23 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 23/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ไม่ว่าจะมองโลกหรือทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวคุณ

จงตระหนักรู้เอาไว้เสมอว่าสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น

มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งนั้นแต่อย่างใด

มันเป็นแค่ #เงามายา ซึ่งเป็นตัวแทนของบางสิ่ง

ที่ซ่อนเร้นแอบแฝงตัวอยู่ข้างในของสิ่งนั้นเท่านั้น

หรือเป็นเงามายาซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้นั่นเอง

 

โดยพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง

ทรงติดตั้งกลไกอวัยวะในการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่ง

ทั้งหลายทั้งปวงที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ให้คุณ

เพื่อกระตุ้นจิตหยาบให้สั่นสะเทือนทั้งสองมิติ

ด้วยกระบวนการ 5 ขั้นตอนที่เรียกว่า #ขันธ์ 5 นั้น

เพียงแค่ 5 ช่องทาง คือตา หู จมูก ลิ้นและกายสัมผัส

ที่ใช้รับรู้รูปรสกลิ่นเสียงและเย็นร้อนอ่อนแข็งเท่านั้น

เพื่อเพียงแค่จะบอกให้รู้ว่ามันคือคุณสมบัติของตัวตน

ซึ่งเป็นอัตตาที่แท้จริงที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในของสิ่งนั้น

 

พระองค์จึงมิได้สร้างกลไกอายตนะช่องทางที่ 6

เอาไว้ให้มันรกศีรษะของพวกคุณจนเกินจำเป็นอีก

แค่ได้สัมผัสรู้ “เงา” ก็พอบ่งชี้ว่าตัวตนแท้จริงนั้นมีอยู่

เราจึงเคยกล่าวไว้ให้พวกคุณรู้กันมานานมากแล้วว่า

หินก้อนหนึ่งที่คุณเดินสดุดมันจนนิ้วเท้าเจ็บจริงนั้น

มิใช่ตัวตนแท้จริงมันเป็นแค่เงาของบางสิ่งที่อยู่ข้างใน

เป็นมายาของตัวตนแก่นแท้ของหินก้อนนั้นต่างหาก

ตัวตนแก่นแท้ของหินนี้ก็คือ #รูปธรรมทางพลังงาน

เพราะตัวตนแก่นแท้ของหินนั้นอยู่ในมิติทางพลังงาน

พระองค์จึงออกแบบให้คุณสัมผัส “เงามายา” แทน

นี่คือที่มาของกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าไม่มี “หก”

 

สิ่งอื่นใดที่มีอยู่จริงรายรอบตัวคุณ

พวกมันล้วนมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นสองมิติทั้งสิ้น

คุณจะสังเกตได้ว่าเวลาใดที่คุณโกรธ

คุณจะนำความโกรธออกมาแสดงเป็น “มายา” ให้เห็น

เช่น อาการตัวสั่น ปากคอสั่น หน้าแดง น้ำเสียงเปลี่ยน

วาจาหรือคำพูดจะเปลี่ยนเป็นหยาบคายไม่สุภาพ

ซึ่งกิริยาอาการจะเปลี่ยนไปจากในยามที่คุณจิตสงบ

หรือจะต่างไปจากตอนที่คุณอารมณ์ดีไม่มีใครกดดัน

อากัปกริยาของคุณที่เปลี่ยนไปชั่วคราวนี่แหละคือมายา

ที่จิตหยาบคุณแสดงคุณสมบัติของมันออกมาให้รู้เห็น

 

โดยที่พฤติกรรมภายนอกของคุณนั้น

เป็นมายาที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์รู้สึกในปัจจุบันขณะ

ที่ “จิตหยาบ” ตัวแทนแก่นแท้คือจิตวิญญาณของคุณ

มันสั่นสะเทือนขึ้นแล้วขับเคลื่อนออกมาข้างนอก

ซึ่งเป็นมายาอันเกิดจากคุณสมบัติของแก่นแท้ชั่วคราว

ต่างจากมายาของหินก้อนนั้นที่มันจะเป็นแบบถาวร

เช่น คุณสมบัติของเพชรพลอย ซึ่งเป็นจำพวกหินเช่นกัน

แต่ทั้งสองมีคุณสมบัติของแก่นแท้ที่เป็นพลังงานต่างกัน

จึงมีรูปลักษณ์ที่เป็นมายาแตกต่างกันแบบถาวรได้

ไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมาเหมือนจิตหยาบของพวกคุณ

ที่เป็นประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวเสแสร้งแกล้งลวง

เป็นมายาไม่ถาวรคนหลายคนจึงเชื่อถือหรือไว้ใจมิได้

 

ดังนั้น

คุณจึงต้องรู้ว่าตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น

มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่เป็นแค่มายาของสิ่งนั้นเท่านั้น

เพื่อจะบอกพวกคุณให้รู้ว่า

 

1.ตัวตนแก่นแท้ของสิ่งนั้นเร้นอยู่ข้างใน

2.สิ่งที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นมันอยู่ก็คือ “เงามายา”

3.หน้าที่คุณแค่รับรู้มายานั้นแล้วเรียนรู้ว่ามันเป็นอะไร

4.คุณต้องไม่โง่จนหลงใหลในเงามายานั้น

 

5.การหลงใหลในเงามายานั้นคืออาการได้เสียความรู้สึก

ซึ่งเกิดจากจิตหยาบคุณไป “สมสู่” กับเงามายานั้นเข้า

ที่พระศาสดาทรงเรียกว่า #จิตเกิดการปรุงแต่งขึ้น

ความรู้สึกที่ชอบหรือไม่ชอบที่เป็น #กิเลส ที่ว่านี้

จึงเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากจิตหยาบของพวกคุณ

ที่มีการ “สมสู่” กับเงามายาของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง

อันมีเหตุจากการ #ลงรูปจูบเงา เข้าใจว่าเป็นตัวตนจริง

 

ด้วยเหตุนี้เอง

แต่ละสรรพสิ่งที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยอายตนะทั้งห้า

จึงเป็นมายารูปลักษณ์ซึ่งเป็น “ตัวแทน” ของแก่นแท้

เพื่อบ่งชี้ถึงคุณสมบัติของตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างใน

โดยมายารูปลักษณ์ของแต่ละสรรพสิ่งที่แตกต่างกันนั้น

เพราะแก่นแท้ในแต่ละสรรพสิ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน

ถ้ามายารูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใดที่เหมือนกัน

แสดงว่าคุณสมบัติของแก่นแท้ของสิ่งนั้นมันเหมือนกัน

 

ถ้าคุณสัมผัสรู้ดูเห็นมายาของสรรพสิ่งใด

แล้วจิตหยาบคุณไปหลงในเงามายานั้นเข้า

แสดงว่าคุณกำลังใช้จิตสมสู่กับเงามายานั้น

จิตหยาบคุณก็จะให้กำเนิดสิ่งที่เรียกว่า “กิเลส”

คือความรู้สึกชอบไม่ชอบพอใจไม่พอใจขึ้นมาทันที

แต่กิเลสนั้นยังเป็นอนัตตาที่จิตหยาบ “ยึดจับ” ไม่ได้

จิตหยาบจึงทำให้กิเลสนั้นเปลี่ยนเป็นมีอัตตาขึ้นมา

เพื่อสามารถที่จะยึดจับอัตตาของกิเลสนั้นให้ได้

กิเลสที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะถูกเปลี่ยนเป็น #ตัณหา ไป

กลายเป็นความอยากไม่อยากที่จับต้องได้ในที่สุด

 

#กิเลสจึงเป็นตัวอ่อน #ตัณหาจึงเป็นตัวแก่

ที่เกิดจากจิตหยาบมันหน้ามืดไปหลงใหลเงามายา

เพราะขาดสติไปชั่วขณะจนเข้าถึงสติปัญญาไม่ได้

จึงทำการสมสู่กับเงามายานั้นด้วยความหลงใหล

จนทำให้เกิดลูกหลานบริวารขึ้นมาอีกมากมาย

จำพวกอารมณ์ขยะรายวันจากการใคร่จะได้ใคร่จะเอา

ทำให้ล้มเหลวในภารกิจของจิตวิญญาณกันตลอดมา

พากันหลงทางนิพพานไม่เว้นแม้จะเป็นคนชอบธรรม

จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการชำระโลกครั้งใหญ่

ด้วยมหันตภัยพิบัติที่จะสาหัสสากรรจ์กว่ายุคโนอาห์!

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

23/02/2567