#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อคุณได้รู้ความจริงกันไปแล้วว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือ
#องค์จิตจักรวาล
พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวคุณขึ้นมา
โดยทรงมีวัตถุประสงค์หลักก็คือต้องการเรียนรู้ว่า
การที่พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาด้วยพระองค์เองนั้น
นอกจากจะทรงสร้าง
“เงามายา” ของพระองค์เอง
ทั้งเงาที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์และ
“เสียงก้อง”
ซึ่งเป็นดั่ง
“เงาเสียง” ของพระองค์ได้แล้ว
ยังจะทรงพระปรีชาสามารถทำสิ่งใดได้อีกบ้าง
ในบทที่ผ่านมา
เราได้หยิบยกเอาสรรพสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงสร้าง
ซึ่งเป็นสรรพสิ่งต่างๆที่พวกคุณสัมผัสรู้ดูเห็นใกล้ตัว
มาเป็นตัวอย่างอธิบายความให้คุณเข้าใจและเข้าถึง
โดยเฉพาะในเรื่องของ
#มายารูปลักษณ์กับแก่นแท้
ด้วยการอธิบายความให้รู้เห็นสัจธรรมในธรรมชาติว่า
ทุกถ้วนสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นมานั้น
จะเป็นสรรพสิ่งที่มี
“สองมิติ” ประกอบกันเสมอ
โดยตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้าง
จะเป็น
“กลุ่มพลังงาน” ซึ่งเร้นตัวเองอยู่ข้างใน
แต่เนื่องจากเป็นพลังงานจึงไม่อาจดำรงอยู่อิสระได้
พระองค์จึงทรงต้องออกแบบให้มี
“เปลือกนอก”
ทำหน้าที่ห่อหุ้มโอบอุ้มไว้ให้แก่นแท้ใช้ยึดเหนี่ยว
เปลือกนอกที่มีมวลหยาบกว่าซึ่งพลังงานยึดเกาะได้
จึงเป็นมิติทางกายภาพอีกมิติหนึ่งของสรรพสิ่งนั้น
ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างล้วนมีสองมิติเหมือนกัน
ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่พวกคุณเรียกว่า
#สัตว์โลก
อันหมายรวมถึง
“สัตว์ประจำโลก” และ “สัตว์มนุษย์”
ซึ่งมี
#กล่องพลังงาน แต่มิใช่
“กลุ่มพลังงาน”
ทำหน้าที่เป็นตัวตนแก่นแท้ของสิ่งนั้นอยู่ข้างใน
โดย
“กล่องพลังงาน” ก็คือ #รูปธรรมจิตวิญญาณ
ซึ่งมีรูปธรรมที่เป็นรูปทรงเรขาคณิต
6 เหลี่ยมมุม
ทั้งในมนุษย์และสัตว์ประจำโลกทั้งหลายทุกเผ่าพันธุ์
ต่างจากต้นไม้ใหญ่หรือต้นหญ้าใบเล็กๆและสิ่งอื่นๆ
สรรพสิ่งเหล่านี้จะมีแค่
“กลุ่มพลังงาน” หลายความถี่
ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ข้างในเปลือกนอกเท่านั้น
เนื่องจากพระองค์ทรงกำหนดสร้างกลไกอายตนะ
ในการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทรงสร้างขึ้นไว้
จาก
“มายา” ที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้นั้นๆ
เฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมรสชาติกลิ่นเสียงกายสัมผัส
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกเอาไว้ให้ทั้งห้าอย่างแล้ว
โดยไม่มีกลไกอายตนะใดๆที่จะสัมผัสกับพลังงาน
ซึ่งเร้นอยู่ในตัวตนแก่นแท้ทั้งหลายโดยตรงได้เลย
ก็เพื่อจะเปิดช่องทางการใช้
“ดวงตาแห่งปัญญา”
อันประกอบด้วย
“จิตหยาบ” กับ “สมองซีกซ้าย”
ให้พวกคุณเรียนรู้ที่จะหยิบมันขึ้นมาใช้งานนั่นเอง
ดังนั้น
ดวงตาแห่งปัญญาที่เป็น
“จิตกับสมองซีกซ้าย”
จึงเป็นเสมือนหนึ่งกลไกอายตนะชิ้นที่
6 ที่สำคัญ
ที่คุณจะต้องใช้มันสัมผัสรู้สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างไว้
ซึ่งเกินความสามารถที่จะใช้ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสได้
โดยที่สมองมนุษย์กับสมองของสัตว์ประจำโลกนั้น
พระองค์ทรงออกแบบให้มีสมรรถนะที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่าสมองมนุษย์จะซับซ้อนแยบยลยิ่งกว่า
คุณจึงมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้สมองของตนให้ได้
ซึ่งทรงพระเมตตากำหนดให้คุณใช้สมองทั้งสองซีก
ในแบบอัตโนมัติกันอยู่บ้างแล้วทั้งซีกซ้ายและขวา
ตั้งแต่คุณมีอายุครบสามขวบปีเป็นต้นมานั่นแหละ
พวกคุณใช้งานอายตนะแบบอัตโนมัติกันเสียจนเพลิน
โดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะใช้อายตนะทั้งหกอย่างจริงจัง
เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการเรียนรู้โลกของพระองค์
สู่การคนตนเองด้วยความรักหรือ
#หมุนธรรมจักร
เพื่อยกระดับจิตหยาบจาก
4D
สู่มิติที่ 6D กันอีกเลย
ความฉลาดในการใช้อายตนะทั้ง
6 จึงมิได้พัฒนากัน
ภาษาโลกเรียกว่าพวกคุณ
“ติดใจที่จะใช้ของฟรี”
ที่พระองค์ทรงเมตตาติดตั้งเอาไว้ให้มาตั้งแต่เกิด
คุณจึงใช้งานกันอย่างไม่คุ้มค่าไม่เต็มประสิทธิภาพ
จนพากันเสี้ยมสอนสืบทอดกันมาแบบผิดๆว่า
หมายความว่าจะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อ
แค่ฟังคำเล่าลือที่เขาบอกต่อกันมาไม่ได้
คุณต้องรู้เห็นมันด้วยตาของตัวเองเท่านั้น
แต่แค่รู้เห็นด้วยตาของตนก็ยังไม่พอ
คุณต้องลูบต้องจับต้องคลำมันด้วยตนเองเท่านั้น
จึงจะเชื่อว่าใช่ได้แน่
ๆยิ่งกว่าแช่แป้ง!
คุณจะสังเกตได้ว่า
ตั้งแต่ยุคโบราณนานนมมาแล้ว
พวกคุณชาวโลกไม่เคยใส่ใจในอายตนะที่
6
ที่เป็น
#จิตตปัญญา ของจิตกับสมองสองซีกเลย
จนผู้รู้หลายคนในหมู่พวกคุณกันเองเปรียบเปรยว่า
คนบางคนมีสมองเอาไว้แค่คั่นหูสองข้างเท่านั้นเอง
เราจึงรีบกลับมาก่อนกำหนด
เพื่อช่วยจุดประกายทางปัญญาให้พวกคุณ
เหมือนดั่งนำเอาแสงสว่างมาสู่โลกเสรีนี้
เริ่มต้นจากโลกด้านตะวันออกแผ่ไปทางตะวันตก
ให้เกิดปรากฏการณ์เป็นประกายดุจสายฟ้าแลบ
เรากลับมาทำหน้าที่ช่วย
“จุดตะเกียง” ให้พวกคุณ
ตะเกียงใครที่มีน้ำมันหรือใครที่
“มีน้ำยา”
ตะเกียงของคนนั้นก็จะลุกติดไฟได้ง่ายกว่าคนอื่น
ตะเกียงใครไม่มีน้ำมันหรือไม่มีน้ำยาจะจุดไม่ติด
เราจักต้องเสียเวลาเติมน้ำยากันก่อนแล้ว
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
27/02/2567