24 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

กฎเกณฑ์ที่สำคัญสูงสุดขององค์จิตจักรวาล

นั่นคือ #กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง

หมายถึงทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรง #กำหนดสร้าง

ซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ดำรงอยู่ภายในห้องทดลองใหญ่

ที่พวกคุณเรียกว่า “เอกภพ” อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้

ทรงกำหนดสร้างด้วยพระผู้สร้างพระองค์เดียวกัน

 

คำว่า “กำหนดสร้าง” ในที่นี้เราหมายถึง

1.ผู้สร้างตั้งใจหรือจงใจที่จะสร้างแต่ละสิ่งนั้นขึ้นมา

2.ผู้สร้างจงใจออกแบบสิ่งนั้นๆในแต่ละสิ่งขึ้นมา

ให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ที่ทรงกำหนดไว้

3.ผู้สร้างกำหนดให้ทุกๆสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น

ดำรงอยู่ร่วมกันโดยเชื่อมโยงกันไว้อย่างลงตัวเสมอ

 

ดังนั้น

ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในภาชนะเดียวกัน

ซึ่งต่างล้วนดำรงอยู่ในสนามพลังงานเดียวกันตลอด

ตัวอย่างเช่นน้ำที่อยู่ในกะละมังใบใหญ่ใบเดียวกันนั้น

ถ้าคุณตะแคงกะละมังไปทางด้านใดด้านหนึ่งเมื่อไหร่

ด้านที่ถูกยกตัวสูงขึ้นปริมาณความลึกของน้ำจะลดลง

แต่ความสูงของน้ำหรือระดับความลึกทางด้านตรงข้าม

มันก็จะเพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างผกผันกันเสมอ

โดยไม่ต้องเติมปริมาณน้ำเพิ่มลงไปในกะละมังเลย

 

เพราะความจริงที่องค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้น

ในห้องทดลองใหญ่ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่า #เอกภพ

ความจริงของทุกสรรพสิ่งมันต้องเป็นของมันแบบนี้เอง

ถ้าบริเวณใดบริเวณหนึ่งมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นหรือสูงขึ้น

อีกบริเวณหนึ่งมันก็จะมีปริมาณลดลงหรือต่ำลงเสมอ

ซึ่งภายในเอกภพหรือในกะละมังใบเดียวกันจะเป็นเช่นนี้

จึงเป็นที่มาของกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันความว่า

#ถ้าที่ใดที่หนึ่งมีเพิ่มขึ้นมันจะก็มีที่ใดที่หนึ่งที่ลดลง

#ถ้าที่ใดที่หนึ่งมีการลดลงมันก็จะมีอีกที่หนึ่งเพิ่มขึ้น

ซึ่งแสดงให้รู้เห็นได้ว่าทุกสิ่งในเอกภพนี้เกี่ยวข้องกัน

ทุกสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

โดยความสัมพันธ์ในลักษณะการเป็นหนึ่งเดียวกันนี้

จะมองเป็นจุดคือมองในแบบจุลภาคหรือภาพเล็กมิได้

คุณต้องมองแบบองค์รวมเท่านั้นจึงจะเข้าถึงความจริง

เนื่องจากเอกภพเป็นอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล

แค่สองตาเนื้อของพวกคุณล้วนมีขีดจำกัดในการมอง

คงเหลือแต่ #จิตปัญญา คือ “สมองสองซีก” เท่านั้น

ที่คุณต้องใช้ในการมองให้เห็นสัจธรรมความจริงที่ว่านี้

 

ถ้าคุณเป็นคนโง่ง่ายเพราะใช้สมองที่มีอยู่คิดไม่เป็น

หรือเป็นคนงมงายเพราะมีสมองมีปัญญาแต่ไม่รู้จักใช้

ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนคุณจะไม่มีวันเข้าถึงความจริงนี้ได้

เพราะกลไกอายตนะเพื่อการสัมผัสทั้งห้าที่คุณเชื่อมัน

ไม่สามารถจะช่วยส่งผ่านความจริงสูงสุดที่ว่านี้ให้คุณได้

ในที่สุดแล้วคุณก็ต้องหันมาพึ่งพาจิตตปัญญาของตน

ตามแผนการที่ทรงวางเอาไว้ให้คุณเข้าถึงจิตตปัญญา

ในยามที่ “เข้าตาจน” หมายถึงในยามใดที่คุณรู้ว่า

คุณจะพึ่งพาอายตนะทั้งห้าอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว

คุณจะได้หันมาคิดรู้ด้วยปัญญาของสมองสองซีกแทน

 

ดังนั้น

การครองตนเป็นคนชอบธรรมที่ถูกต้องตรงจริง

จึงมิได้หมายถึงการปลีกวิเวกปฏิบัติกรรมฐานตามลำพัง

จึงมิได้หมายถึงการถือศีลกินมังสะวิรัติท่องมนต์ทำพิธี

ด้วยการแสร้งทำอายตนะทั้งห้าที่ดีอยู่ให้มันพิการ

แต่การครองตนเป็นคนชอบธรรมนั้นคุณต้องยึดธรรมชาติ

ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติตนในทางตรงข้ามกับที่คุณทำอยู่

โดยจะต้องไม่ละทิ้งสังคมไม่หนีสังคมหรือไม่ถูกสังคมทิ้ง

จะต้องไม่แสร้งทำเป็นคนหูหนวกตาบอดหรือเป็นคนใบ้

เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาการที่ #ผิดธรรมชาติ ทั้งสิ้น

 

คำว่า “ปฏิบัติธรรม” ที่แท้จริงคือปฏิบัติตนตามธรรมชาติ

การปลีกวิเวกคือการทำตนไม่เป็นสัตว์สังคมอีกแล้ว

การปิดตาปิดหูปิดวาจาคือการปิดประตูการรับรู้ของจิตไว้

จะยังผลให้ตัวคุณสั่นสะเทือนจิตเพื่อใช้ขันธ์ห้าไม่ได้

เมื่อใช้ขันธ์ห้าไม่ได้คุณก็จะเป็น #คนสองมิติ ไม่ได้

เพราะขันธ์ห้าเป็นเครื่องมือในการคนทั้งสองมิติ

คือมิติแห่งเนื้อหนังกับมิติทางพลังงานด้านแก่นแท้

ให้เข้ากันจนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลงตัว

เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายด้วยการเป็นมนุษย์นั่นแหละ

 

นอกจากนั้น

การปลีกวิเวกปิดอายตนะทั้งห้าเอาไว้ทั้งหมด

ยังเป็นการปิดประตูหน้าต่างการรับรู้สิ่งเร้าภายนอก

ที่จะช่วยเป็นเงื่อนไขกระตุ้นให้จิตตอบสนองเอาไว้

โดยเงื่อนไขจากภายนอกจะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ

ซึ่งปกติแล้วคนใกล้ตัวภายในครอบครัวของตัวเอง

ที่คุณกับพวกเขาจับมือหรือจูงมือชักพากันมาเกิด

ตามแผนการที่จิตวิญญาณพวกคุณเขียนบทละครไว้

โดยผลัดกันแสดงเงื่อนไขทั้งดีและร้ายให้แก่กัน

 

ผัวออกแบบบทละครนั้นๆให้เมียและลูกๆช่วยแสดง

เมียก็ออกแบบบทละครนั้นๆให้ผัวและลูกๆช่วยแสดง

ลูกแต่ละคนถ้ามีมากกว่าหนึ่งคนก็เช่นเดียวกัน

พวกเขาก็จะเป็นผู้ออกแบบบทละครให้พ่อแม่พี่น้อง

ช่วยกันแสดงบทสร้างเงื่อนไขไปตามที่ตนออกแบบไว้

โดยมี คำตอบที่พวกคุณในครอบครัวต้องทำก็คือ

 

1.ต้องไม่ละทิ้งครอบครัวด้วยการปลีกวิเวก

เพื่อหลบเลี่ยงไปปฏิบัติธรรมในแบบที่ไม่ถูกต้อง

เสมือนคุณอยากจะไปสวรรค์ตามลำพังคนเดียว

ทั้งๆที่ได้ให้พันธสัญญาเป็นสัจจะต่อกันเอาไว้แล้วว่า

จะพากันไปสวรรค์นิรันดรคือกลับบ้านเกิดแดนสุญตา

ไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณด้วยกัน

 

2.ต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบสนองตอบทุกเงื่อนไข

ที่ต่างหยิบยื่นให้แก่กันและกันทางด้านบวกเท่านั้น

โดยต้องสำนึกรู้ให้ได้ว่าทั้งบทดีบทร้ายที่เขายื่นมาให้

คือบทละครที่ตัวคุณนั่นแหละเป็นผู้ขอร้องให้เขา

ช่วยสร้างเงื่อนไขกระตุ้นขันธ์ห้าให้หมุนธรรมจักร

ทำดีกับคุณก็ต้องรักทำไม่ดีกับคุณก็ต้องรักเสมอ

คืออดทนอดกลั้นให้อภัยเมตตากรุณามุทิตาต่อกัน

#ไม่ต่อสู้ #ไม่ตอบโต้ #ไม่ต่อต้าน #ไม่เลี่ยงหนี

คำว่า “ธรรมจักร” จึงจะบรรลุผลตามต้องการได้

 

3.ความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว

เป็นสถาบันหลักที่ทุกคนต้องช่วยกันค้ำจุนให้สมดุล

โดยค้ำจุนกันไว้ด้วยความรักเพื่อให้เอาไว้เสมอ

 

#รักเพื่อให้พวกเขาอยู่ร่วมกันกับคุณตลอดไปได้

#รักเพื่อให้คุณอยู่ร่วมกันกับพวกเขาตลอดไปได้

 

ทั้งสามประการที่ว่านี้

จิตหยาบของคุณจะต้องรับผิดชอบ

เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณ

ที่ขันอาสาพระบิดาพากันมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าด้านบวกด้วยขันธ์ห้า

ป้อนให้แก่แกนแม่เหล็กโลกเพื่อช่วยให้โลกหมุน

จะได้ช่วยกันค้ำจุนสมดุลโลกทั้งระบบเอาไว้ได้

 

เมื่อพวกคุณช่วยโลกสมดุลได้ “เอกภพ” ก็สมดุล

ตามกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันที่เรากล่าวไว้แล้ว

จิตหยาบกับจิตวิญญาณซึ่งเป็นจักรวาลในตัวคุณ

จะค่อยๆยกระดับแรงสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างช้าๆ

จากมิติที่ 4D จนถึงมิติที่ 6D ได้เองเป็นอัตโนมัติ

นั่นคือจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้

คุณจะเป็นคนที่สมบูรณ์คือเป็นผู้ที่คนจนสำเร็จแล้ว

โดยจะบรรลุภารกิจทางจิตวิญญาณอย่างแน่นอน

นั่นคือคุณจะได้เป็น #มนุษย์ อย่างสมบูรณ์นั่นเอง

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

24/02/2567