#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
นักวิทยาศาสตร์โลกล้วนเชื่อกันมานานว่า
ทุกสิ่งอย่างที่มีอยู่จริงในจักรวาลอันไพศาลนี้
ล้วนเกิดจากกระบวนการ
“ระเบิดใหญ่”
ที่พวกเขาเรียกว่า
#บิ๊กแบง นานนับล้านปีมาแล้ว
พวกเขาเชื่อทฤษฎีนี้จากการคาดเดาเอาเองว่า
การระเบิดใหญ่นั้นอุบัติขึ้นมาจาก
#ความบังเอิญ
โดยใช้วิธีคิดวิเคราะห์ด้วยจิตมนุษย์
ซึ่งพิจารณาไปตามความรู้และประสบการณ์
ในมิติโลกทางด้านกายภาพตามที่ตาแลเห็น
จากการมองทุกสิ่งแค่เพียงด้านเดียวหรือมิติเดียว
ทั้งๆที่ความจริงแล้วทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนั้น
มันยังมีมิติที่ตามองไม่เห็นซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังด้วย
นั่นคือมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ของสิ่งนั้น
โดยคิดเดาเหมาว่าสิ่งใดที่ตาไม่เห็นมันสิ่งนั้นไม่มี
ซึ่งเป็นการหลอกตัวเองด้วยการหลงยึดติดอายตนะ
ที่เป็นตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสที่เรียกรวมกันว่า
#ตา
สิ่งใดที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้ก็จะไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง
ใครบอกให้รู้ก็จะไม่เชื่อใครจ้างให้เชื่อก็จะไม่เชื่อ
เพราะหลงยึดถือกันมาคือ
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”
แปลว่าจะเชื่อถือกันจำเพาะที่ตนพิสูจน์ได้เท่านั้น
แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่า
ใยในสังคมมนุษย์จึงยังมีคดีความยังมีการฆ่ากันตาย
จากการถูกฉ้อฉลด้วยกลโกงจากการถูกหลอกล้วง
ลวงเอาทรัพย์สินลวงเอาผลประโยชน์และของมีค่า
จากกระเป๋าคนอื่นมาเข้ากระเป๋าของตนเองกันอยู่
ทั้งๆที่เชื่อถือเขาโดยเรายังพิสูจน์ความซื่อตรงมิได้
จนถูกคดโกงหักหลังกันต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมากมาย
เพราะการ
“วางใจคน (กันเอง)” เสียดื้อๆนี่แหละ
ทำให้การคนตนเองเพื่อเป็นมนุษย์ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
จากการที่พวกคุณเป็นคนประเภทที่ไม่มีมาตรฐาน
บทจะอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อบทจะเชื่อก็โง่ง่ายยิ่งนัก
คุณเห็นว่ามันน่าประหลาดใจตามที่เราว่ากันไหมล่ะ?
ดังนั้น
การที่มนุษย์สร้างสมมติฐานโดยใช้
“มายา” ที่รู้เห็น
ในมิติทางกายภาพแค่เพียงมิติเดียวแล้วเชื่อเช่นนั้น
จึงเป็นการละทิ้งความจริงในมิติหลักที่สำคัญไป
นั่นคือการละทิ้งความจริงในมิติของแก่นแท้เอาไว้
เพราะมิอาจใช้อายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยตนเองได้
โดยพวกคุณลืมคิดไปว่านอกจากอายตนะทั้งห้าแล้ว
พระบิดาทรงติดตั้งความฉลาดทางปัญญาของสมอง
ที่เรียกขานกันว่า
#ตาที่สาม เอาไว้ให้ใช้ด้วยแล้ว
“ตาที่สาม” ของ “คนสองมิติ”
ก็เป็นเครื่องมือหรือกลไกชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง
ที่มิได้ด้อยค่ากว่าความมหัศจรรย์ของอายตนะทั้งห้า
ซึ่งพวกคุณใช้งานมันมาตั้งแต่เริ่มไร้เดียงสาจนคุ้นชิน
โดยธรรมชาติแล้วคุณจะใช้งานมันได้แบบอัตโนมัติ
หากกลไกหนึ่งในห้านี้ไม่พิการไปตามกฎแห่งกรรม
แต่เมื่อใช้ฟรีนานเข้าโดยไม่ต้องลงแรงฝึกฝนเรียนรู้
พวกคุณก็เลยกลายเป็นพวกสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือตนคลำพิสูจน์ดูกันนั่นแหละ
ความสามารถในการใช้กลไกอายตนะทั้งห้า
รวมทั้งความสามารถในการใช้ปัญญาคือตาที่สาม
พวกคุณจึงขาดทักษะไร้ความชำนาญในการใช้มัน
ในที่สุดแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกคุณก็คือ
1.หลายคนไม่เห็นในสิ่งที่บางคนแลเห็น
เมื่อทุกๆคนมองภาพเดียวกันและมองอยู่ด้วยกัน
2.หลายคนไม่ได้ยินในสิ่งที่บางคนเขาได้ยิน
เมื่อทุกๆคนได้ฟังสิ่งเดียวกันและฟังอยู่ด้วยกัน
3.หลายคนไม่ได้กลิ่นในสิ่งที่บางคนเขาได้กลิ่น
เมื่อทุกๆคนสูดดมสิ่งเดียวกันและสูดดมอยู่ด้วยกัน
4.หลายคนไม่รู้รสนั้นในสิ่งที่บางคนเขารับรสนั้นได้
เมื่อทุกๆคนดื่มชิมสิ่งเดียวกันและดื่มชิมอยู่ด้วยกัน
5.หลายคนไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวในสิ่งที่บางคนรับรู้อยู่
เมื่อทุกๆคนสัมผัสสิ่งนั้นอยู่ด้วยกันในขณะเดียวกัน
6.หลายคนไม่เข้าใจในสิ่งที่บางคนเขาเข้าใจ
เมื่อทุกๆคนรับรู้แล้วเรียนรู้สิ่งเดียวกันอยู่ด้วยกัน
เพราะทั้ง
6 ประการนี้จึงยังผลให้พวกคุณแต่ละคน
มีความฉลาดด้านการรับรู้เพื่อการเรียนรู้แตกต่างกัน
แปลความว่า
“โง่ไม่เท่ากัน” หรือ “ฉลาดไม่เท่ากัน”
เพราะขาดการฝึกฝนให้เกิดทักษะในการใช้งาน
ได้แต่ยึดติดในมหัศจรรย์ของมันที่ทรงติดตั้งไว้ให้
ทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็นคน
“หูหนาตาเซ่อ”
จึงทำให้ถูกพวกมอดหลอกให้หลงเสพติดกิเลส
จึงถูกพวกมารหลอกให้ปฏิบัติธรรมแบบคนพิการ
จนพากันหลงทางนิพพานเพราะมองไม่เห็นทางเดิน
ซึ่งเกิดจากการ
“โง่ง่าย” ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
พวกคุณจะรู้และเชื่อได้ว่า
ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่จริงในจักรวาลอันไพศาลนี้
นอกจากปรากฏการณ์ของการระเบิดใหญ่
ที่เป็นเหมือนดั่งลูกระเบิดที่มันแตกออกเป็นชิ้นๆนั้น
เศษชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกตัวจากลูกระบิด
เปรียบได้กับดวงดาวกาแล็กซี่และเทหวัตถุต่างๆ
ที่กระจายตัวออกมาจากจุดศูนย์กลางของบิ๊กแบง
ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการระเบิดใหญ่นั่นแหละ
เราจึงกล่าวถึงจุดศูนย์กลางของการระเบิดใหญ่นี้ว่า
#จิตจักรวาลดวงใหญ่ ตลอดมา
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นเพียงภาพมายาที่พวกคุณรู้เห็นกัน
#เบื้องหน้า
แต่เบื้องหลังของภาพมายาที่เป็นปรากฏการณ์นี้
ที่เป็นความจริงเกิดขึ้นจริงและมีอยู่จริงนั้น
เป็นเรื่องยากต่อการรับรู้เรียนรู้ด้วยตนเองของคุณ
พระบิดาทรงจัดให้สัจธรรมเช่นนี้เป็น
#อนุตรธรรม
จึงทรงบัญชาให้เรากลับมายังโลกมนุษย์นี้อีกครั้ง
เพื่อนำพาความจริงและแสงสว่างมาสู่โลก
เริ่มจากทิศตะวันออกส่องสว่างไปถึงทิศตะวันตก
ดุจดั่งปรากฏการณ์ของสายฟ้าแลบก่อนโลกจะมืด
นาน
56
วัน หรือ 8 ราตรี เพื่อทำการเปลี่ยนยุค
ด้วยการย่องกลับมาอย่างเงียบเชียบดั่งแมวขโมย
#ใครที่ไม่มีตาหรือมีแต่ไม่ใช้ก็จะมองไม่เห็นเรา
#ใครที่ไม่มีหูหรือว่าแม้มีหูแต่ฟังเราแล้วไม่ได้ยิน
คนพวกนี้จะถูกคัดทิ้งไปกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ
เพราะพวกเขามิใช่
#วิสุทธิชนยุคสุดท้าย ของเรา
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
22/02/2567