#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระผู้สร้างทุกสิ่งในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
คือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่พระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสิ่ง
ที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของสัตว์และมนุษย์
ผู้มีหน้าที่เป็น
“เพื่อนร่วมงานกับโลก” กันมายาวนาน
โดยจำนวนรูปธรรมและน้ำหนักมวลของสัตว์และมนุษย์
ถูกกำหนดให้มีค่า
“จำกัด” จะมากหรือน้อยกว่ามิได้
เพราะจะส่งผลให้โลกเสรีดวงนี้เสียสมดุลไปทันที
พระผู้สร้างจึงทรงส่งจิตวิญญาณของพวกคุณและสัตว์
เข้ามาเกิดเป็นรูปธรรมของ
“สิ่งมีชีวิต” ที่มี 2
มิติ
ให้เข้ามาใช้เมตตาธรรมหรือความรักบริสุทธิ์ค้ำจุนโลก
เพื่อช่วยทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วคงที่คือยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งรอบ
คำว่า
“ค้ำจุนโลก” หมายถึง ช่วยกันทำให้โลกสมดุล
คำว่า
“โลกสมดุล” หมายถึง แกนหมุนไม่แกว่งไม่ส่าย
อาการเสียสมดุลของโลกที่มนุษย์จะสังเกตได้ก็คือ
ภูมิอากาศของโลกจะวิปริตแปรปรวนปั่นป่วนไปหมด
ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดถี่ขึ้นรุนแรงขึ้นเรื่อย
ๆ
เมื่อเกิดขึ้นแต่ละครั้งในแต่ละที่จะสร้างความเสียหาย
ทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งของคนและสัตว์จำนวนไม่น้อย
เช่น
แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
พายุหมุนรุนแรง
คลื่นอากาศร้อน คลื่นอากาศหนาวเย็น
ฝนตกหนักจนน้ำท่วมฉับพลัน
แผ่นดินสไลด์ ภูเขาถล่ม
เกิดพายุหิมะถล่ม
ฝนน้ำแข็งหรือพายุลูกเห็บ เป็นต้น
เนื่องจากดาวโลกจะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
เมื่อโลกเสียสมดุลเมื่อใดภัยธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นเสมอ
โดยไม่มีใครพยากรณ์ล่วงหน้าได้ว่าอาการเสียสมดุลนั้น
จะทำให้
“ภัยธรรมชาติ” ที่ว่านี้ปรากฏเกิดขึ้นตรงพิกัดใด
ภาษาชาวบ้านกล่าวว่า
“หวย” ออกที่ใครก็ไม่รู้นั่นแหละ
ถ้าจะกล่าวให้เป็นภาพรวมแล้วก็พอจะกล่าวได้ว่า
การเสียสมดุลของโลกทั้งระบบนั้นพวกคุณมีส่วนทั้งสิ้น
เพราะการเสียสมดุลของโลกมิได้เกิดจากเหตุภายนอก
บ้านคุณจะทรุดจะเซหรือจะทรงตัวอยู่อย่างมั่นคงหรือไม่
ล้วนเกิดจากสาเหตุในตัวบ้านและในที่ตั้งของบ้านทั้งสิ้น
ก็คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นนั่นแหละใช่ใครที่ไหนล่ะ
โลกนี้ก็เช่นกัน
อาการเสียสมดุลจนโลกเหวี่ยงหมุนช้าลง
ล้วนเกิดจากพวกคุณบกพร่องต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ถูกสอนให้เสพติดกิเลสจนทำทุกสิ่งในชีวิตเพื่อตนเอง
แม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมก็ยังทำเพื่อไปสวรรค์คนเดียว
มิได้ใส่ใจในการทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกเลย
เพราะโง่ง่ายถูกหลอกให้กลัวความทุกข์จนขาดสติ
สอนให้หนีทุกข์โดยตายแล้วไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีก
แล้วหลอกว่านั่นคือนิพพาน
(แบบตาลยอดด้วน) แล้ว
โดยหลอกเอาจิตวิญญาณพวกคุณไปแขวนไว้ในอวกาศ
หลอกให้คุณไปนั่งนอนเสพติดกิเลสอยู่บนเมืองทิพย์
ซึ่งเป็นดินแดนมายาเป็นเมืองในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง
เป็นดินแดนที่ไม่มีอยู่จริงเพราะพระผู้สร้างมิได้สร้างไว้
แต่มารที่เป็นศัตรูของพวกคุณซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า
หลอกให้พวกคุณใช้พลังความเชื่อความศรัทธาของตน
วาดฝันสร้างจินตนาการไปตามพิมพ์เขียวที่เห็นในทุกที่
เมื่อจิตวิญญาณคุณตายไปจากโลกในชาตินั้นๆเมื่อไหร่
ด้วยอำนาจกิเลสที่ขับเคลื่อนความอยากเป็นอยากไป
จะส่งให้จิตวิญญาณของคุณหลุดลอยไปแขวนอยู่บนนั้น
คล้ายอาการของคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในความ
“ฝัน”
ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่ถ้าไม่ฝันกลางคืนก็ฝันกลางวัน
แต่ถ้าหลุดลอยไปแขวนอยู่บนนั้นคุณจะฝันทั้งวันคืนเลย
หากตราบใดที่คุณยังเชื่อยังศรัทธายังมีกิเลสครอบงำอยู่
สวรรค์มายาที่เป็นเมืองในฝันเป็นวิมานเทียมเท็จก็ยังอยู่
แถมภาพมายาสวรรค์ของพวกคุณแต่ละคนดันเหมือนกัน
เพราะสัญญาขันธ์พวกคุณนั้นจำแบบอย่างมาจากต้นฉบับ
ที่ถูกขีดเขียนเผยแพร่เอาไว้ในที่ซึ่งคนชอบทำชอบไปกัน
จินตนาการของจิตคุณจึงสร้างภาพมายาสวรรค์นั้นขึ้นมา
ให้เป็นภาพมายาที่เหมือนกันขึ้นมาได้ตามที่เห็นนั่น
พวกคุณต้องรู้ว่า
การหลอกให้จิตหยาบเสพติดกิเลสตั้งแต่เด็กจนโต
การหลอกให้ปฏิบัติธรรมด้วยการปฏิบัติ
“ทำ” เพื่อตนเอง
ด้วยการทำบุญที่แอบแฝงเอาไว้ด้วยกิเลสอย่างแยบยล
เช่น
สอนให้ทำบุญเบื้องล่างเพื่อเอาไปสร้างเบื้องบน
สอนให้ทำบุญชาตินี้เพื่อไปเอาดีในชาติหน้า
สอนให้ทำบุญเอาหน้าสอนให้ทำเพื่อแสวงหาประโยชน์
ล้วนถูกมารหลอกลวงทั้งสิ้น
ทั้งๆที่จิตวิญญาณพวกคุณอาสามาเกิดบนดาวโลกดวงนี้
ไม่มีหน้าที่ต้องตายจนกว่าจะครบ
6 หมื่นปีโลกคือสิ้นยุค
เพราะพวกคุณมีหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลก
ทุกคนต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกเพื่อทำงานกันทุกวันคืน
ต้องรักกันเพื่อสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็น
5 ขั้นตอน
ให้เกิดผลกรรมเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ
อันเป็นกระบวนการ
2 มิติตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้
ซึ่งพวกคุณอาจเรียกว่า
“กระบวนการขันธ์ 5”
ก็ได้
ถ้าจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นขันธ์ห้าได้เมื่อใด
คุณก็จะแสดงพฤติกรรมออกมาได้ในสองมิติเสมอ
มิติแรกก็คือมิติของจิตวิญญาณที่สองตาคุณมองไม่เห็น
ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
โดยมันจะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายของคุณ
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบคือมโนกรรม
ส่วนมิติที่สอง
มโนกรรมที่เป็นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบนั้น
ก็จะขับเคลื่อนพฤติกรรมนั้นออกมาภายนอก
เป็นคำพูดหรือการกระทำด้วยวาจาและอวัยวะร่างกาย
ที่เรียกกันว่า
“วจีกรรม” และ “กายกรรม” ในบั้นปลาย
ตามที่โบราณกล่าวไว้ว่า
#จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว”
เพราะคุณถูกออกแบบให้สั่นสะเทือนในสองมิติที่ว่านี้
พวกคุณจึงถูกเรียกว่าเป็น
“คนสองมิติ” นี่แหละ
พระเจ้าทรงออกแบบไว้เช่นนี้ก็เพราะว่าทรงต้องการให้
พวกคุณใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิง
เริ่มตั้งแต่มีอายุครบสามขวบปีบริบูรณ์
ซึ่งวัยนั้นสะพานเชื่อมสมองสองซีกสร้างเสร็จเรียบร้อย
ได้เวลาที่
#กฎแห่งกรรม ของกุมารน้อยนั้นเริ่มทำงานแล้ว
ผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนพฤติกรรมภายนอกออกมา
มันจะช่วยเป็นเงื่อนไขกระตุ้นให้คนรอบข้างของพวกคุณ
ที่พวกเขา
#ไม่เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนมีอายตนะพิการ
จะสั่นสะเทือนจิตสามนึกของจิตหยาบด้วย
“ขันธ์ห้า” ได้
อย่างเช่นถ้าคุณทำดีกับเขาตัวเขาก็จะทำดีตอบสนองคุณ
แต่ถ้าทำไม่ดีกับเขาตัวเขาก็จะทำไม่ดีตอบสนองเช่นกัน
โดย
#หน้าที่ทางจิตวิญญาณ ของพวกคุณนั้น
จะต้องทำดีต่อกันเพื่อเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้แก่กัน
เพื่อชวนให้คนรอบข้างคุณมาหมุนธรรมจักรร่วมกันนั่นเอง
แต่ถ้าคนรอบข้างคุณคนใดคนหนึ่ง
สร้างเงื่อนไขด้านลบด้วยการกระทำไม่ถูกต้องต่อคุณ
เพราะทั้งเขาและคุณ
“เกี่ยวกรรม” กันมาจากอดีตชาติ
หรืออาสาที่จะมาช่วยยกระดับจิตหยาบให้คุณก็ตาม
หน้าที่คุณก็จะต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้วยความรัก
คืออดทนอดกลั้นและให้อภัยตอบสนองกลับไปเสมอ
เพราะหน้าที่ของคุณก็คือ
“ชวนเขาร่วมหมุนธรรมจักร”
คุณจะตอบสนองเขาด้วยความชั่วร้ายไม่ได้เด็ดขาด
ส่วนผลลัพธ์ที่ได้จากมโนกรรม
ที่วิญญาณขันธ์ขับเคลื่อนมันออกมาในรูปของพลังงาน
ซึ่งอยู่ในมิติแก่นแท้คู่ขนานกับมิติมายาทางกายภาพ
โดยแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบของตัวคุณเองนั้น
จะยกระดับจิตหยาบให้มีมิติที่สูงขึ้นจาก
4D
ถึง 5D ได้
ถ้าสั่นสะเทือนด้านบวกให้สูงขึ้นไว้เป็นประจำสม่ำเสมอ
นอกจากนั้นพลังงานด้านบวกที่พวกคุณสามคนขึ้นไป
สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยความรักบริสุทธิ์อย่างแท้จริงได้
มันจะเกิดอานิสงส์ด้านบวกที่จะช่วยยกระดับจิตหยาบ
ให้ทุกคนที่ร่วมกันสั่นสะเทือนธรรมจักรอยู่ในขณะนั้น
สามารถยกระดับจิตหยาบจากมิติที่
4 สู่มิติที่ 5 ได้ด้วย
ถ้าพวกคุณขยันหมั่นหมุนธรรมจักรด้วยความรักบริสุทธิ์
จิตหยาบพวกคุณก็จะยกระดับสูงสุดถึงมิติที่
6 ได้ด้วย
ซึ่งพวกคุณจะทำได้ด้วยด้วยการพึ่งตนเองเท่านั้น
โดยไม่ต้องพึ่งใครให้มาช่วยแค่
#อัตตาหิอัตโนนาโถ ก็พอ
ดังนั้น
คนฉลาดจะต้องไม่ถูกหลอกจนโง่ง่าย
ต้องเป็นคน
#ชอบธรรม มิใช่
#ชอบทำตามที่เขาหลอก
โดยถูกหลอกเอาจิตวิญญาณไปแขวนไว้บนสวรรค์มายา
ถูกหลอกให้จิตเสพติดกิเลสจนหมุนธรรมจักรไม่ได้
ถูกหลอกให้ทำบุญสุนทานแล้วร้องขอสิ่งตอบแทน
ถูกหลอกให้ทำบุญสุนทานอย่างมีเงื่อนไขมากมาย
จนทำให้พลังงานที่จิตผลิตออกมาไม่สะอาดบริสุทธิ์
ซึ่งโลกนำไปใช้เป็นพลังงานช่วยการเหวี่ยงหมุนไม่ได้
พลังงานดีๆที่พวกคุณผลิตออกมาด้วยขันธ์ห้า
จึงกลายเป็นขยะพลังงานที่รกจักรวาลรกโลกเช่นกัน
เพราะผลิตแล้วมีแต่เจ้าของมันเท่านั้นที่จะเอาไปใช้ได้
โดยมันจะล่องลอยคอยรอจนกว่าเจ้าของมันล้มตาย
เพื่อทำการรองรับจับเอามาชำระหรือหยิบใช้เท่านั้น
“ขยะพลังงาน” เหล่านี้จึงจะหายตัวไปจากจักรวาลได้
สิ่งที่คุณต้องทำคือใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลก
เมตตาธรรมก็คือความรักที่บริสุทธิ์ดุจรักในธรรมชาติ
มิใช่ความรักที่ไม่บริสุทธิ์เพราะปรุงแต่งด้วยเงื่อนไข
ความรักบริสุทธิ์จักต้องเป็นพลังงานที่ใครก็ใช้มันได้
ต้องเป็นพลังงานที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของจับจองมันอยู่
เช่น
ก๊าซออกซิเจนในธรรมชาติใครก็ใช้หายใจได้
พวกคุณที่เป็นชาวโลกถูกหลอกกันมานานนับพันปี
ทั้งที่ทุกพระศาสดาได้ทรงเตือนทรงสอนเอาไว้ดีแล้ว
ทรงสอนเรื่องนิพพานกิเลสเอาไว้ก็ถูกบิดเบือนกันไป
จนพวกคุณ
“หลงทางนิพพาน” กันตลอดมา
โดยพากันขึ้นไปแขวนลอยอยู่บนสวรรค์มายา
เพราะเชื่อว่าอยู่บนนั้นจิตวิญญาณ
“นิพพาน” แล้ว
ทั้งๆที่แดนนิพพานที่แท้จริงนั้นอยู่ในจิตหยาบของตน
แดนนิพพานไม่ได้อยู่ที่แดนสวรรค์วิมานที่ไหนเลย
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจถามว่าทำไมจิตวิญญาณคุณ
จึงมาเกิดเพื่อช่วยกันทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ในการสร้างสมดุลให้แก่ระบบโลกให้มั่นคงและยั่งยืน
คำตอบก็คือเพราะความสมดุลของระบบโลกนี่แหละ
จะช่วยค้ำจุนความสมดุลของ
#เอกภพ ระบบใหญ่ได้
เพราะ
“เอกภพ” หรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
เป็นเสมือนห้องทดลองขององค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นเพื่อทดลองและเรียนรู้ว่า
พระองค์จะทรงสามารถที่จะทำอะไรได้บ้างนั่นเอง
ทุกสิ่งอย่างที่ทรงออกแบบและจัดสร้างไว้ในเอกภพ
จะดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าเอกภพที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังงาน
มิใช่สร้างขึ้นด้วยวัตถุในแบบที่พวกคุณสร้างอาคาร
ไม่ถูกค้ำจุนเอาไว้ด้วย
12,500
ล้านกาแล็กซี่น้อยใหญ่
รวมทั้งกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมและสำคัญสุดคือดาวโลก
ที่พระองค์ทรงส่งพวกคุณมาทำหน้าที่ประจำอยู่บนนี้
ให้มาเกิดแล้วไม่มีหน้าที่ต้องตายจนกว่าจะถึงวันสิ้นยุค
คือครบ
60,000
ปีโลกซึ่งโลกจะมืดทั้งดวงมืดรอบด้าน
นาน
56
วันหรือ 8 ราตรี ที่ทุกจิตวิญญาณต้องกลับบ้าน
เพราะให้สัจจะกับพระเจ้าไว้ว่าหมดหน้าที่แล้วก็จะกลับ
นี่ถึงกาลสิ้นยุคแล้ว
พระองค์จึงทรงบัญชาให้เรามา
“เตือน” พวกคุณให้รู้
พร้อมนำส่งข่าวสารจากพระองค์มายังพวกคุณว่า
ประตูคอกแกะที่แกะจะเข้าคอกไปหาเจ้าของที่รออยู่
กำลังจะเปิดให้ฝูงแกะกลับบ้านกันแล้ว
คนที่เคยพบเราก่อนจะเป็นผู้ได้กลับทีหลังเพราะลังเล
คนที่เพิ่งมาพบเราทีหลังจะได้กลับเข้าคอกก่อน
เพราะมีสิ่งแวดล้อมหลายอย่างช่วยเป็นเงื่อนไขให้
เกิดสติทางวิญญาณได้อย่างรวดเร็วเพราะความกลัว
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
สื่อพระโอวาทบทนี้จากพระนิเวศน์มาสู่บุตรมนุษย์
เอเมน
สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
5/02/2567