#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ไม่ว่าจะมองโลกหรือทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวคุณ
จงตระหนักรู้เอาไว้เสมอว่าสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น
มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งนั้นแต่อย่างใด
มันเป็นแค่
#เงามายา ซึ่งเป็นตัวแทนของบางสิ่ง
ที่ซ่อนเร้นแอบแฝงตัวอยู่ข้างในของสิ่งนั้นเท่านั้น
หรือเป็นเงามายาซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้นั่นเอง
โดยพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง
ทรงติดตั้งกลไกอวัยวะในการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่ง
ทั้งหลายทั้งปวงที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ให้คุณ
เพื่อกระตุ้นจิตหยาบให้สั่นสะเทือนทั้งสองมิติ
ด้วยกระบวนการ
5 ขั้นตอนที่เรียกว่า #ขันธ์ 5 นั้น
เพียงแค่
5 ช่องทาง คือตา หู จมูก ลิ้นและกายสัมผัส
ที่ใช้รับรู้รูปรสกลิ่นเสียงและเย็นร้อนอ่อนแข็งเท่านั้น
เพื่อเพียงแค่จะบอกให้รู้ว่ามันคือคุณสมบัติของตัวตน
ซึ่งเป็นอัตตาที่แท้จริงที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในของสิ่งนั้น
พระองค์จึงมิได้สร้างกลไกอายตนะช่องทางที่
6
เอาไว้ให้มันรกศีรษะของพวกคุณจนเกินจำเป็นอีก
แค่ได้สัมผัสรู้
“เงา” ก็พอบ่งชี้ว่าตัวตนแท้จริงนั้นมีอยู่
เราจึงเคยกล่าวไว้ให้พวกคุณรู้กันมานานมากแล้วว่า
หินก้อนหนึ่งที่คุณเดินสดุดมันจนนิ้วเท้าเจ็บจริงนั้น
มิใช่ตัวตนแท้จริงมันเป็นแค่เงาของบางสิ่งที่อยู่ข้างใน
เป็นมายาของตัวตนแก่นแท้ของหินก้อนนั้นต่างหาก
ตัวตนแก่นแท้ของหินนี้ก็คือ
#รูปธรรมทางพลังงาน
เพราะตัวตนแก่นแท้ของหินนั้นอยู่ในมิติทางพลังงาน
พระองค์จึงออกแบบให้คุณสัมผัส
“เงามายา” แทน
นี่คือที่มาของกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าไม่มี
“หก”
สิ่งอื่นใดที่มีอยู่จริงรายรอบตัวคุณ
พวกมันล้วนมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นสองมิติทั้งสิ้น
คุณจะสังเกตได้ว่าเวลาใดที่คุณโกรธ
คุณจะนำความโกรธออกมาแสดงเป็น
“มายา” ให้เห็น
เช่น
อาการตัวสั่น ปากคอสั่น หน้าแดง น้ำเสียงเปลี่ยน
วาจาหรือคำพูดจะเปลี่ยนเป็นหยาบคายไม่สุภาพ
ซึ่งกิริยาอาการจะเปลี่ยนไปจากในยามที่คุณจิตสงบ
หรือจะต่างไปจากตอนที่คุณอารมณ์ดีไม่มีใครกดดัน
อากัปกริยาของคุณที่เปลี่ยนไปชั่วคราวนี่แหละคือมายา
ที่จิตหยาบคุณแสดงคุณสมบัติของมันออกมาให้รู้เห็น
โดยที่พฤติกรรมภายนอกของคุณนั้น
เป็นมายาที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์รู้สึกในปัจจุบันขณะ
ที่
“จิตหยาบ” ตัวแทนแก่นแท้คือจิตวิญญาณของคุณ
มันสั่นสะเทือนขึ้นแล้วขับเคลื่อนออกมาข้างนอก
ซึ่งเป็นมายาอันเกิดจากคุณสมบัติของแก่นแท้ชั่วคราว
ต่างจากมายาของหินก้อนนั้นที่มันจะเป็นแบบถาวร
เช่น
คุณสมบัติของเพชรพลอย ซึ่งเป็นจำพวกหินเช่นกัน
แต่ทั้งสองมีคุณสมบัติของแก่นแท้ที่เป็นพลังงานต่างกัน
จึงมีรูปลักษณ์ที่เป็นมายาแตกต่างกันแบบถาวรได้
ไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมาเหมือนจิตหยาบของพวกคุณ
ที่เป็นประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวเสแสร้งแกล้งลวง
เป็นมายาไม่ถาวรคนหลายคนจึงเชื่อถือหรือไว้ใจมิได้
ดังนั้น
คุณจึงต้องรู้ว่าตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่เป็นแค่มายาของสิ่งนั้นเท่านั้น
เพื่อจะบอกพวกคุณให้รู้ว่า
1.ตัวตนแก่นแท้ของสิ่งนั้นเร้นอยู่ข้างใน
2.สิ่งที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นมันอยู่ก็คือ “เงามายา”
3.หน้าที่คุณแค่รับรู้มายานั้นแล้วเรียนรู้ว่ามันเป็นอะไร
4.คุณต้องไม่โง่จนหลงใหลในเงามายานั้น
5.การหลงใหลในเงามายานั้นคืออาการได้เสียความรู้สึก
ซึ่งเกิดจากจิตหยาบคุณไป
“สมสู่” กับเงามายานั้นเข้า
ที่พระศาสดาทรงเรียกว่า
#จิตเกิดการปรุงแต่งขึ้น
ความรู้สึกที่ชอบหรือไม่ชอบที่เป็น
#กิเลส ที่ว่านี้
จึงเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากจิตหยาบของพวกคุณ
ที่มีการ
“สมสู่” กับเงามายาของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง
อันมีเหตุจากการ
#ลงรูปจูบเงา เข้าใจว่าเป็นตัวตนจริง
ด้วยเหตุนี้เอง
แต่ละสรรพสิ่งที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยอายตนะทั้งห้า
จึงเป็นมายารูปลักษณ์ซึ่งเป็น
“ตัวแทน” ของแก่นแท้
เพื่อบ่งชี้ถึงคุณสมบัติของตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างใน
โดยมายารูปลักษณ์ของแต่ละสรรพสิ่งที่แตกต่างกันนั้น
เพราะแก่นแท้ในแต่ละสรรพสิ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน
ถ้ามายารูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใดที่เหมือนกัน
แสดงว่าคุณสมบัติของแก่นแท้ของสิ่งนั้นมันเหมือนกัน
ถ้าคุณสัมผัสรู้ดูเห็นมายาของสรรพสิ่งใด
แล้วจิตหยาบคุณไปหลงในเงามายานั้นเข้า
แสดงว่าคุณกำลังใช้จิตสมสู่กับเงามายานั้น
จิตหยาบคุณก็จะให้กำเนิดสิ่งที่เรียกว่า
“กิเลส”
คือความรู้สึกชอบไม่ชอบพอใจไม่พอใจขึ้นมาทันที
แต่กิเลสนั้นยังเป็นอนัตตาที่จิตหยาบ
“ยึดจับ” ไม่ได้
จิตหยาบจึงทำให้กิเลสนั้นเปลี่ยนเป็นมีอัตตาขึ้นมา
เพื่อสามารถที่จะยึดจับอัตตาของกิเลสนั้นให้ได้
กิเลสที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะถูกเปลี่ยนเป็น
#ตัณหา ไป
กลายเป็นความอยากไม่อยากที่จับต้องได้ในที่สุด
#กิเลสจึงเป็นตัวอ่อน #ตัณหาจึงเป็นตัวแก่
ที่เกิดจากจิตหยาบมันหน้ามืดไปหลงใหลเงามายา
เพราะขาดสติไปชั่วขณะจนเข้าถึงสติปัญญาไม่ได้
จึงทำการสมสู่กับเงามายานั้นด้วยความหลงใหล
จนทำให้เกิดลูกหลานบริวารขึ้นมาอีกมากมาย
จำพวกอารมณ์ขยะรายวันจากการใคร่จะได้ใคร่จะเอา
ทำให้ล้มเหลวในภารกิจของจิตวิญญาณกันตลอดมา
พากันหลงทางนิพพานไม่เว้นแม้จะเป็นคนชอบธรรม
จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการชำระโลกครั้งใหญ่
ด้วยมหันตภัยพิบัติที่จะสาหัสสากรรจ์กว่ายุคโนอาห์!
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
23/02/2567