(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างให้เป็น คนสองมิติ
ประกอบด้วย มิติทางพลังงาน ด้านแก่นแท้
โดยมีจิตสามนึกของ “จิตหยาบ” หรือจิตมนุษย์
ใช้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายสังขารหรือกายหยาบ
เป็นพฤติกรรมภายนอกทั้งกายกรรมและวจีกรรม
ในลักษณะของ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
“จิตสามนึก” ก็คือ “นึกออก นึกเอา นึกเอง”
จิตสามนึกที่ว่านี้ล้วนเป็นต้นกำเนิดหรือบ่อเกิด
ทั้งพฤติกรรมดีอันเป็นที่พึงประสงค์ของคนอื่นๆ
กับพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือพฤติกรรมชั่วๆ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนอื่น
ถ้านึกดีหรือนึกบวก ก็จะคิดดี ทำดีและพูดดี
อันเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
แต่มีข้อเสียก็คือจะมองโลกในแง่ดีมากเกินไป
จนอาจเป็นเหยื่อของคนไม่ดีหรือไม่ซื่อได้ง่าย
ถ้านึกด้านดีหรือนึกด้านบวก
ก็จะคิดในด้านดี เพื่อทำดีและพูดดีในด้านนั้นๆ
อันเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
โดยมีข้อดีก็คือจะมองคนอื่นในแง่ดีที่รอบครอบ
มองคนอื่นอย่างมีหลักการบนพื้นฐานของความจริง
มองในสิ่งที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผลรองรับเสมอ
ถ้านึกลบหรือนึกชั่ว ก็จะคิดชั่ว ทำชั่วและพูดชั่ว
อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
ซึ่งมีข้อเสียก็คือจะมองคนอื่นหรือมองโลกในแง่ร้าย
ในแบบของ คนวิตกจริต คือ “ตีตนไปก่อนไข้”
จนอาจทำให้คนอื่นเสียหายทุกข์ร้อนวุ่นวายใจ
ทำให้คนรอบข้างเสียสมดุลเพราะถูกก้าวล่วง
ทำให้เกิดการ “เกี่ยวกรรม” ต่อกันและกันได้ง่าย
ถ้าไม่ใช้ มหาสติ หรือ “ธรรมชาติสมาธิ” ค้ำไว้
การนึกด้านลบที่ว่านี้
เป็นการนึกคิดในมุมที่มีหลักการและเหตุผลรองรับ
เป็นการมองโลกหรือมองคนอื่นๆตามความเป็นจริง
เพื่อป้องกันตนเองไว้ไม่ให้ตกหลุมพรางของคนชั่ว
ทั้งยังจะช่วยคนอื่นไม่ให้ทำผิดคิดชั่วต่อตนเองด้วย
โดยเป็นการมองโลกในอนาคตแบบ ผู้มีวิสัยทัศน์
ในลักษณะของการ “ฉลาดอ่านคน” ด้วยจิตปัญญา
ซึ่งตรงข้ามกันกับคนที่ “วิตกจริต” อย่างสิ้นเชิง
เพราะคนวิตกจริตจะเป็นคนชอบหวาดระแวงคนอื่น
มักมองคนอื่นในแง่ร้ายจนจิตเสียสมดุลไปตามนั้น
ทั้ง ๆที่ในความเป็นจริงคนที่ถูกมองในแง่ร้ายนั้น
ตนก็ยังไม่ได้พิสูจน์ตรวจสอบให้แน่ชัดเลยว่า
เขาทำผิดคิดบาปชั่วต่อตัวเองไปแล้วจริงหรือไม่
แต่เกิดอาการ “จิตตก” ไปเพราะนึกลบเสียก่อนแล้ว
คนที่มองโลกหรือมองคนอื่นทั้งนึกบวกและนึกลบ
ที่ทำให้ทั้งตนเองและคนรอบข้างเสียหายได้ง่ายๆ
มักจะเกิดจาก “นิสัยการมองโลก” ที่ไม่ถูกต้อง
จนเกิดความเคยตัวเพราะมิได้ใช้สติและปัญญา
ทำให้เกิดปัญหาการดำเนินชีวิตในสังคมอยู่เนืองๆ
ดังนั้น
จึงเป็นหน้าที่ของพวกคุณเองเมื่อรู้ความจริงนี้แล้ว
จักต้องฝึกนึกก่อนคิดคิดก่อนพูดและคิดก่อนทำ
ด้วยการนึกด้านบวกเพื่อการคิดและทำด้านบวก
ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างคุณทุกคนไว้เสมอ
โดยต้องใช้สติปัญญาและหรือปัญญาญาณ
นำการแสดงออกหรือกระทำภายนอกที่เคยตัว
แทนการใช้อารมณ์รู้สึกกับนิสัยการนึกลบของจิต
เพื่อการหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับผู้อื่นให้ได้
การนึกด้วยจิตก่อนการคิดด้วยสมอง
แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
มันคือพฤติกรรมการเริ่มต้นที่จิตสัมฤทธิ์ที่กาย
อันเป็นบทบาทของการ “คนสองมิติ” ให้เข้ากัน
ซึ่งเราหมายถึง การหมุนธรรมจักร นั่นแหละ
ถ้าคุณสามารถใช้ความรักบริสุทธิ์เป็นตัวตั้งต้นได้
ขันธ์ห้าของคุณก็จะผลิตพลังงานบริสุทธิ์ออกมา
เพื่อช่วยค้ำจุนความสมดุลของโลกนี้ได้ในทันที
เพราะมนุษย์ถูกสร้างให้เป็นคนสองมิติ
มนุษย์จึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกให้ถูกต้อง
เพื่อสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม
แล้วใช้มโนกรรมที่ถูกต้องนั้นขับเคลื่อนออกมา
เป็นพฤติกรรมภายนอกคือวจีกรรมและกายกรรม
รวมเรียกว่าการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
เพื่อช่วยสร้างเงื่อนไขด้านดีที่พึงประสงค์ของคนอื่น
ให้เขาทั้งหลายสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกตาม
เพื่อการหมุนธรรมจักรด้วยรักบริสุทธิ์ไปกับคุณด้วย
นอกจากนั้นพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง
ยังทรงติดตั้งกลไกอีกชิ้นหนึ่งเรียกว่า จิตใต้สำนึก
ให้คอยสั่นสะเทือนไปตาม “จิตทั้งสามนึก” เสมอ
เพื่อให้เกิดเป็นการกระทำในมิติของจิตวิญญาณด้วย
เมื่อคุณสั่นสะเทือนเป็นพฤติกรรมในมิติแห่งเนื้อหนัง
คุณก็สร้างพฤติกรรมในมิติของแก่นแท้ควบคู่ไปด้วย
มิติของแก่นแท้จึงเป็นมิติคู่ขนานกันกับมิติโลก
ซึ่งมันเป็นกระบวนการอัตโนมัติที่มนุษย์จะต้องรู้
ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าคุณทำผิดคิดชั่วกับใครในมิติโลกทางกายภาพ
จิตวิญญาณคุณจักต้องรับผิดชอบในผิดบาปนั้นเสมอ
แม้ตัวเองมิได้เป็นผู้กระทำในผิดบาปนั้นแต่อย่างใด
โดยความผิดบาปนี้จิตวิญญาณคุณจะต้องรับผิดชอบ
แม้ว่าจิตหยาบใช้จิตสามนึกไม่ถูกต้องกระทำผิดบาป
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมด้านลบอยู่ข้างใน
ซึ่งเป็นการ ก้าวล่วงผู้อื่น ด้วยสันดานหรือขาดสติ
จิตวิญญาณคือตัวตนแท้จริงของคุณก็ต้องรับกรรมนั้น
โดยจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
กระบวนการทำงานร่วมของจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึก
เป็นกระบวนการที่แฝงเร้นใน 5 ขั้นตอนหรือ ขันธ์ 5
ที่เราพอจะนำมาอรรถาธิบายแบบสรุปย่อเอาไว้ในที่นี้
ซึ่งในอดีตมนุษย์โลกทั้งหลายยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้กันอยู่
ตัวอย่างเช่น
ไม่รู้ว่าทำไมจึงโกหกตอแหลหรือทำผิดสัจจะไม่ได้
ไม่รู้ว่าผิดสัจจะคือการพูดหรือทำไม่ตรงกับที่นึกที่คิด
ไม่รู้ว่าทำไมจึงปฏิเสธกฎแห่งกรรมของพระเจ้าไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไมจึงหนีกฎแห่งกรรมไปไม่พ้น
ไม่รู้ว่าก่อกรรมไว้ในอดีตส่งผลถึงปัจจุบันได้อย่างไร
ไม่รู้ว่า เวรกรรม ต่างจาก บาปกรรม อย่างไรบ้าง
ไม่รู้ว่าทำไมจึงทำผิดศีลห้าของพระพุทธองค์ไม่ได้
ถ้าคุณตั้งใจอ่านพระโอวาทนี้ให้จบหลายๆเที่ยว
จะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรู้และเข้าใจตนเองมากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะเข้าใจเรื่องจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึก
มันจะช่วยให้คุณเป็นมนุษย์ที่สมดุลเร็วขึ้นกว่าเดิม
เพราะสามารถใช้จิตสามนึกได้อย่างถูกต้อง
แทนที่จะถูกหลอกให้ใช้จิตใต้สำนึกแบบมั่วซั่ว
แทนที่จะถูกหลอกให้ใช้กิเลสกับความก้าวร้าว
อันเป็นสัญชาติญาณสัตว์พวกที่ไม่มีจิตหยาบ
ซึ่งมีทั้งสัตว์โลกและสัตว์ในต่างเผ่าตาว
คุณจะถูกเรียกว่ามนุษย์ได้อย่างเต็มคำมากขึ้น
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
30/06/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างให้เป็น คนสองมิติ
ประกอบด้วย มิติทางพลังงาน ด้านแก่นแท้
โดยมีจิตสามนึกของ “จิตหยาบ” หรือจิตมนุษย์
ใช้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายสังขารหรือกายหยาบ
เป็นพฤติกรรมภายนอกทั้งกายกรรมและวจีกรรม
ในลักษณะของ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
“จิตสามนึก” ก็คือ “นึกออก นึกเอา นึกเอง”
จิตสามนึกที่ว่านี้ล้วนเป็นต้นกำเนิดหรือบ่อเกิด
ทั้งพฤติกรรมดีอันเป็นที่พึงประสงค์ของคนอื่นๆ
กับพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือพฤติกรรมชั่วๆ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนอื่น
ถ้านึกดีหรือนึกบวก ก็จะคิดดี ทำดีและพูดดี
อันเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
แต่มีข้อเสียก็คือจะมองโลกในแง่ดีมากเกินไป
จนอาจเป็นเหยื่อของคนไม่ดีหรือไม่ซื่อได้ง่าย
ถ้านึกด้านดีหรือนึกด้านบวก
ก็จะคิดในด้านดี เพื่อทำดีและพูดดีในด้านนั้นๆ
อันเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
โดยมีข้อดีก็คือจะมองคนอื่นในแง่ดีที่รอบครอบ
มองคนอื่นอย่างมีหลักการบนพื้นฐานของความจริง
มองในสิ่งที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผลรองรับเสมอ
ถ้านึกลบหรือนึกชั่ว ก็จะคิดชั่ว ทำชั่วและพูดชั่ว
อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
ซึ่งมีข้อเสียก็คือจะมองคนอื่นหรือมองโลกในแง่ร้าย
ในแบบของ คนวิตกจริต คือ “ตีตนไปก่อนไข้”
จนอาจทำให้คนอื่นเสียหายทุกข์ร้อนวุ่นวายใจ
ทำให้คนรอบข้างเสียสมดุลเพราะถูกก้าวล่วง
ทำให้เกิดการ “เกี่ยวกรรม” ต่อกันและกันได้ง่าย
ถ้าไม่ใช้ มหาสติ หรือ “ธรรมชาติสมาธิ” ค้ำไว้
การนึกด้านลบที่ว่านี้
เป็นการนึกคิดในมุมที่มีหลักการและเหตุผลรองรับ
เป็นการมองโลกหรือมองคนอื่นๆตามความเป็นจริง
เพื่อป้องกันตนเองไว้ไม่ให้ตกหลุมพรางของคนชั่ว
ทั้งยังจะช่วยคนอื่นไม่ให้ทำผิดคิดชั่วต่อตนเองด้วย
โดยเป็นการมองโลกในอนาคตแบบ ผู้มีวิสัยทัศน์
ในลักษณะของการ “ฉลาดอ่านคน” ด้วยจิตปัญญา
ซึ่งตรงข้ามกันกับคนที่ “วิตกจริต” อย่างสิ้นเชิง
เพราะคนวิตกจริตจะเป็นคนชอบหวาดระแวงคนอื่น
มักมองคนอื่นในแง่ร้ายจนจิตเสียสมดุลไปตามนั้น
ทั้ง ๆที่ในความเป็นจริงคนที่ถูกมองในแง่ร้ายนั้น
ตนก็ยังไม่ได้พิสูจน์ตรวจสอบให้แน่ชัดเลยว่า
เขาทำผิดคิดบาปชั่วต่อตัวเองไปแล้วจริงหรือไม่
แต่เกิดอาการ “จิตตก” ไปเพราะนึกลบเสียก่อนแล้ว
คนที่มองโลกหรือมองคนอื่นทั้งนึกบวกและนึกลบ
ที่ทำให้ทั้งตนเองและคนรอบข้างเสียหายได้ง่ายๆ
มักจะเกิดจาก “นิสัยการมองโลก” ที่ไม่ถูกต้อง
จนเกิดความเคยตัวเพราะมิได้ใช้สติและปัญญา
ทำให้เกิดปัญหาการดำเนินชีวิตในสังคมอยู่เนืองๆ
ดังนั้น
จึงเป็นหน้าที่ของพวกคุณเองเมื่อรู้ความจริงนี้แล้ว
จักต้องฝึกนึกก่อนคิดคิดก่อนพูดและคิดก่อนทำ
ด้วยการนึกด้านบวกเพื่อการคิดและทำด้านบวก
ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างคุณทุกคนไว้เสมอ
โดยต้องใช้สติปัญญาและหรือปัญญาญาณ
นำการแสดงออกหรือกระทำภายนอกที่เคยตัว
แทนการใช้อารมณ์รู้สึกกับนิสัยการนึกลบของจิต
เพื่อการหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับผู้อื่นให้ได้
การนึกด้วยจิตก่อนการคิดด้วยสมอง
แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
มันคือพฤติกรรมการเริ่มต้นที่จิตสัมฤทธิ์ที่กาย
อันเป็นบทบาทของการ “คนสองมิติ” ให้เข้ากัน
ซึ่งเราหมายถึง การหมุนธรรมจักร นั่นแหละ
ถ้าคุณสามารถใช้ความรักบริสุทธิ์เป็นตัวตั้งต้นได้
ขันธ์ห้าของคุณก็จะผลิตพลังงานบริสุทธิ์ออกมา
เพื่อช่วยค้ำจุนความสมดุลของโลกนี้ได้ในทันที
เพราะมนุษย์ถูกสร้างให้เป็นคนสองมิติ
มนุษย์จึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกให้ถูกต้อง
เพื่อสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม
แล้วใช้มโนกรรมที่ถูกต้องนั้นขับเคลื่อนออกมา
เป็นพฤติกรรมภายนอกคือวจีกรรมและกายกรรม
รวมเรียกว่าการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
เพื่อช่วยสร้างเงื่อนไขด้านดีที่พึงประสงค์ของคนอื่น
ให้เขาทั้งหลายสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกตาม
เพื่อการหมุนธรรมจักรด้วยรักบริสุทธิ์ไปกับคุณด้วย
นอกจากนั้นพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง
ยังทรงติดตั้งกลไกอีกชิ้นหนึ่งเรียกว่า จิตใต้สำนึก
ให้คอยสั่นสะเทือนไปตาม “จิตทั้งสามนึก” เสมอ
เพื่อให้เกิดเป็นการกระทำในมิติของจิตวิญญาณด้วย
เมื่อคุณสั่นสะเทือนเป็นพฤติกรรมในมิติแห่งเนื้อหนัง
คุณก็สร้างพฤติกรรมในมิติของแก่นแท้ควบคู่ไปด้วย
มิติของแก่นแท้จึงเป็นมิติคู่ขนานกันกับมิติโลก
ซึ่งมันเป็นกระบวนการอัตโนมัติที่มนุษย์จะต้องรู้
ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าคุณทำผิดคิดชั่วกับใครในมิติโลกทางกายภาพ
จิตวิญญาณคุณจักต้องรับผิดชอบในผิดบาปนั้นเสมอ
แม้ตัวเองมิได้เป็นผู้กระทำในผิดบาปนั้นแต่อย่างใด
โดยความผิดบาปนี้จิตวิญญาณคุณจะต้องรับผิดชอบ
แม้ว่าจิตหยาบใช้จิตสามนึกไม่ถูกต้องกระทำผิดบาป
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมด้านลบอยู่ข้างใน
ซึ่งเป็นการ ก้าวล่วงผู้อื่น ด้วยสันดานหรือขาดสติ
จิตวิญญาณคือตัวตนแท้จริงของคุณก็ต้องรับกรรมนั้น
โดยจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
กระบวนการทำงานร่วมของจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึก
เป็นกระบวนการที่แฝงเร้นใน 5 ขั้นตอนหรือ ขันธ์ 5
ซึ่งในอดีตมนุษย์โลกทั้งหลายยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้กันอยู่
ตัวอย่างเช่น
ไม่รู้ว่าทำไมจึงโกหกตอแหลหรือทำผิดสัจจะไม่ได้
ไม่รู้ว่าผิดสัจจะคือการพูดหรือทำไม่ตรงกับที่นึกที่คิด
ไม่รู้ว่าทำไมจึงปฏิเสธกฎแห่งกรรมของพระเจ้าไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไมจึงหนีกฎแห่งกรรมไปไม่พ้น
ไม่รู้ว่าก่อกรรมไว้ในอดีตส่งผลถึงปัจจุบันได้อย่างไร
ไม่รู้ว่า เวรกรรม ต่างจาก บาปกรรม อย่างไรบ้าง
ไม่รู้ว่าทำไมจึงทำผิดศีลห้าของพระพุทธองค์ไม่ได้
ถ้าคุณตั้งใจอ่านพระโอวาทนี้ให้จบหลายๆเที่ยว
จะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรู้และเข้าใจตนเองมากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะเข้าใจเรื่องจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึก
มันจะช่วยให้คุณเป็นมนุษย์ที่สมดุลเร็วขึ้นกว่าเดิม
เพราะสามารถใช้จิตสามนึกได้อย่างถูกต้อง
แทนที่จะถูกหลอกให้ใช้จิตใต้สำนึกแบบมั่วซั่ว
แทนที่จะถูกหลอกให้ใช้กิเลสกับความก้าวร้าว
อันเป็นสัญชาติญาณสัตว์พวกที่ไม่มีจิตหยาบ
ซึ่งมีทั้งสัตว์โลกและสัตว์ในต่างเผ่าตาว
คุณจะถูกเรียกว่ามนุษย์ได้อย่างเต็มคำมากขึ้น
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
30/06/2566