05 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 5/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

พระผู้สร้างทุกสิ่งในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้

คือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่พระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสิ่ง

ที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของสัตว์และมนุษย์

ผู้มีหน้าที่เป็น “เพื่อนร่วมงานกับโลก” กันมายาวนาน

โดยจำนวนรูปธรรมและน้ำหนักมวลของสัตว์และมนุษย์

ถูกกำหนดให้มีค่า “จำกัด” จะมากหรือน้อยกว่ามิได้

เพราะจะส่งผลให้โลกเสรีดวงนี้เสียสมดุลไปทันที

 

พระผู้สร้างจึงทรงส่งจิตวิญญาณของพวกคุณและสัตว์

เข้ามาเกิดเป็นรูปธรรมของ “สิ่งมีชีวิต” ที่มี 2 มิติ

ให้เข้ามาใช้เมตตาธรรมหรือความรักบริสุทธิ์ค้ำจุนโลก

เพื่อช่วยทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ด้วยอัตราเร็วคงที่คือยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งรอบ

 

คำว่า “ค้ำจุนโลก” หมายถึง ช่วยกันทำให้โลกสมดุล

คำว่า “โลกสมดุล” หมายถึง แกนหมุนไม่แกว่งไม่ส่าย

 

อาการเสียสมดุลของโลกที่มนุษย์จะสังเกตได้ก็คือ

ภูมิอากาศของโลกจะวิปริตแปรปรวนปั่นป่วนไปหมด

ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดถี่ขึ้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเกิดขึ้นแต่ละครั้งในแต่ละที่จะสร้างความเสียหาย

ทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งของคนและสัตว์จำนวนไม่น้อย

เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ

พายุหมุนรุนแรง คลื่นอากาศร้อน คลื่นอากาศหนาวเย็น

ฝนตกหนักจนน้ำท่วมฉับพลัน แผ่นดินสไลด์ ภูเขาถล่ม

เกิดพายุหิมะถล่ม ฝนน้ำแข็งหรือพายุลูกเห็บ เป็นต้น

 

เนื่องจากดาวโลกจะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา

เมื่อโลกเสียสมดุลเมื่อใดภัยธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นเสมอ

โดยไม่มีใครพยากรณ์ล่วงหน้าได้ว่าอาการเสียสมดุลนั้น

จะทำให้ “ภัยธรรมชาติ” ที่ว่านี้ปรากฏเกิดขึ้นตรงพิกัดใด

ภาษาชาวบ้านกล่าวว่า “หวย” ออกที่ใครก็ไม่รู้นั่นแหละ

 

ถ้าจะกล่าวให้เป็นภาพรวมแล้วก็พอจะกล่าวได้ว่า

การเสียสมดุลของโลกทั้งระบบนั้นพวกคุณมีส่วนทั้งสิ้น

เพราะการเสียสมดุลของโลกมิได้เกิดจากเหตุภายนอก

บ้านคุณจะทรุดจะเซหรือจะทรงตัวอยู่อย่างมั่นคงหรือไม่

ล้วนเกิดจากสาเหตุในตัวบ้านและในที่ตั้งของบ้านทั้งสิ้น

ก็คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นนั่นแหละใช่ใครที่ไหนล่ะ

 

โลกนี้ก็เช่นกัน

อาการเสียสมดุลจนโลกเหวี่ยงหมุนช้าลง

ล้วนเกิดจากพวกคุณบกพร่องต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

ถูกสอนให้เสพติดกิเลสจนทำทุกสิ่งในชีวิตเพื่อตนเอง

แม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมก็ยังทำเพื่อไปสวรรค์คนเดียว

มิได้ใส่ใจในการทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกเลย

เพราะโง่ง่ายถูกหลอกให้กลัวความทุกข์จนขาดสติ

สอนให้หนีทุกข์โดยตายแล้วไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีก

แล้วหลอกว่านั่นคือนิพพาน (แบบตาลยอดด้วน) แล้ว

 

โดยหลอกเอาจิตวิญญาณพวกคุณไปแขวนไว้ในอวกาศ

หลอกให้คุณไปนั่งนอนเสพติดกิเลสอยู่บนเมืองทิพย์

ซึ่งเป็นดินแดนมายาเป็นเมืองในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง

เป็นดินแดนที่ไม่มีอยู่จริงเพราะพระผู้สร้างมิได้สร้างไว้

แต่มารที่เป็นศัตรูของพวกคุณซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า

หลอกให้พวกคุณใช้พลังความเชื่อความศรัทธาของตน

วาดฝันสร้างจินตนาการไปตามพิมพ์เขียวที่เห็นในทุกที่

 

เมื่อจิตวิญญาณคุณตายไปจากโลกในชาตินั้นๆเมื่อไหร่

ด้วยอำนาจกิเลสที่ขับเคลื่อนความอยากเป็นอยากไป

จะส่งให้จิตวิญญาณของคุณหลุดลอยไปแขวนอยู่บนนั้น

คล้ายอาการของคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในความ “ฝัน”

ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่ถ้าไม่ฝันกลางคืนก็ฝันกลางวัน

แต่ถ้าหลุดลอยไปแขวนอยู่บนนั้นคุณจะฝันทั้งวันคืนเลย

 

หากตราบใดที่คุณยังเชื่อยังศรัทธายังมีกิเลสครอบงำอยู่

สวรรค์มายาที่เป็นเมืองในฝันเป็นวิมานเทียมเท็จก็ยังอยู่

แถมภาพมายาสวรรค์ของพวกคุณแต่ละคนดันเหมือนกัน

เพราะสัญญาขันธ์พวกคุณนั้นจำแบบอย่างมาจากต้นฉบับ

ที่ถูกขีดเขียนเผยแพร่เอาไว้ในที่ซึ่งคนชอบทำชอบไปกัน

จินตนาการของจิตคุณจึงสร้างภาพมายาสวรรค์นั้นขึ้นมา

ให้เป็นภาพมายาที่เหมือนกันขึ้นมาได้ตามที่เห็นนั่น

 

พวกคุณต้องรู้ว่า

การหลอกให้จิตหยาบเสพติดกิเลสตั้งแต่เด็กจนโต

การหลอกให้ปฏิบัติธรรมด้วยการปฏิบัติ “ทำ” เพื่อตนเอง

ด้วยการทำบุญที่แอบแฝงเอาไว้ด้วยกิเลสอย่างแยบยล

เช่น สอนให้ทำบุญเบื้องล่างเพื่อเอาไปสร้างเบื้องบน

สอนให้ทำบุญชาตินี้เพื่อไปเอาดีในชาติหน้า

สอนให้ทำบุญเอาหน้าสอนให้ทำเพื่อแสวงหาประโยชน์

ล้วนถูกมารหลอกลวงทั้งสิ้น

 

ทั้งๆที่จิตวิญญาณพวกคุณอาสามาเกิดบนดาวโลกดวงนี้

ไม่มีหน้าที่ต้องตายจนกว่าจะครบ 6 หมื่นปีโลกคือสิ้นยุค

เพราะพวกคุณมีหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลก

ทุกคนต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกเพื่อทำงานกันทุกวันคืน

ต้องรักกันเพื่อสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็น 5 ขั้นตอน

ให้เกิดผลกรรมเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ

อันเป็นกระบวนการ 2 มิติตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้

ซึ่งพวกคุณอาจเรียกว่า “กระบวนการขันธ์ 5” ก็ได้

 

ถ้าจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นขันธ์ห้าได้เมื่อใด

คุณก็จะแสดงพฤติกรรมออกมาได้ในสองมิติเสมอ

มิติแรกก็คือมิติของจิตวิญญาณที่สองตาคุณมองไม่เห็น

ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้

โดยมันจะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายของคุณ

อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบคือมโนกรรม

 

ส่วนมิติที่สอง

มโนกรรมที่เป็นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบนั้น

ก็จะขับเคลื่อนพฤติกรรมนั้นออกมาภายนอก

เป็นคำพูดหรือการกระทำด้วยวาจาและอวัยวะร่างกาย

ที่เรียกกันว่า “วจีกรรม” และ “กายกรรม” ในบั้นปลาย

ตามที่โบราณกล่าวไว้ว่า #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว

 

เพราะคุณถูกออกแบบให้สั่นสะเทือนในสองมิติที่ว่านี้

พวกคุณจึงถูกเรียกว่าเป็น “คนสองมิติ” นี่แหละ

 

พระเจ้าทรงออกแบบไว้เช่นนี้ก็เพราะว่าทรงต้องการให้

พวกคุณใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิง

เริ่มตั้งแต่มีอายุครบสามขวบปีบริบูรณ์

ซึ่งวัยนั้นสะพานเชื่อมสมองสองซีกสร้างเสร็จเรียบร้อย

ได้เวลาที่ #กฎแห่งกรรม ของกุมารน้อยนั้นเริ่มทำงานแล้ว

 

ผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนพฤติกรรมภายนอกออกมา

มันจะช่วยเป็นเงื่อนไขกระตุ้นให้คนรอบข้างของพวกคุณ

ที่พวกเขา #ไม่เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนมีอายตนะพิการ

จะสั่นสะเทือนจิตสามนึกของจิตหยาบด้วย “ขันธ์ห้า” ได้

อย่างเช่นถ้าคุณทำดีกับเขาตัวเขาก็จะทำดีตอบสนองคุณ

แต่ถ้าทำไม่ดีกับเขาตัวเขาก็จะทำไม่ดีตอบสนองเช่นกัน

 

โดย #หน้าที่ทางจิตวิญญาณ ของพวกคุณนั้น

จะต้องทำดีต่อกันเพื่อเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้แก่กัน

เพื่อชวนให้คนรอบข้างคุณมาหมุนธรรมจักรร่วมกันนั่นเอง

 

แต่ถ้าคนรอบข้างคุณคนใดคนหนึ่ง

สร้างเงื่อนไขด้านลบด้วยการกระทำไม่ถูกต้องต่อคุณ

เพราะทั้งเขาและคุณ “เกี่ยวกรรม” กันมาจากอดีตชาติ

หรืออาสาที่จะมาช่วยยกระดับจิตหยาบให้คุณก็ตาม

หน้าที่คุณก็จะต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้วยความรัก

คืออดทนอดกลั้นและให้อภัยตอบสนองกลับไปเสมอ

เพราะหน้าที่ของคุณก็คือ “ชวนเขาร่วมหมุนธรรมจักร”

คุณจะตอบสนองเขาด้วยความชั่วร้ายไม่ได้เด็ดขาด

 

ส่วนผลลัพธ์ที่ได้จากมโนกรรม

ที่วิญญาณขันธ์ขับเคลื่อนมันออกมาในรูปของพลังงาน

ซึ่งอยู่ในมิติแก่นแท้คู่ขนานกับมิติมายาทางกายภาพ

โดยแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบของตัวคุณเองนั้น

จะยกระดับจิตหยาบให้มีมิติที่สูงขึ้นจาก 4D ถึง 5D ได้

ถ้าสั่นสะเทือนด้านบวกให้สูงขึ้นไว้เป็นประจำสม่ำเสมอ

 

นอกจากนั้นพลังงานด้านบวกที่พวกคุณสามคนขึ้นไป

สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยความรักบริสุทธิ์อย่างแท้จริงได้

มันจะเกิดอานิสงส์ด้านบวกที่จะช่วยยกระดับจิตหยาบ

ให้ทุกคนที่ร่วมกันสั่นสะเทือนธรรมจักรอยู่ในขณะนั้น

สามารถยกระดับจิตหยาบจากมิติที่ 4 สู่มิติที่ 5 ได้ด้วย

ถ้าพวกคุณขยันหมั่นหมุนธรรมจักรด้วยความรักบริสุทธิ์

จิตหยาบพวกคุณก็จะยกระดับสูงสุดถึงมิติที่ 6 ได้ด้วย

ซึ่งพวกคุณจะทำได้ด้วยด้วยการพึ่งตนเองเท่านั้น

โดยไม่ต้องพึ่งใครให้มาช่วยแค่ #อัตตาหิอัตโนนาโถ ก็พอ

 

ดังนั้น

คนฉลาดจะต้องไม่ถูกหลอกจนโง่ง่าย

ต้องเป็นคน #ชอบธรรม มิใช่ #ชอบทำตามที่เขาหลอก

โดยถูกหลอกเอาจิตวิญญาณไปแขวนไว้บนสวรรค์มายา

ถูกหลอกให้จิตเสพติดกิเลสจนหมุนธรรมจักรไม่ได้

ถูกหลอกให้ทำบุญสุนทานแล้วร้องขอสิ่งตอบแทน

ถูกหลอกให้ทำบุญสุนทานอย่างมีเงื่อนไขมากมาย

จนทำให้พลังงานที่จิตผลิตออกมาไม่สะอาดบริสุทธิ์

ซึ่งโลกนำไปใช้เป็นพลังงานช่วยการเหวี่ยงหมุนไม่ได้

 

พลังงานดีๆที่พวกคุณผลิตออกมาด้วยขันธ์ห้า

จึงกลายเป็นขยะพลังงานที่รกจักรวาลรกโลกเช่นกัน

เพราะผลิตแล้วมีแต่เจ้าของมันเท่านั้นที่จะเอาไปใช้ได้

โดยมันจะล่องลอยคอยรอจนกว่าเจ้าของมันล้มตาย

เพื่อทำการรองรับจับเอามาชำระหรือหยิบใช้เท่านั้น

ขยะพลังงาน” เหล่านี้จึงจะหายตัวไปจากจักรวาลได้

 

สิ่งที่คุณต้องทำคือใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลก

เมตตาธรรมก็คือความรักที่บริสุทธิ์ดุจรักในธรรมชาติ

มิใช่ความรักที่ไม่บริสุทธิ์เพราะปรุงแต่งด้วยเงื่อนไข

ความรักบริสุทธิ์จักต้องเป็นพลังงานที่ใครก็ใช้มันได้

ต้องเป็นพลังงานที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของจับจองมันอยู่

เช่น ก๊าซออกซิเจนในธรรมชาติใครก็ใช้หายใจได้

 

พวกคุณที่เป็นชาวโลกถูกหลอกกันมานานนับพันปี

ทั้งที่ทุกพระศาสดาได้ทรงเตือนทรงสอนเอาไว้ดีแล้ว

ทรงสอนเรื่องนิพพานกิเลสเอาไว้ก็ถูกบิดเบือนกันไป

จนพวกคุณ “หลงทางนิพพาน” กันตลอดมา

โดยพากันขึ้นไปแขวนลอยอยู่บนสวรรค์มายา

เพราะเชื่อว่าอยู่บนนั้นจิตวิญญาณ “นิพพาน” แล้ว

ทั้งๆที่แดนนิพพานที่แท้จริงนั้นอยู่ในจิตหยาบของตน

แดนนิพพานไม่ได้อยู่ที่แดนสวรรค์วิมานที่ไหนเลย

 

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจถามว่าทำไมจิตวิญญาณคุณ

จึงมาเกิดเพื่อช่วยกันทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

ในการสร้างสมดุลให้แก่ระบบโลกให้มั่นคงและยั่งยืน

คำตอบก็คือเพราะความสมดุลของระบบโลกนี่แหละ

จะช่วยค้ำจุนความสมดุลของ #เอกภพ ระบบใหญ่ได้

เพราะ “เอกภพ” หรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

เป็นเสมือนห้องทดลองขององค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นเพื่อทดลองและเรียนรู้ว่า

พระองค์จะทรงสามารถที่จะทำอะไรได้บ้างนั่นเอง

 

ทุกสิ่งอย่างที่ทรงออกแบบและจัดสร้างไว้ในเอกภพ

จะดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าเอกภพที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังงาน

มิใช่สร้างขึ้นด้วยวัตถุในแบบที่พวกคุณสร้างอาคาร

ไม่ถูกค้ำจุนเอาไว้ด้วย 12,500 ล้านกาแล็กซี่น้อยใหญ่

รวมทั้งกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมและสำคัญสุดคือดาวโลก

ที่พระองค์ทรงส่งพวกคุณมาทำหน้าที่ประจำอยู่บนนี้

ให้มาเกิดแล้วไม่มีหน้าที่ต้องตายจนกว่าจะถึงวันสิ้นยุค

คือครบ 60,000 ปีโลกซึ่งโลกจะมืดทั้งดวงมืดรอบด้าน

นาน 56 วันหรือ 8 ราตรี ที่ทุกจิตวิญญาณต้องกลับบ้าน

เพราะให้สัจจะกับพระเจ้าไว้ว่าหมดหน้าที่แล้วก็จะกลับ

 

นี่ถึงกาลสิ้นยุคแล้ว

พระองค์จึงทรงบัญชาให้เรามา “เตือน” พวกคุณให้รู้

พร้อมนำส่งข่าวสารจากพระองค์มายังพวกคุณว่า

ประตูคอกแกะที่แกะจะเข้าคอกไปหาเจ้าของที่รออยู่

กำลังจะเปิดให้ฝูงแกะกลับบ้านกันแล้ว

คนที่เคยพบเราก่อนจะเป็นผู้ได้กลับทีหลังเพราะลังเล

คนที่เพิ่งมาพบเราทีหลังจะได้กลับเข้าคอกก่อน

เพราะมีสิ่งแวดล้อมหลายอย่างช่วยเป็นเงื่อนไขให้

เกิดสติทางวิญญาณได้อย่างรวดเร็วเพราะความกลัว

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

สื่อพระโอวาทบทนี้จากพระนิเวศน์มาสู่บุตรมนุษย์

 

เอเมน สาธุ

ปัญญาวิสุทธิ์

5/02/2567