18 มิถุนายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 18/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
พวกคุณอย่าเข้าใจผิดไปว่า
การปฏิบัติธรรมด้วยวิธีนั่งกรรมฐานนั้นไม่ดี
เราจะบอกว่าในส่วนที่ดีนั้นมันก็ยังพอมีอยู่นะ
ไม่ใช่ว่าไม่มีหรือว่าไม่มีอะไรดีเสียเลย
 
หากคุณจะ #ปฏิบัติธรรม มิใช่แค่ปฏิบัติ “ทำ”
ก็ต้องไม่ยึดเอาวิธีปฏิบัติ #กรรมฐานสมาธิ
มาเป็น #พิธีกรรมในการปฏิบัติธรรม เด็ดขาด
เพราะวิธีการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุธรรมนั้น
ต้องเป็นไปตามหลักแห่งธรรมชาติสถานเดียว
จะเสแสร้งแกล้งทำหรือทำแบบดัดจริตไม่ได้
เราจึงขอเน้นให้พวกคุณที่เป็นคนชอบ “ธรรม”
ให้ได้มีความเข้าใจตรงจริงโดยทั่วกันว่า
 
1.คุณจะปฏิบัติธรรมที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้
ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสถานธรรมหรือวัดเท่านั้น
เพราะการปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติด้วยจิตตปัญญา
ซึ่งสถานที่ปฏิบัติสำคัญก็อยู่ในตัวของคุณเอง
จะไปปฏิบัติที่วัดหรือสถานธรรมที่ไหนบนโลกนี้
คุณก็ต้องทำที่จิตตปัญญาของตัวเองเหมือนกัน
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ทุกแห่ง
 
2.การปฏิบัติธรรมคือการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์
โดยใช้อายตนะร่วมกับ “ขันธ์ 5” และรักเพื่อให้
จากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบที่เป็นตัวคุณเอง
เพื่อคนสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้จงได้
อันหมายถึงการสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
เพื่อให้เกิดมโนกรรมแล้วแสดงออกมาภายนอก
ให้เป็นวจีกรรมคำพูดและเป็นการกระทำทางกาย
ที่เป็นเงื่อนไขด้านบวกซึ่งคนรอบข้างพึงประสงค์
เพื่อชวนเชิญพวกเขามาร่วมหมุนธรรมจักรกับคุณ
 
เพราะถ้าคุณช่วยให้พวกเขาทุกคน
ซึ่งอาจเป็นลูกผัวตัวเมียที่เป็นคนในครอบครัว
หรือว่าคนรอบข้างในสังคมในทีมงานในชุมชน
ซึ่งคุณกำลังมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับพวกเขาอยู่
สั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกสนองตอบคุณได้
เพราะนั่นเท่ากับว่าพวกเขาทุกคนที่แวดล้อมคุณ
กำลังพร้อมใจกันหันมาให้ความช่วยเหลือตัวคุณ
โดยยินยอมพร้อมใจกันทำการ “หมุนธรรมจักร”
ด้วยพลังงานรวมจากจิตสามนึกด้านบวก
จากสมการต่อไปนี้ได้แล้ว
βx = 3X² (β₁+β₂+β₃+…+βx)
มีเงื่อนไขว่าตัว X ต้องแทนค่าด้วย 3 คนขึ้นไป
ทุกคนก็อยู่บนพื้นที่ 33.33 ตร.กิโลเมตรอยู่แล้ว
 
3.การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงต้องเริ่มต้นที่จิตหยาบ
คือการปฏิบัติที่จิตให้มีผลสัมฤทธิ์ที่กายภายนอก
เพื่อใช้พฤติกรรมด้านบวกของจิตที่เป็นมโนกรรม
ขับเคลื่อนเป็นพฤติกรรมด้านบวกออกมาภายนอก
คือกระบวนการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกนั่นเอง
 
ดังนั้น
คุณกับเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบข้างซึ่งกันและกัน
มีหน้าที่ต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกร่วมกัน
เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกันกับคนอื่นๆ
คุณจึงปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรมคนเดียวไม่ได้
จะปฏิบัติธรรมโดยแกล้งทำอายตนะพิการไม่ได้
จะใช้จิตหยาบที่ถูกกิเลสมารครอบงำอยู่ก็ไม่ได้
จะนึกด้วยจิตไม่คิดด้วยปัญญาของสมองก็ไม่ได้
 
ด้วยเหตุนี้เอง
การปฏิบัติธรรมจึงแบ่งออกเป็น 9 อย่าง คือ
 
1.การปฏิบัติธรรมต้อง “ใช้ชีวิตเป็นสังคม”
2.การปฏิบัติธรรมต้อง “ไม่ปิดอายตนะ” ภายนอก
3.การปฏิบัติธรรมต้อง “เปิดจิต” ไม่ปิดมิติมันไว้
4.การปฏิบัติธรรมต้อง “ชำระกิเลส” ในจิตหยาบ
5.การปฏิบัติธรรมต้อง “เปิดอายตนะ” รับรู้ทุกด้าน
6.การปฏิบัติธรรมต้องฝึกใช้ “อายตนะทั้ง6”
7.การปฏิบัติธรรมต้องฝึกใช้ “จิตสามนึก” ให้เป็น
8.การปฏิบัติธรรมต้องฝึกใช้ “สมอง” ให้คล่อง
9.การปฏิบัติธรรมต้องฝึกใช้ “ความรักแท้” ให้ได้
 
ถ้าคุณปฏิบัติตนทั้ง 9 อย่างนี้ในชีวิตประจำวัน
โดยค่อยๆเรียนรู้และฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ
ด้วยการปฏิบัติร่วมกันกับคนใกล้ตัวทุกคน
ปฏิบัติการนี้ร่วมกันอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
เพื่อที่จะยกระดับจิตตปัญญาร่วมกันแบบรวมหมู่
โดยทุกคนต้องเริ่มต้นปฏิบัติการนี้ที่ตนเองให้ได้
แต่ละคนก็จะยกระดับจิตหยาบจาก 4D สู่ 5D ได้
ด้วยกระบวนการอัตโนมัติที่พระเจ้าออกแบบไว้
 
4.การปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
ที่พระศาสดาท่านทรงแสดงตัวอย่างเอาไว้นั้น
เป็น “วิธีการ” เข้าถึงพลังอำนาจของจิตหยาบ
ที่ทรงเรียกสั้นๆว่าเป็นวิธีการ “เข้าถึงฌาน”
โดยฝึกควบคุมจิตหยาบที่ไม่เคยอยู่นิ่งให้นิ่งสงบ
เพราะจิตมนุษย์มี 3 นึกคือนึกออก นึกเอา นึกเอง
มันจะนึกของมันอยู่ตลอดเวลาในยามที่คุณตื่น
ที่พระเจ้าทรงเรียกว่า “ซุกซนลุกลน” เหมือนลิง
 
การนั่งกรรมฐานจึงต้องปิดอายตนะภายนอกไว้
เพื่อปิดการสัมผัสสิ่งเร้าภายนอกทั้งห้าช่องทาง
มิให้ส่งรหัสเข้าไปสู่จิตหยาบที่มันซุกซนอยู่แล้ว
มิให้ใช้เป็นเงื่อนไขสั่นสะเทือนจิตหยาบเพิ่มอีก
พระองค์ก็จะทรงสะดวกขึ้นในการกำกับจิตหยาบ
ให้มันทำตนอยู่ในโอวาทหรือว่านอนสอนง่ายได้
เพราะเหลือแต่จิตหยาบอย่างเดียวแล้ว
 
เมื่อทรงเชี่ยวชาญในการกดดันจิตหยาบนั้นแล้ว
ก็เหมือนเด็กที่ซุกซนแล้วหยุดซุกซนได้ฉับพลัน
เพราะอำนาจการกดดันจาก “ไม้เรียว” ของพ่อแม่
เด็กคนนั้นจึงไม่กล้าซุกซนต่อหน้าไม้เรียวอีก
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเด็กคนนั้นได้เปลี่ยนนิสัย
จากที่เคยซุกซนไม่อยู่นิ่งกลายเป็นเด็กเรียบร้อย
ในเวลาไม่ช้านานเพราะอำนาจไม้เรียวนั้นได้แล้ว
แต่นิสัยซุกซนของเด็กคนนั้นก็ยังมีอยู่ดังเดิม
 
มนุษย์แต่ละคนก็เช่นกัน
การนั่งสมถะกรรมฐานจึงเป็นวิธีการฝึกจิต
ให้หยุดนิ่งอยู่กับบางสิ่งที่คุณกำหนดให้มันอยู่
เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ นะโม เข้า ออก
ตามลมหายใจไว้ที่ปลายจมูกหรือหน้าท้อง
เพื่อทำให้จิตทั้งสามนึกมันอยู่ในโอวาทให้ได้
เพื่อเปลี่ยนจากเด็กดื้อหรือเด็กซนเป็นเด็กดี
เพียงแค่ชั่วคราวขณะนั่งฝึกสอนมันอยู่นั่นเอง
 
เนื่องจากจิตมนุษย์มันมิได้มีแต่ “สามตัวนึก”
นั่นคือนึกออก นึกเอาและนึกเอง อยู่เท่านั้นนะ
ขณะนั้น “ขันธ์ 5” มันยังมิได้สั่นสะเทือนขึ้นมา
กิเลสตัณหาราคะที่จะเกิดขึ้นใหม่จึงยังไม่เกิด
กับจริตสันดานเดิมในสัญญาขันธ์จึงยังไม่เกิด
คนที่นั่งสมถะกรรมฐานก็จงอย่าหลงตนเองว่า
คุณสามารถดับกิเลสตัณหาราคะทั้งปวงได้แล้ว
แต่คุณได้เอาไม้กดทับวัชพืชเอาไว้ชั่วคราว
โดยที่รากและเมล็ดของมันยังคงมีอยู่ดังเดิม
 
5.การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี่ก็เหมือนกัน
เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมแบบหนึ่งซึ่งทรงสอนไว้
เมื่อฝึกจิตให้เกิดฌานด้วยสมถะกรรมฐานแล้ว
จึงฝึกต่อยอดให้จิตหยาบทำงานร่วมกับสมอง
เป็นการ “ฝึกคิด” ด้วยปัญญาของสมอง 2 ซีก
เพื่อการรู้จักตนเองและคนรอบข้างก็คือโลก
เพื่อการเข้าถึงมโนกรรมกายกรรมและวจีกรรม
ที่ตนเองกับคนรอบข้างทุกคนพึงประสงค์ได้
 
ถ้าฌานสูงความฉลาดทางปัญญาของสมองก็สูง
มันจะยังผลให้การหมุนธรรมจักรในสังคมร่วมกัน
จนสามารถสร้างความสนิทสนมกลมเกลียวกันได้
โดยไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันก่อศึกกัน
เพราะทุกคนเข้าถึงสิ่งที่เป็นความรักบริสุทธิ์ต่อกัน
ทำให้จิตหยาบแต่ละคนยกระดับสู่มิติที่สูงขึ้นได้
นอกจากนั้นยังสามารถสร้างสมการ “ซัมเบต้า X”
ช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองในขณะเดียวกันด้วย
 
ทั้งหมดที่เรากล่าวมา
คือความดีงามของการปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ
เพื่อคนชอบทำจะได้เป็นคนชอบธรรมจริงเสียที
โดยที่เราจะขอบอกว่าการครองธรรมชาติสมาธิ
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลในชีวิตประจำวันนั้น
จะช่วยให้คุณก้าวหน้าได้ไม่หลงไปทางผิดอีกเลย
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
18/06/2566