพราะจิตหยาบของคุณเป็นดั่ง “มหาวิหาร”
พระประธานก็คือจิตวิญญาณแก่นแท้ของตัวเอง
ส่วนกายสังขารก็คือ “อาราม” ที่เป็นเขตคามวัด
ความฉลาดทางปัญญาก็คือเจดีย์ประจำวัด
ถ้าฉลาดมากเจดีย์นั้นก็ใหญ่และยิ่งมียอดแหลม
ถ้าฉลาดน้อยเจดีย์นั้นก็จะเล็กและยิ่งมียอดเตี้ยๆ
ส่วนโลกนั้นจะเป็นดั่งลูกนิมิตขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
ที่สำคัญคือตัวคุณจะเป็น “เจ้าวัด” รักษาการอยู่
 
ถ้าวัดไม่สะอาดหรือสกปรกใครเขาจะเข้าวัดคุณ
ถ้าวัดคุณไม่สวยงามใครเขาจะหันมามองวัดคุณ
ถ้าวัดคุณไม่ศักดิ์สิทธิ์ใครจะคิดยกมือบูชาสาธุการ
 
พวกคุณทุกคนจะต้องรู้ว่า
ชาวโลกทั้งหลายไม่ว่าชาติใดภาษาใดศาสนาใด
ล้วนมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ที่มาจากพระเจ้า
เมื่อเข้ามาเกิดในระบบโลกเสรีจึงมีเนื้อหนังหุ้มห่อ
ถ้าจะกลับสู่แดนสุญตาอาณาจักรของพระเจ้าได้
จะต้องละทิ้งสิ่งที่เสื่อมสลายได้ฝ่ายเนื้อหนังก่อน
ให้เหลือแต่รูปธรรมทางพลังงานด้านจิตวิญญาณ
ที่มีความเป็นอมตะสมบูรณ์แบบเหมือนดั่งพระเจ้า
ความพยายามดังกล่าวนั้นจึงจะเข้าถึงพระองค์ได้
ผู้ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นในอาณาจักรพระองค์
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
2/06/2566