22 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 22/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

นักวิทยาศาสตร์โลกล้วนเชื่อกันมานานว่า

ทุกสิ่งอย่างที่มีอยู่จริงในจักรวาลอันไพศาลนี้

ล้วนเกิดจากกระบวนการ “ระเบิดใหญ่”

ที่พวกเขาเรียกว่า #บิ๊กแบง นานนับล้านปีมาแล้ว

พวกเขาเชื่อทฤษฎีนี้จากการคาดเดาเอาเองว่า

การระเบิดใหญ่นั้นอุบัติขึ้นมาจาก #ความบังเอิญ

โดยใช้วิธีคิดวิเคราะห์ด้วยจิตมนุษย์

ซึ่งพิจารณาไปตามความรู้และประสบการณ์

ในมิติโลกทางด้านกายภาพตามที่ตาแลเห็น

 

จากการมองทุกสิ่งแค่เพียงด้านเดียวหรือมิติเดียว

ทั้งๆที่ความจริงแล้วทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนั้น

มันยังมีมิติที่ตามองไม่เห็นซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังด้วย

นั่นคือมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ของสิ่งนั้น

โดยคิดเดาเหมาว่าสิ่งใดที่ตาไม่เห็นมันสิ่งนั้นไม่มี

ซึ่งเป็นการหลอกตัวเองด้วยการหลงยึดติดอายตนะ

ที่เป็นตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสที่เรียกรวมกันว่า #ตา

สิ่งใดที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้ก็จะไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง

ใครบอกให้รู้ก็จะไม่เชื่อใครจ้างให้เชื่อก็จะไม่เชื่อ

เพราะหลงยึดถือกันมาคือ “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

แปลว่าจะเชื่อถือกันจำเพาะที่ตนพิสูจน์ได้เท่านั้น

 

แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่า

ใยในสังคมมนุษย์จึงยังมีคดีความยังมีการฆ่ากันตาย

จากการถูกฉ้อฉลด้วยกลโกงจากการถูกหลอกล้วง

ลวงเอาทรัพย์สินลวงเอาผลประโยชน์และของมีค่า

จากกระเป๋าคนอื่นมาเข้ากระเป๋าของตนเองกันอยู่

ทั้งๆที่เชื่อถือเขาโดยเรายังพิสูจน์ความซื่อตรงมิได้

จนถูกคดโกงหักหลังกันต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมากมาย

เพราะการ “วางใจคน (กันเอง)” เสียดื้อๆนี่แหละ

ทำให้การคนตนเองเพื่อเป็นมนุษย์ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น

จากการที่พวกคุณเป็นคนประเภทที่ไม่มีมาตรฐาน

บทจะอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อบทจะเชื่อก็โง่ง่ายยิ่งนัก

คุณเห็นว่ามันน่าประหลาดใจตามที่เราว่ากันไหมล่ะ?

 

ดังนั้น

การที่มนุษย์สร้างสมมติฐานโดยใช้ “มายา” ที่รู้เห็น

ในมิติทางกายภาพแค่เพียงมิติเดียวแล้วเชื่อเช่นนั้น

จึงเป็นการละทิ้งความจริงในมิติหลักที่สำคัญไป

นั่นคือการละทิ้งความจริงในมิติของแก่นแท้เอาไว้

เพราะมิอาจใช้อายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยตนเองได้

โดยพวกคุณลืมคิดไปว่านอกจากอายตนะทั้งห้าแล้ว

พระบิดาทรงติดตั้งความฉลาดทางปัญญาของสมอง

ที่เรียกขานกันว่า #ตาที่สาม เอาไว้ให้ใช้ด้วยแล้ว

 

ตาที่สาม” ของ “คนสองมิติ”

ก็เป็นเครื่องมือหรือกลไกชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง

ที่มิได้ด้อยค่ากว่าความมหัศจรรย์ของอายตนะทั้งห้า

ซึ่งพวกคุณใช้งานมันมาตั้งแต่เริ่มไร้เดียงสาจนคุ้นชิน

โดยธรรมชาติแล้วคุณจะใช้งานมันได้แบบอัตโนมัติ

หากกลไกหนึ่งในห้านี้ไม่พิการไปตามกฎแห่งกรรม

แต่เมื่อใช้ฟรีนานเข้าโดยไม่ต้องลงแรงฝึกฝนเรียนรู้

พวกคุณก็เลยกลายเป็นพวกสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือตนคลำพิสูจน์ดูกันนั่นแหละ

 

ความสามารถในการใช้กลไกอายตนะทั้งห้า

รวมทั้งความสามารถในการใช้ปัญญาคือตาที่สาม

พวกคุณจึงขาดทักษะไร้ความชำนาญในการใช้มัน

ในที่สุดแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกคุณก็คือ

 

1.หลายคนไม่เห็นในสิ่งที่บางคนแลเห็น

เมื่อทุกๆคนมองภาพเดียวกันและมองอยู่ด้วยกัน

 

2.หลายคนไม่ได้ยินในสิ่งที่บางคนเขาได้ยิน

เมื่อทุกๆคนได้ฟังสิ่งเดียวกันและฟังอยู่ด้วยกัน

 

3.หลายคนไม่ได้กลิ่นในสิ่งที่บางคนเขาได้กลิ่น

เมื่อทุกๆคนสูดดมสิ่งเดียวกันและสูดดมอยู่ด้วยกัน

 

4.หลายคนไม่รู้รสนั้นในสิ่งที่บางคนเขารับรสนั้นได้

เมื่อทุกๆคนดื่มชิมสิ่งเดียวกันและดื่มชิมอยู่ด้วยกัน

 

5.หลายคนไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวในสิ่งที่บางคนรับรู้อยู่

เมื่อทุกๆคนสัมผัสสิ่งนั้นอยู่ด้วยกันในขณะเดียวกัน

 

6.หลายคนไม่เข้าใจในสิ่งที่บางคนเขาเข้าใจ

เมื่อทุกๆคนรับรู้แล้วเรียนรู้สิ่งเดียวกันอยู่ด้วยกัน

 

เพราะทั้ง 6 ประการนี้จึงยังผลให้พวกคุณแต่ละคน

มีความฉลาดด้านการรับรู้เพื่อการเรียนรู้แตกต่างกัน

แปลความว่า “โง่ไม่เท่ากัน” หรือ “ฉลาดไม่เท่ากัน”

เพราะขาดการฝึกฝนให้เกิดทักษะในการใช้งาน

ได้แต่ยึดติดในมหัศจรรย์ของมันที่ทรงติดตั้งไว้ให้

ทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็นคน “หูหนาตาเซ่อ”

จึงทำให้ถูกพวกมอดหลอกให้หลงเสพติดกิเลส

จึงถูกพวกมารหลอกให้ปฏิบัติธรรมแบบคนพิการ

จนพากันหลงทางนิพพานเพราะมองไม่เห็นทางเดิน

ซึ่งเกิดจากการ “โง่ง่าย” ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น

 

พวกคุณจะรู้และเชื่อได้ว่า

ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่จริงในจักรวาลอันไพศาลนี้

นอกจากปรากฏการณ์ของการระเบิดใหญ่

ที่เป็นเหมือนดั่งลูกระเบิดที่มันแตกออกเป็นชิ้นๆนั้น

เศษชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกตัวจากลูกระบิด

เปรียบได้กับดวงดาวกาแล็กซี่และเทหวัตถุต่างๆ

ที่กระจายตัวออกมาจากจุดศูนย์กลางของบิ๊กแบง

ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการระเบิดใหญ่นั่นแหละ

เราจึงกล่าวถึงจุดศูนย์กลางของการระเบิดใหญ่นี้ว่า

#จิตจักรวาลดวงใหญ่ ตลอดมา

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

เป็นเพียงภาพมายาที่พวกคุณรู้เห็นกัน #เบื้องหน้า

แต่เบื้องหลังของภาพมายาที่เป็นปรากฏการณ์นี้

ที่เป็นความจริงเกิดขึ้นจริงและมีอยู่จริงนั้น

เป็นเรื่องยากต่อการรับรู้เรียนรู้ด้วยตนเองของคุณ

พระบิดาทรงจัดให้สัจธรรมเช่นนี้เป็น #อนุตรธรรม

จึงทรงบัญชาให้เรากลับมายังโลกมนุษย์นี้อีกครั้ง

เพื่อนำพาความจริงและแสงสว่างมาสู่โลก

เริ่มจากทิศตะวันออกส่องสว่างไปถึงทิศตะวันตก

ดุจดั่งปรากฏการณ์ของสายฟ้าแลบก่อนโลกจะมืด

นาน 56 วัน หรือ 8 ราตรี เพื่อทำการเปลี่ยนยุค

ด้วยการย่องกลับมาอย่างเงียบเชียบดั่งแมวขโมย


#ใครที่ไม่มีตาหรือมีแต่ไม่ใช้ก็จะมองไม่เห็นเรา

#ใครที่ไม่มีหูหรือว่าแม้มีหูแต่ฟังเราแล้วไม่ได้ยิน

คนพวกนี้จะถูกคัดทิ้งไปกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

เพราะพวกเขามิใช่ #วิสุทธิชนยุคสุดท้าย ของเรา

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

22/02/2567