(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ใครเป็นผู้หลอกคุณให้เสพติดกิเลส?
พวกเขาหลอกคุณด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง?
พวกคุณถูกหลอกเพื่อประโยชน์อันใดบ้าง?
ทั้งสามคำถามนี้เราคิดว่าพวกคุณคงยังไม่รู้
เราจึงขอกล่าวความจริงมาให้พวกคุณรู้ว่า
ผู้ที่หลอกพวกคุณให้เสพกิเลสจนติดนั้น
แบ่งได้ 4 จำพวกดังต่อไปนี้
พวกแรก คือ พวกมอดที่มาแทรกแซงโลก
พวกที่สอง คือ พวกจิตวิญญาณผีโสโครก
พวกที่สาม คือ สาวกมอดและกรรมกรแสง
พวกที่สี่ คือ บรรพบุรุษของพวกคุณเอง
1.มอดที่มาเข้ามาแทรกแซงโลกมี 2 เผ่าดาว
เผ่าหนึ่งคือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน
ลักษณะนิสัยเหมือนตัวเหี้ยที่เป็นสัตว์ประจำโลก
เป็นสัตว์ดุร้ายฉลาดเจ้าเล่ห์ขี้ขโมยและเป็นนักล่า
มีเขี้ยวเล็บแหลมคมและมีหางยาวเป็นอาวุธร้าย
เดินด้วยสองขาหลังลากหางไปแต่ปราดเปรียว
ลูกตาทั้งสองข้างกลิ้งกลอกและมองได้รอบทิศ
สิ่งมีชีวิตเผ่าแรกนี้เกิดก่อนมอดอีกเผ่าหนึ่ง
จึงมีอายุขัยยืนยาวกว่าก็เลยฉลาดและรู้มากกว่า
เพราะพวกเขาพระเจ้ากำหนดให้ไม่ต้องตาย
จึงมีชีวิตอย่างเป็นอมตะไม่มีอายุขัยแต่อย่างใด
พัฒนาการทางสมองจึงมีมากกว่าและรู้มากกว่า
พวกนี้มีความถนัดในการคิดสร้างวัตถุเท็คโนโลยี
แต่น่าเศร้าที่พวกเขาจำพระบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้
เพราะถูกออกแบบให้ใช้จิตสัญชาตญาณทำงาน
ร่วมกันกับสมองก้อนเดียวแบบสัตว์ประจำโลก
เพราะนำเครื่องมือขนาดใหญ่ที่ตนสร้างขึ้น
ลงไปฝังมันไว้ใต้พื้นพสุธาของดาวเพื่อทดลองว่า
เครื่องนี้จะควบคุมดินฟ้าอากาศของดาวได้หรือไม่
แต่ปรากฏว่าการทดลองล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
เพราะทำให้ดาวบ้านเกิดแตกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
จนเป็น “ฝุ่นเนบิวล่า” ลอยในอวกาศถึงทุกวันนี้
เพราะทำให้ดาวของตนระเบิดนี่แหละ
จึงพากันนั่งยานที่สร้างขึ้นบินหนีมาจนพบโลก
ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้มนุษย์จากดาวลูกไก่
เข้ามาประจำโลกเพื่อช่วยค้ำจุนโลกและเอกภพ
ที่เป็นห้องทดลองใหญ่ของพระองค์ไว้ให้มั่นคง
พวกเขามาถึงก่อนจึงเข้ายึดครองกันตั้งแต่บัดนั้น
อีกเผ่าหนึ่งลักษณะคล้ายมนุษย์แต่ตัวใหญ่กว่า
มีปีกโบยบินได้เหมือนนกอินทรีย์ยักษ์ในตำนาน
ส่วนใหญ่จะถูกสร้างให้เป็นเพศชายมากกว่าหญิง
หน้าตาแลดูเป็นเหมือนมนุษย์มากกว่าพวกแรก
รูปธรรมที่มีชีวิตลักษณะคล้ายมนุษย์เผ่านี้
สามารถใช้ปีกสองข้างบินไปได้ทั่วทั้งจักรวาล
ไม่ต้องใช้ยานบินเดินทางมาเหมือนเผ่าแรก
แต่พวกนี้ทำผิดกฎของดาวจนถูกขับไล่ไสส่ง
ให้พ้นออกมาจากเผ่าดาวเพราะถูกสังคมรังเกียจ
จนรอนแรมร่อนเร่มาถึงดาวโลกดวงนี้เหมือนกัน
จึงตั้งใจว่าจะใช้ดาวโลกดวงนี้เป็นบ้านหลังใหม่
เพราะพวกตนไร้ดาวอาศัยเหมือนกันกับเผ่าแรก
ภาษิตสำนวนไทยมีอยู่ว่า
“เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” ฉันใด
รูปธรรมมีชีวิตทั้งสองเผ่าดาวบนโลกนี้ก็ฉันนั้น
การต่อสู้ทำสงครามกันของพวกเขาทั้งสองเผ่า
เพื่อแย่งโลกกันจึงเกิดขึ้นอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้
ในที่สุดก็บานปลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ขึ้น
ทำให้โลกเกิดเป็นยุคน้ำแข็งยาวนานนับพันปี
ปัจจุบันมีร่องรอยของน้ำแข็งแถบขั้วโลกให้เห็น
เป็นหลักฐานอยู่ชัดเจนเพราะยังละลายไม่หมด
และบนโลกยังมีกากนิวเคลียร์หลงเหลืออยู่บ้าง
เพราะช่างเท็คนิกของพระเจ้ายังเก็บไปไม่หมด
หลังก่อสงครามนิวเคลียร์ขึ้นบนโลกแล้ว
ที่รอดตายคือพวกที่ “ขุดรู” ลงไปมุดอยู่ใต้ดิน
ทำตัวเป็น “สัตว์รู” อยู่ในใต้พิภพบ้างใต้ทะเลบ้าง
ยาวนานนับพันปีกว่าโลกที่มืดเพราะหมอกควัน
จางลงทำให้โลกอุ่นขึ้นร้อนขึ้นสว่างขึ้นมาได้
ต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิตก็ฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่
พระเจ้าจึงทรงส่งมนุษย์ยุคแรกให้เข้ามาประจำ
เพื่อช่วยกันทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
มนุษย์รุ่นแรกเป็นเมล็ดพันธุ์ของพลียะเดี้ยนส์
ที่ทรงสร้างขึ้นในกลุ่มดาวลูกไก่หรือพลียะดีส
แล้วค่อยขนส่งมาประจำทำหน้าที่ในระบบโลก
โดยที่พวกสัตว์รูหรือ “มอด” ยังมุดตัวอยู่ใต้ดิน
มนุษย์เจ้าของโลกตัวจริงก็ไม่รู้ว่าโลกมีมอดอยู่
เมื่อมนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วแผ่นดินโลกแล้ว
พวกมอดทั้งสองเผ่าที่มีประชากรน้อยกว่ามนุษย์
โดยเฉพาะพวกที่รู้ตัวว่ารูปลักษณ์หน้าตาของตน
เหมือนสัตว์มากกว่าที่จะเหมือนมนุษย์โลก
จนต้องพากันแอบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินใต้ทะเลต่อไป
ทั้งภาษาพูดที่เป็นภาษาสากลของเผ่าตนก็ไม่มี
จึงไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ให้รู้เรื่องได้
ส่วนอีกเผ่าหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์แต่มีปีก
จะกล้าเข้าหามนุษย์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กัน
ได้อย่างรวดเร็วกว่าและใกล้ชิดกันมากกว่า
แม้รูปร่างของพวกเขาจะใหญ่โตกว่ามนุษย์มาก
แต่ก็ยังง่ายกว่าเผ่าที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนสัตว์
2.ทั้งสองพวกสองเผ่าที่รอดตาย
เมื่อโผล่ขึ้นมาบนพื้นโลกกันแล้วก็พบว่า
โลกมีความเข้มของสนามแม่เหล็กมากกว่าเดิม
จนพวกเขารู้สึกอึดอัดเพราะร่างกายรับไม่ไหว
ซึ่งดาวดวงอื่นที่พวกเขาเคยแวะเวียนเข้าไปนั้น
ไม่มีดวงไหนที่สนามแม่เหล็กเข้มข้นเท่ามาก่อน
พวกเขาจึงมีทางเลือกสองทางคือ
ทำตัวเป็นมอดแอบขุดรูอยู่แต่ใต้ดินใต้ทะเล
หนีตายอยู่ในนั้นโดยไม่ต้องโผล่ขึ้นมา
หรือทนไม่ได้ก็บินออกมาจากรูเหมือนแมลงเม่า
ที่บินหนีออกมาเพราะว่าทนน้ำท่วมรูไม่ได้
พวกหนึ่งใช้ยานบินออกมาแล้วไปตั้งหลักบนฟ้า
พวกหนึ่งก็ใช้ปีกบินขึ้นไปบนฟ้าอยู่หลังก้อนเมฆ
พอร่างกายปรับได้ที่แล้วค่อยกลับลงมาสู่พื้นโลก
แต่ทางเลือกทั้งสองทางที่ว่านี้
พวกเขาเห็นว่ายังไม่ใช่หนทางที่จะอยู่ได้ถาวร
ทั้งสองพวกจึงเห็นตรงกันว่าต้องทำสิ่งนี้ด้วยคือ
1.ทำให้ #พลังอำนาจแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง
นี่จึงเป็นที่มาของการยุให้มนุษย์โลกทะเลาะกัน
ทำศึกสงครามกันจะได้ฆ่ากันตายคราวละมากๆ
พวกนี้ก็จะทำการผลิตอาวุธสงครามออกมา
ทั้งขายและให้มนุษย์นำไปใช้สู้รบกันตลอดมา
เพื่อลดจำนวนประชากรโลกให้เหลือน้อยลง
ซึ่งจะแปรตามค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ให้อ่อนแรงลงจากเดิมเพื่อพวกตนจะปลอดภัย
กับอีกวิธีการหนึ่งก็คือ
สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดยักษ์เทียม
เพื่อคอยลดทอนอำนาจแม่เหล็กโลก
ด้วยการเก็บฝังติดตั้งเครื่องกลนี้เอาไว้ใต้ดิน
กับการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแรงสูง
ที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าขึ้นไปในอากาศ
เพื่อช่วยทำลายโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
ที่พระเจ้าทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้อ่อนแรงลงได้
2.ปรับเปลี่ยน #ยีนส์หรือดีเอ็นเอในร่างกายตน
ให้ใกล้เคียงกับอวัยวะร่างกายของมนุษย์มากขึ้น
ด้วยการผ่าตัดโดยนำเอาดีเอ็นเอของมนุษย์โลก
มาเชื่อมต่อกับดีเอ็นเอของพวกตนแต่ไม่สำเร็จ
จึงทดลองเปลี่ยนเอาดีเอ็นเอของสัตว์ของตน
มาตัดต่อกับดีเอ็นเอของพระเจ้าในมนุษย์แทน
ปรากฏว่าสามารถปลูกถ่ายได้เป็นผลสำเร็จ
ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ด้วย
มันคือ “เซลล์มะเร็ง” ที่มีอยู่ในพวกคุณนั่นเอง
เซลล์มะเร็งมิใช่เซลล์ของพระเจ้า
แต่เป็นส่วนที่เติบโตจากดีเอ็นเอแปลกปลอม
เมื่อมนุษย์ถูกหลอกให้กินเลือดเนื้อของสัตว์
ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะของเซลล์แปลกปลอมนี้
มันจะบำรุงดูแลให้เซลล์มะเร็งเติบโตเร็วยิ่งขึ้น
อันเป็นการเติบโตเฉพาะที่เฉพาะส่วนเท่านั้น
ในที่สุดกายสังขารของมนุษย์คนนั้นก็ต้องตาย
เพราะเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งนั่นแหละ
นี่จึงช่วยลดประชากรโลกลงได้อีกทางหนึ่งด้วย
3.หาวิธีที่จะ #ย้ายจิตวิญญาณพวกตน
เข้าไปอยู่ในร่างกายของมนุษย์โลกให้ได้
ซึ่งพวกเขาเคยใช้มาแล้ว 3 วิธีด้วยกัน
#วิธีแรก
ด้วยการเข้าประทับซ้อนกับจิตวิญญาณมนุษย์
แต่พวกเขาก็ทำไม่เป็นผลสำเร็จตามที่คิดหวัง
เนื่องจากโครงสร้างหลักของมนุษย์โลกนั้น
ไม่ได้ใช้จิตวิญญาณดำเนินชีวิตเหมือนพวกตน
เพราะมนุษย์ใช้จิตหยาบทำหน้าที่แทนแก่นแท้
โดยพระเจ้าทรงออกแบบให้จิตวิญญาณมนุษย์
ประทับตรงพิกัดตำแหน่งที่ปลอดภัยเอาไว้แล้ว
พวกนี้จึงไม่อาจจะทำอะไรจิตวิญญาณคุณได้
#วิธีที่สอง
ใช้อภิญญฤทธิ์ที่พวกตนยังพอมีอยู่บ้าง
เข้าแทรกแซงกิจการภายในสังขารของมนุษย์
ด้วยวิธีการเลือกกระทำเป็นรายบุคคล
แต่ก็ไม่ได้ผลคือล้มเหลวอีกเหมือนกัน
สิ่งที่พอจะเป็นหลักฐานว่าพวกเขาทำแบบนี้มา
ก็คือวิธีสะกดจิต จูงจิต จูนจิต ประทับทรง
การสื่อสารทางจิต ไสยเวทย์ มนต์ดำ เป็นต้น
ซึ่งยังหลงเหลือให้ได้เห็นกันอยู่ในโลกทุกวันนี้
#วิธีที่สาม
เป็นวิธีที่พวกเผ่าซึ่งมีปีกบินได้เขาใช้กัน
นั่นคือการสมสู่กันกับมนุษย์แบบลองผิดลองถูก
พวกที่บินได้หลอกมนุษย์ว่าพวกตนคือเทพเจ้า
ผู้โบยบินลงมาจากฝั่งฟ้าลงมาจากพระอาทิตย์
ทำให้มนุษย์ในสมัยนั้นหลงเชื่อและยินยอม
เพราะหน้าตาพวกนี้ไม่น่ากลัวไม่น่าเกลียดอะไร
แถมยังสามารถกระตุ้นอารมณ์เพศได้ดีเสียด้วย
เพราะการสมสู่กันกับมนุษย์สตรีเพศของโลก
แม้มันจะได้ผลบ้างแต่มันก็สร้าง #คนยักษ์
จากผลิตผลของมนุษย์กับเทพเจ้าที่มีปีกพวกนี้
ขึ้นมาเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่จำนวนมากมาย
โดยพระเจ้ามิได้ทรงพอพระทัยเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเด็กที่เกิดใหม่เป็นคนยักษ์ทั้งหลายนั้น
จิตวิญญาณเป็นของพวกที่มีปีกบินได้มิใช่มนุษย์
แม้เด็กที่เกิดใหม่จะไม่มีปีกเหมือนพ่อก็ตาม
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
11/06/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ใครเป็นผู้หลอกคุณให้เสพติดกิเลส?
เราจึงขอกล่าวความจริงมาให้พวกคุณรู้ว่า
ผู้ที่หลอกพวกคุณให้เสพกิเลสจนติดนั้น
แบ่งได้ 4 จำพวกดังต่อไปนี้
พวกแรก คือ พวกมอดที่มาแทรกแซงโลก
พวกที่สอง คือ พวกจิตวิญญาณผีโสโครก
พวกที่สาม คือ สาวกมอดและกรรมกรแสง
พวกที่สี่ คือ บรรพบุรุษของพวกคุณเอง
1.มอดที่มาเข้ามาแทรกแซงโลกมี 2 เผ่าดาว
เผ่าหนึ่งคือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน
ลักษณะนิสัยเหมือนตัวเหี้ยที่เป็นสัตว์ประจำโลก
เป็นสัตว์ดุร้ายฉลาดเจ้าเล่ห์ขี้ขโมยและเป็นนักล่า
มีเขี้ยวเล็บแหลมคมและมีหางยาวเป็นอาวุธร้าย
เดินด้วยสองขาหลังลากหางไปแต่ปราดเปรียว
ลูกตาทั้งสองข้างกลิ้งกลอกและมองได้รอบทิศ
สิ่งมีชีวิตเผ่าแรกนี้เกิดก่อนมอดอีกเผ่าหนึ่ง
จึงมีอายุขัยยืนยาวกว่าก็เลยฉลาดและรู้มากกว่า
เพราะพวกเขาพระเจ้ากำหนดให้ไม่ต้องตาย
จึงมีชีวิตอย่างเป็นอมตะไม่มีอายุขัยแต่อย่างใด
พัฒนาการทางสมองจึงมีมากกว่าและรู้มากกว่า
พวกนี้มีความถนัดในการคิดสร้างวัตถุเท็คโนโลยี
แต่น่าเศร้าที่พวกเขาจำพระบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้
เพราะถูกออกแบบให้ใช้จิตสัญชาตญาณทำงาน
ร่วมกันกับสมองก้อนเดียวแบบสัตว์ประจำโลก
เพราะนำเครื่องมือขนาดใหญ่ที่ตนสร้างขึ้น
ลงไปฝังมันไว้ใต้พื้นพสุธาของดาวเพื่อทดลองว่า
เครื่องนี้จะควบคุมดินฟ้าอากาศของดาวได้หรือไม่
แต่ปรากฏว่าการทดลองล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
เพราะทำให้ดาวบ้านเกิดแตกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
จนเป็น “ฝุ่นเนบิวล่า” ลอยในอวกาศถึงทุกวันนี้
เพราะทำให้ดาวของตนระเบิดนี่แหละ
จึงพากันนั่งยานที่สร้างขึ้นบินหนีมาจนพบโลก
ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้มนุษย์จากดาวลูกไก่
เข้ามาประจำโลกเพื่อช่วยค้ำจุนโลกและเอกภพ
ที่เป็นห้องทดลองใหญ่ของพระองค์ไว้ให้มั่นคง
พวกเขามาถึงก่อนจึงเข้ายึดครองกันตั้งแต่บัดนั้น
อีกเผ่าหนึ่งลักษณะคล้ายมนุษย์แต่ตัวใหญ่กว่า
มีปีกโบยบินได้เหมือนนกอินทรีย์ยักษ์ในตำนาน
ส่วนใหญ่จะถูกสร้างให้เป็นเพศชายมากกว่าหญิง
หน้าตาแลดูเป็นเหมือนมนุษย์มากกว่าพวกแรก
รูปธรรมที่มีชีวิตลักษณะคล้ายมนุษย์เผ่านี้
สามารถใช้ปีกสองข้างบินไปได้ทั่วทั้งจักรวาล
ไม่ต้องใช้ยานบินเดินทางมาเหมือนเผ่าแรก
แต่พวกนี้ทำผิดกฎของดาวจนถูกขับไล่ไสส่ง
ให้พ้นออกมาจากเผ่าดาวเพราะถูกสังคมรังเกียจ
จนรอนแรมร่อนเร่มาถึงดาวโลกดวงนี้เหมือนกัน
จึงตั้งใจว่าจะใช้ดาวโลกดวงนี้เป็นบ้านหลังใหม่
เพราะพวกตนไร้ดาวอาศัยเหมือนกันกับเผ่าแรก
ภาษิตสำนวนไทยมีอยู่ว่า
“เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” ฉันใด
รูปธรรมมีชีวิตทั้งสองเผ่าดาวบนโลกนี้ก็ฉันนั้น
การต่อสู้ทำสงครามกันของพวกเขาทั้งสองเผ่า
เพื่อแย่งโลกกันจึงเกิดขึ้นอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้
ในที่สุดก็บานปลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ขึ้น
ทำให้โลกเกิดเป็นยุคน้ำแข็งยาวนานนับพันปี
ปัจจุบันมีร่องรอยของน้ำแข็งแถบขั้วโลกให้เห็น
เป็นหลักฐานอยู่ชัดเจนเพราะยังละลายไม่หมด
และบนโลกยังมีกากนิวเคลียร์หลงเหลืออยู่บ้าง
เพราะช่างเท็คนิกของพระเจ้ายังเก็บไปไม่หมด
หลังก่อสงครามนิวเคลียร์ขึ้นบนโลกแล้ว
ที่รอดตายคือพวกที่ “ขุดรู” ลงไปมุดอยู่ใต้ดิน
ทำตัวเป็น “สัตว์รู” อยู่ในใต้พิภพบ้างใต้ทะเลบ้าง
ยาวนานนับพันปีกว่าโลกที่มืดเพราะหมอกควัน
จางลงทำให้โลกอุ่นขึ้นร้อนขึ้นสว่างขึ้นมาได้
ต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิตก็ฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่
พระเจ้าจึงทรงส่งมนุษย์ยุคแรกให้เข้ามาประจำ
เพื่อช่วยกันทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
มนุษย์รุ่นแรกเป็นเมล็ดพันธุ์ของพลียะเดี้ยนส์
ที่ทรงสร้างขึ้นในกลุ่มดาวลูกไก่หรือพลียะดีส
แล้วค่อยขนส่งมาประจำทำหน้าที่ในระบบโลก
โดยที่พวกสัตว์รูหรือ “มอด” ยังมุดตัวอยู่ใต้ดิน
มนุษย์เจ้าของโลกตัวจริงก็ไม่รู้ว่าโลกมีมอดอยู่
เมื่อมนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วแผ่นดินโลกแล้ว
พวกมอดทั้งสองเผ่าที่มีประชากรน้อยกว่ามนุษย์
โดยเฉพาะพวกที่รู้ตัวว่ารูปลักษณ์หน้าตาของตน
เหมือนสัตว์มากกว่าที่จะเหมือนมนุษย์โลก
จนต้องพากันแอบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินใต้ทะเลต่อไป
ทั้งภาษาพูดที่เป็นภาษาสากลของเผ่าตนก็ไม่มี
จึงไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ให้รู้เรื่องได้
ส่วนอีกเผ่าหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์แต่มีปีก
จะกล้าเข้าหามนุษย์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กัน
ได้อย่างรวดเร็วกว่าและใกล้ชิดกันมากกว่า
แม้รูปร่างของพวกเขาจะใหญ่โตกว่ามนุษย์มาก
แต่ก็ยังง่ายกว่าเผ่าที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนสัตว์
2.ทั้งสองพวกสองเผ่าที่รอดตาย
เมื่อโผล่ขึ้นมาบนพื้นโลกกันแล้วก็พบว่า
โลกมีความเข้มของสนามแม่เหล็กมากกว่าเดิม
จนพวกเขารู้สึกอึดอัดเพราะร่างกายรับไม่ไหว
ซึ่งดาวดวงอื่นที่พวกเขาเคยแวะเวียนเข้าไปนั้น
ไม่มีดวงไหนที่สนามแม่เหล็กเข้มข้นเท่ามาก่อน
พวกเขาจึงมีทางเลือกสองทางคือ
ทำตัวเป็นมอดแอบขุดรูอยู่แต่ใต้ดินใต้ทะเล
หนีตายอยู่ในนั้นโดยไม่ต้องโผล่ขึ้นมา
หรือทนไม่ได้ก็บินออกมาจากรูเหมือนแมลงเม่า
ที่บินหนีออกมาเพราะว่าทนน้ำท่วมรูไม่ได้
พวกหนึ่งใช้ยานบินออกมาแล้วไปตั้งหลักบนฟ้า
พวกหนึ่งก็ใช้ปีกบินขึ้นไปบนฟ้าอยู่หลังก้อนเมฆ
พอร่างกายปรับได้ที่แล้วค่อยกลับลงมาสู่พื้นโลก
แต่ทางเลือกทั้งสองทางที่ว่านี้
พวกเขาเห็นว่ายังไม่ใช่หนทางที่จะอยู่ได้ถาวร
ทั้งสองพวกจึงเห็นตรงกันว่าต้องทำสิ่งนี้ด้วยคือ
1.ทำให้ #พลังอำนาจแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง
นี่จึงเป็นที่มาของการยุให้มนุษย์โลกทะเลาะกัน
ทำศึกสงครามกันจะได้ฆ่ากันตายคราวละมากๆ
พวกนี้ก็จะทำการผลิตอาวุธสงครามออกมา
ทั้งขายและให้มนุษย์นำไปใช้สู้รบกันตลอดมา
เพื่อลดจำนวนประชากรโลกให้เหลือน้อยลง
ซึ่งจะแปรตามค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ให้อ่อนแรงลงจากเดิมเพื่อพวกตนจะปลอดภัย
กับอีกวิธีการหนึ่งก็คือ
สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดยักษ์เทียม
เพื่อคอยลดทอนอำนาจแม่เหล็กโลก
ด้วยการเก็บฝังติดตั้งเครื่องกลนี้เอาไว้ใต้ดิน
กับการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแรงสูง
ที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าขึ้นไปในอากาศ
เพื่อช่วยทำลายโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
ที่พระเจ้าทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้อ่อนแรงลงได้
2.ปรับเปลี่ยน #ยีนส์หรือดีเอ็นเอในร่างกายตน
ให้ใกล้เคียงกับอวัยวะร่างกายของมนุษย์มากขึ้น
ด้วยการผ่าตัดโดยนำเอาดีเอ็นเอของมนุษย์โลก
มาเชื่อมต่อกับดีเอ็นเอของพวกตนแต่ไม่สำเร็จ
จึงทดลองเปลี่ยนเอาดีเอ็นเอของสัตว์ของตน
มาตัดต่อกับดีเอ็นเอของพระเจ้าในมนุษย์แทน
ปรากฏว่าสามารถปลูกถ่ายได้เป็นผลสำเร็จ
ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ด้วย
มันคือ “เซลล์มะเร็ง” ที่มีอยู่ในพวกคุณนั่นเอง
เซลล์มะเร็งมิใช่เซลล์ของพระเจ้า
แต่เป็นส่วนที่เติบโตจากดีเอ็นเอแปลกปลอม
เมื่อมนุษย์ถูกหลอกให้กินเลือดเนื้อของสัตว์
ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะของเซลล์แปลกปลอมนี้
มันจะบำรุงดูแลให้เซลล์มะเร็งเติบโตเร็วยิ่งขึ้น
อันเป็นการเติบโตเฉพาะที่เฉพาะส่วนเท่านั้น
ในที่สุดกายสังขารของมนุษย์คนนั้นก็ต้องตาย
เพราะเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งนั่นแหละ
นี่จึงช่วยลดประชากรโลกลงได้อีกทางหนึ่งด้วย
3.หาวิธีที่จะ #ย้ายจิตวิญญาณพวกตน
เข้าไปอยู่ในร่างกายของมนุษย์โลกให้ได้
ซึ่งพวกเขาเคยใช้มาแล้ว 3 วิธีด้วยกัน
#วิธีแรก
ด้วยการเข้าประทับซ้อนกับจิตวิญญาณมนุษย์
แต่พวกเขาก็ทำไม่เป็นผลสำเร็จตามที่คิดหวัง
เนื่องจากโครงสร้างหลักของมนุษย์โลกนั้น
ไม่ได้ใช้จิตวิญญาณดำเนินชีวิตเหมือนพวกตน
เพราะมนุษย์ใช้จิตหยาบทำหน้าที่แทนแก่นแท้
โดยพระเจ้าทรงออกแบบให้จิตวิญญาณมนุษย์
ประทับตรงพิกัดตำแหน่งที่ปลอดภัยเอาไว้แล้ว
พวกนี้จึงไม่อาจจะทำอะไรจิตวิญญาณคุณได้
#วิธีที่สอง
ใช้อภิญญฤทธิ์ที่พวกตนยังพอมีอยู่บ้าง
เข้าแทรกแซงกิจการภายในสังขารของมนุษย์
ด้วยวิธีการเลือกกระทำเป็นรายบุคคล
แต่ก็ไม่ได้ผลคือล้มเหลวอีกเหมือนกัน
สิ่งที่พอจะเป็นหลักฐานว่าพวกเขาทำแบบนี้มา
ก็คือวิธีสะกดจิต จูงจิต จูนจิต ประทับทรง
การสื่อสารทางจิต ไสยเวทย์ มนต์ดำ เป็นต้น
ซึ่งยังหลงเหลือให้ได้เห็นกันอยู่ในโลกทุกวันนี้
#วิธีที่สาม
เป็นวิธีที่พวกเผ่าซึ่งมีปีกบินได้เขาใช้กัน
นั่นคือการสมสู่กันกับมนุษย์แบบลองผิดลองถูก
พวกที่บินได้หลอกมนุษย์ว่าพวกตนคือเทพเจ้า
ผู้โบยบินลงมาจากฝั่งฟ้าลงมาจากพระอาทิตย์
ทำให้มนุษย์ในสมัยนั้นหลงเชื่อและยินยอม
เพราะหน้าตาพวกนี้ไม่น่ากลัวไม่น่าเกลียดอะไร
แถมยังสามารถกระตุ้นอารมณ์เพศได้ดีเสียด้วย
เพราะการสมสู่กันกับมนุษย์สตรีเพศของโลก
แม้มันจะได้ผลบ้างแต่มันก็สร้าง #คนยักษ์
จากผลิตผลของมนุษย์กับเทพเจ้าที่มีปีกพวกนี้
ขึ้นมาเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่จำนวนมากมาย
โดยพระเจ้ามิได้ทรงพอพระทัยเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากเด็กที่เกิดใหม่เป็นคนยักษ์ทั้งหลายนั้น
จิตวิญญาณเป็นของพวกที่มีปีกบินได้มิใช่มนุษย์
แม้เด็กที่เกิดใหม่จะไม่มีปีกเหมือนพ่อก็ตาม
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
11/06/2566