08 มิถุนายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 8/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
พวกคุณหลายคนอาจยังข้องใจว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณแต่ละคนนั้น
ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกในเอกภพนี้ทำไม
 
คำว่ามาเกิดเป็น “มนุษย์โลก” หมายถึง
มาเกิดเป็น #คนสองมิติ คือมิติของกายหยาบ
กับมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้
โดยมี #จิตหยาบ คอยทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตหยาบพร้อมกันในสองมิติ
โดยมีกระบวนการสั่นสะเทือนเป็น 5 ขั้นตอน
ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่า “ขันธ์ 5” นั่นแหละ
 
หน้าที่ของจิตหยาบของคุณก็คือ
เมื่ออายตนะภายนอกทั้งห้าสัมผัสรู้ดูเห็นอะไร
แล้วส่งรหัสสัญญาณการสัมผัสนั้นเข้าไปให้
จะต้องสั่นสะเทือนเป็นการ “รับรู้” สัมผัสนั้นเสมอ
ทั้งมายารูปลักษณ์รสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง
เพื่อเรียนรู้ว่าที่อายตนะสัมผัสนั้นคืออะไรอย่างไร
ขั้นตอนแรกนี้คือการ “รับรู้รูปธรรม” ของจิตหยาบ
 
เมื่อจิตหยาบรับรู้รูปจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
ในคนปกติที่ยังมิได้ฝึกทักษะการควบคุมจิตตนเอง
จิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนไปสู่ขั้นตอนที่สองต่อ
ด้วยการนำเอาสิ่งที่ตนรับรู้นั้นมาทำการ #ปรุงแต่ง
ซึ่งขั้นตอนที่สองนี้จะเกิดขึ้นต่อจากขั้นแรกเร็วมาก
ผลการปรุงแต่งของจิตจะทำให้เกิด #ความรู้สึก
ในลักษณะ “ชอบ-ไม่ชอบ” อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น
บางทีก็อาจ “ลังเล” ไม่แน่ว่าชอบหรือไม่ชอบก็มี
ขั้นตอนที่สองที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกนี้
เป็นขั้นตอนการสั่นสะเทือนของ #เวทนาขันธ์
 
เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนขั้นตอนแรกเป็น “รูปขันธ์”
เพื่อการรับรับรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกายได้แล้ว
จนสั่นสะเทือนในขั้นตอนที่สองเป็น “เวทนาขันธ์”
จากนั้นจิตหยาบก็จะสั่นสะเทือนขั้นตอนที่สามต่อ
เพื่อทำการบันทึก “ข้อมูล” จากการเรียนรู้ได้เอาไว้
โดยข้อมูลที่จิตหยาบจะบันทึกนั้นมี 2 อย่างก็คือ
อย่างแรกจดจำข้อมูลและเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
อย่างที่สองจดจำอารมณ์รู้สึกของคุณในขณะนั้น
ภาษาของพระศาสดาทรงเรียกว่า #จำได้หมายรู้
คำว่า “จำได้” ก็คือการจำเรื่องราวและตัวตนได้
หมายรู้” ก็คือจำอารมณ์รู้สึกของตนขณะนั้นได้
ผู้ทำหน้าที่ในการจำได้หมายรู้ก็คือ #จิตใต้สำนึก
ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณของคุณเอง
ขั้นตอนที่สามของจิตหยาบนี้เป็น #สัญญาขันธ์
 
การสั่นสะเทือนของจิตหยาบในขั้นตอนที่สี่
พระศาสดาทรงเรียกขานว่าเป็น “สังขารขันธ์”
อันหมายถึงขั้นตอนสำคัญในการปรุงแต่งของจิต
ด้วยการนำเอาข้อมูลที่จิตรับรู้รูปมาแล้วรับเอาไว้
จนเกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลสขึ้นภายในจิตหยาบ
แต่เนื่องจากสิ่งที่จิตรับเอาไว้เป็นเพียงความรู้สึก
ซึ่งไม่มีอัตตาไม่มีตัวตนอะไรให้จิตยึดติดมันได้
จิตหยาบจึงปรุงแต่งกิเลสให้กลายเป็นตัณหาต่อ
 
คำว่า “ตัณหา” คือ ความอยาก-ไม่อยาก
ถ้ารู้สึกชอบใจก็อยากรู้อยากดูอยากเห็นอยากได้
ถ้าไม่ชอบใจก็ไม่อยากรู้ไม่อยากดูไม่อยากได้
เดิมแค่ชอบไม่ชอบพอเปลี่ยนเป็นอยากไม่อยาก
ก็ทำให้ความรู้สึกเกิดเป็นมีอัตตาตัวตนขึ้นมาได้
 
เมื่อจิตหยาบยึดติดอัตตาที่ในจิตของตนเข้า
การหลง “มายา” ของสรรพสิ่งจึงเกิดขึ้นตามมา
ตัวอย่างเช่นการหลงรูปจูบเงา เป็นต้น
ถ้าสิ่งที่ต้องการนั้นถูกขัดขวางหรือมีอุปสรรค
จิตหยาบก็จะเกิดอารมณ์ขยะคือโกรธไม่พอใจ
ถ้าอยากได้มากก็จะแสดงความโลภหรืองกให้เห็น
อันหมายรวมถึงความโกรธความโลภความหลง
ที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่องเสมอ
จนในที่สุดก็จะเข้าถึงการใช้ปัญญาของสมองมิได้
เพราะโลภโกรธหลงนี่แหละคอยปิดกั้นคุณไว้
ซึ่งตัวต้นเหตุมาจาก “กิเลส” ตัวเดียวนั่นเอง
 
ขั้นตอนสังขารขันธ์นี้
เมื่อจิตหยาบทำการปรุงแต่งตามที่เรากล่าวแล้ว
การสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมคือพฤติกรรมทางจิต
ในมิติทางพลังงานที่สองตาเปล่ามองไม่เห็น
โดยจิตใต้สำนึกของจิตวิญญาณคุณเอง
จะคอยสั่นสะเทือนตามจิตหยาบคุณอยู่เสมอ
เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในมิติของจิตวิญญาณ
ส่วนการแสดงออกหรือกระทำในมิติกายสังขาร
จิตหยาบคุณจะสั่นสะเทือนจิตสามนึกเอง
เพื่อให้เกิดเป็นวจีกรรมและกายกรรมต่อไป
 
ขั้นตอนที่สี่ของจิตหยาบนี้
เป็นขั้นตอนในส่วนของ #สังขารขันธ์
อันเป็นขั้นตอนของการปรุงแต่งโดยเฉพาะ
 
ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนที่ห้าขั้นตอนสุดท้าย
พระศาสดาทรงเรียกว่า “วิญญาณขันธ์”
มันจะเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดของขันธ์ห้าก็ว่าได้
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของคุณ
มันจะผลิตสร้างคลื่นพลังงานจิตเหวี่ยงออกมา
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กในสองรูปแบบ
 
รูปแบบแรกจะเป็นคลื่นไฟฟ้าที่เป็นขยะรกโลก
ถ้าคุณสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยกิเลสตัณหา
แม้จะสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยการทำบุญสุนทาน
แล้วอธิษฐานขอส่วนบุญตอบแทนจากสิ่งที่ทำนั้น
คลื่นพลังงานจิตที่เหวี่ยงออกมาก็เป็นขยะเช่นกัน
เพราะเป็นพลังงานที่มีเจ้าของโลกเอาไปใช้ไม่ได้
 
พลังงานจิตที่บริสุทธิ์ต้องได้จากจิตบริสุทธิ์
ที่เป็น #พลังงานสะอาด ปราศจากกิเลสเท่านั้น
โลกจึงจะนำเอาไปใช้ในการจุดระเบิด
อะตอมของก้อนธาตุออกซิเจนในแกนโลก
เพื่อทำให้แกนโลกเกิดการบิดตัวอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องได้
จึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีอากาศหายใจ
จะทำให้กลางคืนอันยาวนานไร้แดดอบอุ่นได้
 
ดังนั้น
หน้าที่สำคัญของมนุษย์
ซึ่งเป็นหน้าที่หลักทางจิตวิญญาณก็คือ
การร่วมกันใช้ความรักหมุนธรรมจักรในตนเอง
ด้วยการแสดงออกหรือกระทำด้านบวกต่อทุกคน
เพื่อเป็นเงื่อนไขให้คนรอบข้างหมุนธรรมจักร
ร่วมกันกับตนเองไปในขณะเดียวกันด้วย
ตามสมการพลังงานรวมจากจิตสามนึกด้านบวก
βx = 3X² (β+β2+β3+…+βx) เม็กกะเฮิร์ทซ์
จำนวน 1% ของพลังงานที่คน X คนผลิตได้
เป็นพลังงานที่โลกจะนำเอาไปใช้ที่แกนโลก
ภายในเวลาทุกๆวินาทีเลยทีเดียว
จึงเป็นที่มาของคำว่า #ความรักช่วยให้โลกหมุน
 
นับหมื่นๆปีที่ผ่านมาจนบัดนี้ทุกสิ่งที่เรากล่าวมา
คนนำทางตาบอดไม่เคยบอกกล่าวเล่าความจริง
เพราะพวกเขาถูกปิดบังและบิดเบือนสัจธรรม
ที่องค์พระศาสดาได้ตรัสรู้เอาไว้ชอบแล้วดีแล้วว่า
เมตตาธรรม “ค้ำจุนสมดุลโลก” ให้สงบเย็นได้
จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อหมุนธรรมจักร
เพื่อให้โลกเหวี่ยงหมุนอย่างต่อเนื่องตลอดไป
ถ้าโลกนี้มีความสมดุลอย่างมั่นคงยาวนานได้
เอกภพที่เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระเจ้า
จะมีความสงบสมดุลมั่นคงดำรงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์
 
ที่พวกคุณต้องนิพพานดิบคือนิพพานก่อนตาย
ก็เพราะพวกคุณต้องนิพพานกิเลสในจิตหยาบ
ให้จิตหยาบนั้นใสบริสุทธิ์สะอาดปราศจากขยะ
เพื่อสามารถเข้าถึงความรักและปัญญาได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันยังจะเป็นการยกระดับจิตหยาบ
ให้เกิดเป็นรูปธรรม 6 มิติเท่ากับจิตวิญญาณด้วย
เมื่อจิตหยาบเจิมแต่งกับจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณจะมีอภิญฤทธิ์สูงสุด
ที่จะดีดตนเองออกไปจากระบบโลกและเอกภพ
เพื่อกลับคืนสู่บ้านเกิดที่จากมาคือแดนสุญตาได้
หมายถึงจิตวิญญาณนิพพานหลังการตายนั่นเอง
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
8/06/2566