23 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 23/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

นอกจากหินก้อนหนึ่ง

ซึ่งคุณเดินไปสดุดมันเข้าจนนิ้วเท้าเจ็บเลือดซิบ

มิใช่ตัวตนที่แท้จริงของหินก้อนนั้นแต่อย่างใด

ก้อนที่คุณสดุดมันนั้นเป็นแค่ตัวแทนของแก่นแท้

ที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของแก่นแท้ที่เป็นพลังงาน

ซึ่งเร้นตนเองอยู่ข้างในที่ตาคุณมองไม่เห็นแล้ว

เพื่อนร่วมโลกของคุณจำพวกหมูหมากาไก่

รวมทั้งเพื่อนมนุษย์หญิงชายทั้งหลายก็มิได้ต่างกัน

 

พวกคุณจะต้องไม่ใช้จิตหยาบไปสมสู่กับเงามายา

ที่เป็นอัตตารูปลักษณ์ของพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน

คำว่า “สมสู่” ในที่นี้เราหมายถึงการได้เสียบางสิ่ง

ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างจิตหยาบกับเงามายาของแก่นแท้

ที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นมันอยู่นั้นแล้วเกิดผลเป็นตัวอ่อน

คือได้ความรู้สึกเพราะพออกพอใจในมายาของเขา

กับเสียความรู้สึกเพราะไม่พึงพอใจในมายาของเขา

จนทำให้เกิดลูกเกิดผลเป็น “ตัวอ่อน” เรียกว่ากิเลส

จาก “กิเลส” ที่เป็นตัวอ่อนก็จะพัฒนาเป็น “ตัวแก่”

โดยตัวแก่ก็คือ #ตัณหา ที่เป็นอยากไม่อยากนั่นเอง

 

ที่ผ่านมาในอดีตกี่ภพชาติแล้วล่ะ

พวกคุณไม่สามารถหมุนธรรมจักรร่วมกันได้

โดยรักคนที่ทำตนไม่น่ารักก็ไม่ได้

ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยก็ไม่เป็น

มีแต่การเห็นแก่ตัวกับพวกของตัวเองเท่านั้น

นี่มิใช่เพราะไปหลงใหลในเงามายา

ที่เป็นคุณสมบัติของแก่นแท้คือจิตของเขาดอกหรือ

 

อาการแสดงออกของคนรอบข้างที่คุณเห็นอยู่นั้น

ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัยที่ดีแบบที่คุณชอบใจ

หรือเป็นสันดานที่ไม่ดีแบบที่คุณไม่ชอบใจก็ตาม

มันล้วนแล้วแต่เป็น “เงามายา” ที่เกิดจากแก่นแท้

คือจิตหยาบซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ

ที่เร้นอยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ทั้งสิ้น

ไม่ต่างจากสีกลิ่นรสที่เป็นคุณสมบัติของสรรพสิ่ง

ที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นแล้วคุณมีหน้าที่เรียนรู้มันว่า

นี่เป็นส้มโอนี่ส้มเขียวหวานนั่นแตงโมโน่นเป็นมะระ

จิตคุณไม่มีหน้าที่สมสู่กับมายาของผักผลไม้เหล่านี้

ให้เกิดความรู้สึกเป็นว่าชอบหรือเป็นไม่ชอบ

เพราะคุณไม่มีหน้าที่เปลี่ยนมะระจากขมให้เป็นหวาน

หรือแม้จะมีหน้าที่แต่คุณก็เปลี่ยนคุณสมบัติมันไม่ได้

เพราะธรรมชาติของมะระต้องขมถ้าไม่ขมก็มิใช่มะระ

 

สันดานไม่ดีหรือนิสัยดีๆของคนอื่นก็ตาม

คุณจะบังอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคุณสมบัติเขาได้หรือ

ถ้าคุณคบใครที่สันดานไม่ดีแล้วคุณโกรธเกลียดเขา

รู้หรือไม่ว่าจิตหยาบคุณได้สมสู่กับมายาของเขาแล้ว

ความโกรธเกลียดที่ในจิตคือลูกหลานของกิเลสทั้งสิ้น

ลูกหลานกิเลสพวกนี้สันดานซุกซนจะไม่อยู่ในโอวาท

มันคือตัวการที่ทำให้จิตหยาบไม่สงบคือเกิดทุกข์เสมอ

 

ความโกรธเกลียดหรือรังเกียจที่เกิดขึ้น

มันเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณกำลังต้องการ #ดัดสันดาน

เพื่อจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคุณสมบัติของแก่นแท้ให้

ซึ่งคุณก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวจะก้าวก่ายกันไม่ได้

สันดานใครสันดานมันคนนั้นจะต้องรับผิดชอบเอง

บางคนที่สันดานไม่ดีบางทีเขาก็อาจจะพอรู้ตัวอยู่

แต่ทว่าตัวเขาก็ยังไม่สามารถจะแก้ไขสันดานนั้นได้

เนื่องจากจิตวิญญาณแบกขนกลับมาจากอดีตชาติ

เพื่อจะนำมาชำระแก้ไขกันต่อในภพชาติปัจจุบันก็มี

 

เนื่องจากพวกคุณหลงใหลในเงามายา

จึงสอบตกในเรื่องนี้กันมาตลอดหลายภพชาติแล้ว

พอเวียนตายเวียนเกิดผ่านมาหลายภพชาติเข้า

กิเลสก็จะยิ่งหนาปัญญาก็จะนิ่มอ่อนมากยิ่งขึ้น

ทำให้จิตวิญญาณพวกคุณล้มเหลวในการเป็นมนุษย์

ในแบบที่กล่าวสั้นๆว่า “เสียชาติเกิด” กันตลอดมา

แม้จะหมั่นถือศีลกินเจปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐานแค่ไหน

แต่ไม่อาจเยียวยาความโง่ง่ายงมงายของตนได้

 

ความล้มเหลวของการเป็นคนสองมิติก็คือ

การที่พวกคุณใช้กิเลสตัณหาพากันหมุนกรรมจักร

เพราะเข้าถึงความรักเพื่อให้หรือมีจิตเมตตาต่อกัน

เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันตามพันธสัญญาไม่ได้

จึงใช้ความรักทำให้โลกหมุนเพื่อสร้างสมดุลไม่ได้

ช่วยยกระดับจิตหยาบแบบหมู่คณะร่วมกันก็ไม่ได้

จิตหยาบอยู่ในมิติที่ 4D มาตั้งแต่แรกเกิดจนบัดนี้

มันก็ยังอยู่ที่มิติเดิมไม่ได้เพิ่มเป็น 5-6D อีกเลย

 

ปัญหาสำคัญของชาวโลกก็คือ

1.มองข้ามผ่านเงามายาของสรรพสิ่งไม่ได้

2.นำเอาเงามายาที่สัมผัสได้มาสร้างอัตตาในจิตตน

เพื่อยึดมั่นถือมั่นมันเอาไว้อย่างแนบแน่น

ทั้งๆที่เงามายานั้นมันมิใช่อัตตาตัวตนที่แท้จริง

 

3.เมื่อไปหลงยึดติดมันไว้แน่น

พวกคุณจึงยากต่อการที่จะปล่อยวางมันลง

เมื่อยึดมั่นจนไม่ยอมปล่อยวางจิตคุณจึงไม่ว่าง

เมื่อจิตไม่ว่างพลังจิตจึงตกต่ำความรักจึงถดถอย

จนกลายเป็นคนปัญญาน้อยไปในที่สุด

ยิ่งใครเป็นผู้ใช้กิเลสนำหน้าไม่เคยฝึกใช้ปัญญาเลย

ใครคนนั้น...ก็จะยิ่งมีอาการน่าเป็นห่วง!

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

23/02/2567