#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กฎเกณฑ์ที่สำคัญสูงสุดขององค์จิตจักรวาล
นั่นคือ
#กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง
หมายถึงทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรง
#กำหนดสร้าง
ซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ดำรงอยู่ภายในห้องทดลองใหญ่
ที่พวกคุณเรียกว่า
“เอกภพ” อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
ทรงกำหนดสร้างด้วยพระผู้สร้างพระองค์เดียวกัน
คำว่า
“กำหนดสร้าง” ในที่นี้เราหมายถึง
1.ผู้สร้างตั้งใจหรือจงใจที่จะสร้างแต่ละสิ่งนั้นขึ้นมา
2.ผู้สร้างจงใจออกแบบสิ่งนั้นๆในแต่ละสิ่งขึ้นมา
ให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ที่ทรงกำหนดไว้
3.ผู้สร้างกำหนดให้ทุกๆสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น
ดำรงอยู่ร่วมกันโดยเชื่อมโยงกันไว้อย่างลงตัวเสมอ
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในภาชนะเดียวกัน
ซึ่งต่างล้วนดำรงอยู่ในสนามพลังงานเดียวกันตลอด
ตัวอย่างเช่นน้ำที่อยู่ในกะละมังใบใหญ่ใบเดียวกันนั้น
ถ้าคุณตะแคงกะละมังไปทางด้านใดด้านหนึ่งเมื่อไหร่
ด้านที่ถูกยกตัวสูงขึ้นปริมาณความลึกของน้ำจะลดลง
แต่ความสูงของน้ำหรือระดับความลึกทางด้านตรงข้าม
มันก็จะเพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างผกผันกันเสมอ
โดยไม่ต้องเติมปริมาณน้ำเพิ่มลงไปในกะละมังเลย
เพราะความจริงที่องค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้น
ในห้องทดลองใหญ่ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่า
#เอกภพ
ความจริงของทุกสรรพสิ่งมันต้องเป็นของมันแบบนี้เอง
ถ้าบริเวณใดบริเวณหนึ่งมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นหรือสูงขึ้น
อีกบริเวณหนึ่งมันก็จะมีปริมาณลดลงหรือต่ำลงเสมอ
ซึ่งภายในเอกภพหรือในกะละมังใบเดียวกันจะเป็นเช่นนี้
จึงเป็นที่มาของกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันความว่า
#ถ้าที่ใดที่หนึ่งมีเพิ่มขึ้นมันจะก็มีที่ใดที่หนึ่งที่ลดลง
#ถ้าที่ใดที่หนึ่งมีการลดลงมันก็จะมีอีกที่หนึ่งเพิ่มขึ้น
ซึ่งแสดงให้รู้เห็นได้ว่าทุกสิ่งในเอกภพนี้เกี่ยวข้องกัน
ทุกสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
โดยความสัมพันธ์ในลักษณะการเป็นหนึ่งเดียวกันนี้
จะมองเป็นจุดคือมองในแบบจุลภาคหรือภาพเล็กมิได้
คุณต้องมองแบบองค์รวมเท่านั้นจึงจะเข้าถึงความจริง
เนื่องจากเอกภพเป็นอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล
แค่สองตาเนื้อของพวกคุณล้วนมีขีดจำกัดในการมอง
คงเหลือแต่
#จิตปัญญา คือ
“สมองสองซีก” เท่านั้น
ที่คุณต้องใช้ในการมองให้เห็นสัจธรรมความจริงที่ว่านี้
ถ้าคุณเป็นคนโง่ง่ายเพราะใช้สมองที่มีอยู่คิดไม่เป็น
หรือเป็นคนงมงายเพราะมีสมองมีปัญญาแต่ไม่รู้จักใช้
ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนคุณจะไม่มีวันเข้าถึงความจริงนี้ได้
เพราะกลไกอายตนะเพื่อการสัมผัสทั้งห้าที่คุณเชื่อมัน
ไม่สามารถจะช่วยส่งผ่านความจริงสูงสุดที่ว่านี้ให้คุณได้
ในที่สุดแล้วคุณก็ต้องหันมาพึ่งพาจิตตปัญญาของตน
ตามแผนการที่ทรงวางเอาไว้ให้คุณเข้าถึงจิตตปัญญา
ในยามที่
“เข้าตาจน” หมายถึงในยามใดที่คุณรู้ว่า
คุณจะพึ่งพาอายตนะทั้งห้าอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว
คุณจะได้หันมาคิดรู้ด้วยปัญญาของสมองสองซีกแทน
ดังนั้น
การครองตนเป็นคนชอบธรรมที่ถูกต้องตรงจริง
จึงมิได้หมายถึงการปลีกวิเวกปฏิบัติกรรมฐานตามลำพัง
จึงมิได้หมายถึงการถือศีลกินมังสะวิรัติท่องมนต์ทำพิธี
ด้วยการแสร้งทำอายตนะทั้งห้าที่ดีอยู่ให้มันพิการ
แต่การครองตนเป็นคนชอบธรรมนั้นคุณต้องยึดธรรมชาติ
ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติตนในทางตรงข้ามกับที่คุณทำอยู่
โดยจะต้องไม่ละทิ้งสังคมไม่หนีสังคมหรือไม่ถูกสังคมทิ้ง
จะต้องไม่แสร้งทำเป็นคนหูหนวกตาบอดหรือเป็นคนใบ้
เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาการที่
#ผิดธรรมชาติ ทั้งสิ้น
คำว่า
“ปฏิบัติธรรม” ที่แท้จริงคือปฏิบัติตนตามธรรมชาติ
การปลีกวิเวกคือการทำตนไม่เป็นสัตว์สังคมอีกแล้ว
การปิดตาปิดหูปิดวาจาคือการปิดประตูการรับรู้ของจิตไว้
จะยังผลให้ตัวคุณสั่นสะเทือนจิตเพื่อใช้ขันธ์ห้าไม่ได้
เมื่อใช้ขันธ์ห้าไม่ได้คุณก็จะเป็น
#คนสองมิติ ไม่ได้
เพราะขันธ์ห้าเป็นเครื่องมือในการคนทั้งสองมิติ
คือมิติแห่งเนื้อหนังกับมิติทางพลังงานด้านแก่นแท้
ให้เข้ากันจนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลงตัว
เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายด้วยการเป็นมนุษย์นั่นแหละ
นอกจากนั้น
การปลีกวิเวกปิดอายตนะทั้งห้าเอาไว้ทั้งหมด
ยังเป็นการปิดประตูหน้าต่างการรับรู้สิ่งเร้าภายนอก
ที่จะช่วยเป็นเงื่อนไขกระตุ้นให้จิตตอบสนองเอาไว้
โดยเงื่อนไขจากภายนอกจะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ
ซึ่งปกติแล้วคนใกล้ตัวภายในครอบครัวของตัวเอง
ที่คุณกับพวกเขาจับมือหรือจูงมือชักพากันมาเกิด
ตามแผนการที่จิตวิญญาณพวกคุณเขียนบทละครไว้
โดยผลัดกันแสดงเงื่อนไขทั้งดีและร้ายให้แก่กัน
ผัวออกแบบบทละครนั้นๆให้เมียและลูกๆช่วยแสดง
เมียก็ออกแบบบทละครนั้นๆให้ผัวและลูกๆช่วยแสดง
ลูกแต่ละคนถ้ามีมากกว่าหนึ่งคนก็เช่นเดียวกัน
พวกเขาก็จะเป็นผู้ออกแบบบทละครให้พ่อแม่พี่น้อง
ช่วยกันแสดงบทสร้างเงื่อนไขไปตามที่ตนออกแบบไว้
โดยมี
คำตอบที่พวกคุณในครอบครัวต้องทำก็คือ
1.ต้องไม่ละทิ้งครอบครัวด้วยการปลีกวิเวก
เพื่อหลบเลี่ยงไปปฏิบัติธรรมในแบบที่ไม่ถูกต้อง
เสมือนคุณอยากจะไปสวรรค์ตามลำพังคนเดียว
ทั้งๆที่ได้ให้พันธสัญญาเป็นสัจจะต่อกันเอาไว้แล้วว่า
จะพากันไปสวรรค์นิรันดรคือกลับบ้านเกิดแดนสุญตา
ไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณด้วยกัน
2.ต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบสนองตอบทุกเงื่อนไข
ที่ต่างหยิบยื่นให้แก่กันและกันทางด้านบวกเท่านั้น
โดยต้องสำนึกรู้ให้ได้ว่าทั้งบทดีบทร้ายที่เขายื่นมาให้
คือบทละครที่ตัวคุณนั่นแหละเป็นผู้ขอร้องให้เขา
ช่วยสร้างเงื่อนไขกระตุ้นขันธ์ห้าให้หมุนธรรมจักร
ทำดีกับคุณก็ต้องรักทำไม่ดีกับคุณก็ต้องรักเสมอ
คืออดทนอดกลั้นให้อภัยเมตตากรุณามุทิตาต่อกัน
#ไม่ต่อสู้ #ไม่ตอบโต้ #ไม่ต่อต้าน #ไม่เลี่ยงหนี
คำว่า
“ธรรมจักร” จึงจะบรรลุผลตามต้องการได้
3.ความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว
เป็นสถาบันหลักที่ทุกคนต้องช่วยกันค้ำจุนให้สมดุล
โดยค้ำจุนกันไว้ด้วยความรักเพื่อให้เอาไว้เสมอ
#รักเพื่อให้พวกเขาอยู่ร่วมกันกับคุณตลอดไปได้
#รักเพื่อให้คุณอยู่ร่วมกันกับพวกเขาตลอดไปได้
ทั้งสามประการที่ว่านี้
จิตหยาบของคุณจะต้องรับผิดชอบ
เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณ
ที่ขันอาสาพระบิดาพากันมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าด้านบวกด้วยขันธ์ห้า
ป้อนให้แก่แกนแม่เหล็กโลกเพื่อช่วยให้โลกหมุน
จะได้ช่วยกันค้ำจุนสมดุลโลกทั้งระบบเอาไว้ได้
เมื่อพวกคุณช่วยโลกสมดุลได้
“เอกภพ” ก็สมดุล
ตามกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันที่เรากล่าวไว้แล้ว
จิตหยาบกับจิตวิญญาณซึ่งเป็นจักรวาลในตัวคุณ
จะค่อยๆยกระดับแรงสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างช้าๆ
จากมิติที่
4D
จนถึงมิติที่ 6D ได้เองเป็นอัตโนมัติ
นั่นคือจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้
คุณจะเป็นคนที่สมบูรณ์คือเป็นผู้ที่คนจนสำเร็จแล้ว
โดยจะบรรลุภารกิจทางจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
นั่นคือคุณจะได้เป็น
#มนุษย์ อย่างสมบูรณ์นั่นเอง
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
24/02/2567