28 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การที่คุณรู้สึกไม่สบอารมณ์จนเกิดความขุ่นเคือง

เกิดความไม่พึงพอใจหรือไม่ชอบใจต่อใครบางคน

ที่เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวคุณแบบใดแบบหนึ่ง

นั่นแสดงว่าคุณกับใครคนนั้นมีความแตกต่างกัน

ทางด้านอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตหรือด้านทัศนคติ

เช่น เขาเป็นคนพูดมากพูดไปเรื่อยเปื่อยพูดไม่รู้จบ

ขณะที่คุณไม่ชอบคนพูดมากอยากฟังแต่สาระก็พอ

 

เขาเป็นคนชอบเอาเรื่องบุคคลที่สามมา “นินทา”

ซึ่งการหาเรื่องแบบนี้มาคุยมาสนทนากับคุณนั้น

มันเป็นเรื่องที่คุณรังเกียจคือไม่ชอบเอามากๆ

เพราะเป็นการก้าวล่วงบุคคลอื่นให้เกิดการผิดบาป

ที่คุณไม่ปรารถนาจะร่วมสังฆกรรมกับเขาด้วย

คือไม่ต้องการที่จะร่วมก่อกรรมทำเวรอย่างไร้สติ

 

เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ขี้หงุดหงิดขี้โมโห

เป็นคนที่เมื่อไม่ถูกใจจะระเบิดอารมณ์ออกมาทันที

จากคนที่สุภาพเรียบร้อยก็จะเปลี่ยนเป็นคนก้าวร้าว

ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า #ของขึ้น ดั่งคนมีของ

คือจะมีอาการปากคอสั่นตัวสั่นเพราะจิตตกรุนแรง

จนกลายเป็นคนละคนไปชนิดที่ตั้งรับแทบไม่ทัน

นิสัยแบบนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ชอบคือรับไม่ได้เช่นกัน

 

เขาเป็นคนโลภเป็นคนมักมากเป็นคนเห็นแก่ตัว

โดยยึดหลักว่าผลประโยชน์ของตนต้องมาก่อน

ประโยชน์ของตนจะต้องได้มากกว่าคนอื่นๆเสมอ

แถมยังเป็นคนที่มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวคือ “ขี้งก”

ไม่รู้จักแบ่งปันไม่รู้จักแลกเปลี่ยนไม่รู้จักเสียสละ

เวลาคนอื่นมีปัญหาก็ไม่อาจพึ่งพาอาศัยอะไรได้

นิสัยแบบนี้คุณก็รับไม่ได้อีกเช่นกัน

 

ที่เรากล่าวมาทั้ง 4 ตัวอย่างเหล่านี้

ล้วนเป็นพฤติกรรมขยะของคนใกล้ตัวบางคน

ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คุณไม่พึงประสงค์นั่นแหละ

 

#พฤติกรรมขยะ แบบต่างๆที่มนุษย์แต่ละคน

ประพฤติปฏิบัติต่อคุณทั้งแบบถาวรและชั่วคราว

มันล้วนเป็นมายาซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบ

ที่เป็นตัวแทนของแก่นแท้ของพวกเขาทั้งสิ้น

 

#ถ้าเป็นสันดานที่ไม่ดีของเขาก็เป็นมายาแบบถาวร

#ถ้าเป็นพฤติกรรมขยะแค่บางเวลาก็คือมายาชั่วคราว

 

โดยที่มนุษย์โลกทุกคนรวมทั้งตัวคุณเองด้วย

ต่างก็มีสันดานส่วนตัวที่เป็นพฤติกรรมขยะกันทุกคน

มากบ้างน้อยบ้างทั้งเหมือนกันและแตกต่างกันก็มี

คุณจำคำกล่าวของคนโบราณประโยคนี้ได้หรือไม่ล่ะ?

ที่กล่าวว่า “ว่าแต่เขา.....อิเหนาเป็นเอง!” นั่นน่ะ

จนเป็นที่มาของคำสอนที่ว่าถ้าคุณเองยังมีดีไม่พอ

ก็อย่าเที่ยวไปวิจารณ์หรือประจานเพื่อนมนุษย์คนอื่น

อันเป็นคำเตือนสติของคนโบราณที่น่ารับฟังยิ่ง

เหมือนคำกล่าวที่ว่า #ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ นั่นแหละ

 

เราจึงจะกล่าวความจริงต่อพวกคุณว่า

การสอนเพื่อเตือนสติกันมาในลักษณะนี้

พวกคุณได้ยินได้ฟังกันมาเกือบจะค่อนชีวิตแล้ว

มันได้ผลกันบ้างไหมล่ะมันช่วยคุณยับยั้งชั่งใจ

ไม่เอาเรื่องไม่เอาราวไม่ต่อความยาวสาวความยืด

ไม่กระตุ้นต่อมกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะได้บ้างไหม

คำตอบก็คือ #คำเตือนคำสอน ที่ดีๆเหล่านี้

ในโลกแห่งความจริงนั้นพวกคุณใช้มันไม่ได้ผล

 

เพราะเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเข้า

คุณก็มักจะเกิดอาการ “จิตตก” แบบปัจจุบันทันด่วน

ไม่ต่างจากการพลัดตกจากที่สูงอย่างกระทันหัน

พลัดตกโดยไม่ทันตั้งตัวหรือไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน

มีทั้งอาการตื่นตกใจมีทั้งอาการกลัวภัยที่ต้องเผชิญ

ลึกๆแล้วคุณไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้นกับคุณเลย

อาการตกใจและกลัวภัยจึงทำให้คุณจิตตกดังกล่าว

จึงทำให้ตัวคุณต้องแสดงอาการบางอย่างออกมา

เพื่อทำการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยเอาไว้ก่อน

 

แต่วิธีเลือกที่จะปกป้องตัวเองของคุณนั้น

คุณกลับเลือกใช้วิธี #ต่อสู้ #ตอบโต้ #ต่อต้าน

ซึ่งเป็นการมุ่ง “ทำร้าย” คนเหล่านั้นให้แพ้พ่าย

ทั้ง ๆที่จุดจบของคุณกับพวกเขามีแต่ “หายนะ”

โดยไม่มีใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าถึงชัยชนะได้เลย

 

คนโง่เท่านั้นที่จะหาญกล้าทำศึกสงคราม

เข้าโรมรันพันตูกับข้าศึกทั้ง ๆที่รู้ตัวดีอยู่ว่า

ต่อสู้กันไปก็ไม่มีใครชนะต้องพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย

 

เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า

พระบิดาหรือพระเจ้าทรงยอมให้พวกคุณต่างกัน

ไม่ว่าจะเป็นด้านดีคือบวกหรือด้านร้ายก็คือลบ

เพื่อให้เป็นเงื่อนไขกระตุ้นจิตสามนึกของพวกคุณ

ด้วยบททดสอบที่หลากหลายใช้ได้ทุกสถานการณ์

แต่พวกคุณดันไปหลงผิดด้วยการยึดติดมายา

จนเข้าถึงแก่นแท้คือจิตวิญญาณกันและกันไม่ได้

เพราะคุณนำความแตกต่างมาสร้างความแตกแยก

จึงเข้าถึง #ความรักเพื่อให้ ในแบบพระเจ้าไม่ได้

การเป็นหนึ่งเดียวจากการ “คนให้เข้ากัน” ที่ต้องทำ

ต้องประสบความล้มเหลวกันตลอดมา

 

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากแบบนี้

นอกจากเข้าถึงแก่นแท้คือความรักเพื่อให้ไม่ได้แล้ว

พวกคุณถูกหลอกให้เสพติดกิเลสเสียจนเคยตัว

จนกิเลสฝังตัวอยู่ในจิตหยาบให้ผิดบาปตลอดมา

ซึ่งมันบดบังทั้งปัญญาและมหาสติเสียจนมืดมิด

แทนที่จะคิด “ยอมรับ” ในมายาที่เป็นแค่คุณสมบัติ

ซึ่งเป็นนามธรรมที่มิใช่อัตตาตัวตนแต่อย่างใด

พวกคุณกลับปฏิเสธความแตกต่างนั้นอย่างสิ้นเชิง

ยังผลให้ยิ่งโกรธมากมายานั้นจะยิ่งกลายเป็นอัตตา

ที่จิตหยาบพวกคุณสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้

เรื่องมันก็เลยเถิดจนยุ่งยากมากขึ้นไปอีกไม่รู้จบ

 

เมื่อคุณไม่พอใจพฤติกรรมขยะของใครบางคน

ลองสังเกตดูบ้างก็ได้ว่าการที่คุณโกรธขึ้งเขา

เป็นเพราะคุณไม่ชอบใจในพฤติกรรมขยะนั้น

นั่นคือคุณไม่อยากให้เขาทำไม่ดีแบบนั้นกับคุณ

ความหมายแท้จริงมันจะตรงกันกับประโยคที่ว่า

คุณต้องการให้เขาทำในแบบที่คุณชอบใจพอใจ

ถ้ายิ่งมีความต้องการมากคุณก็จะยิ่งโกรธมาก

 

นี่คือที่มาของตัวอย่างเรื่องการกินทุเรียน

ถ้าเนื้อในสีทองอร่ามหวานมันอร่อยของทุเรียนนั้น

คุณจะได้รับประทานหรือได้กินมันก็ต่อเมื่อ

คุณต้องฟันฝ่าผ่าแงะกลีบพูทุเรียนที่มีหนามคม

โดยข้ามผ่านอุปสรรคที่เป็นมายานั้นเข้าไปให้ได้

ถ้าคุณเป็นคนประเภท “อยากกินเนื้อแต่เบื่อหนาม”

มันจะทำให้การกินทุเรียนของคุณยุ่งยากมากยิ่งขึ้น

แปลความว่าคุณจะเข้ากันกับคนอื่นๆรอบข้าง

เพื่อปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ

ด้วยการใช้ความเมตตาหรือความรักเพื่อให้

สั่นสะเทือนจิตสามนึกของจิตหยาบด้วยขันธ์ห้า

ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าให้แกนแม่เหล็กโลก

เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนจนสมดุลไม่ได้เลย

เพราะการหมุนธรรมจักรคนเดียวตามลำพังนั้น

พลังงานที่เกิดขึ้นมันไม่มากพอที่จะช่วยโลกได้

 

ดังนั้น ถ้าคุณเจอหนามทุเรียนเมื่อไหร่

จงอย่าบังอาจคิดจะเปลี่ยนทุเรียนให้ไร้หนาม

เพื่อทำให้คุณง่ายขึ้นที่จะปอกจะกินทุเรียนนั้น

ไม่ต่างจากการพบเจอใครที่มีพฤติกรรมขยะ

จงอย่าบังอาจคิดจะไปเปลี่ยนสันดานของเขา

เพื่อทำให้คุณคบกับเขาได้สะดวกใจมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณเปลี่ยนธรรมชาติของทุเรียนไม่ได้

สันดานที่ไม่ดีของคนอื่นซึ่งคุณไม่ชอบใจ

คุณก็เปลี่ยนไม่ได้ต้องให้เขาเปลี่ยนเองเช่นกัน

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์



28/02/2567