#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า
#สำนึก กับคำว่า
#สามนึก นั้นไม่เหมือนกัน
โดยคำว่า
“สามนึก” หมายถึง คุณสมบัติของจิตหยาบ
ซึ่งมีหน้าที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมในการเป็น
“คนสองมิติ”
ทำให้เกิดพฤติกรรมภายในเรียกว่า
#มโนกรรม ขึ้นก่อน
แล้วค่อยขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
ที่เรียกว่า
“วจีกรรม” และ “กายกรรม” ต่อไปในที่สุด
จิตสามนึกของคุณจะประกอบด้วย
“จิต 3
ตัว”
ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ
#การนึก อันประกอบด้วย
“นึกออก นึกเอาและนึกเอง” เท่านั้นไม่มีมากไปกว่านี้
โดยหน้าที่ของจิตทั้งสามตัวนึกดังกล่าวนี้ก็คือ
เป็นผู้กำหนดนึกเพื่อสั่งการให้สมองซีกซ้าย
“คิด”
ด้วยปัญญาในลีลาของการ
#วิเคราะห์ ให้ได้รู้ว่า
สิ่งนั้นเรื่องนั้นมันคืออะไรเป็นอะไรอย่างไรกันต่อไป
ก่อนจะทำการตอบสนองเงื่อนไขหรือสิ่งเร้านั้นนั่นเอง
หากจะกล่าวให้กระชับแล้วก็อาจกล่าวได้ว่า
จิตทั้ง
3 ตัวนึกที่ว่านี้ก็คือ #จิตสามนึก หรือ
“จิตสำนึก”
ซึ่งทำหน้าที่เป็น
“บ่อเกิด” พฤติกรรมของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะก็คือมโนกรรม
ที่ขับเคลื่อนออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรมภายนอก
การเกิดพฤติกรรมใดๆของมนุษย์มันเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น
เราจึงกล่าวเสมอว่า
#มนุษย์มีจิตสามนึก เป็นของตนเอง
พวกคุณทุกคนจึงต้องใช้จิตสามนึกขับเคลื่อนพฤติกรรม
โดยต้องฉลาดใช้จิตทั้งสามนึกที่คุณมีอยู่ให้ได้
ต้องใช้มันให้เป็นและต้องใช้มันอย่างถูกต้องอีกด้วย
คุณจึงจะเป็นสัตว์ชั้นสูงที่เรียกว่า
“มนุษย์” ได้เต็มคำ
เพราะสัตว์โลกต่างๆไม่มี
#จิตหยาบ ใช้แทนจิตวิญญาณ
สัตว์จึงไม่มี
#จิตสามนึก เหมือนกับที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่
สมองของสัตว์ไม่มีหน้าที่ซับซ้อนเหมือนสมองมนุษย์
สัตว์จึงไม่สามารถคิดวางแผนหรือคิดวิเคราะห์อะไรได้
สมองสัตว์ทั่วไปมีความฉลาดทางปัญญาในระดับพื้น
ๆ
เมื่อเทียบเคียงกับความฉลาดทางปัญญาของมนุษย์
น่าเสียดายที่มนุษย์โลกมีสติปัญญาของสมองให้ใช้
แต่กลับใช้กิเลสตัณหาอารมณ์ขยะแสดงออกหรือกระทำ
เพื่อการตอบสนองบุคคลอื่นในแบบสัตว์ประจำโลกเสมอ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมศักดิ์ศรีแห่งสัตว์ชั้นสูงเลย
เพราะพวกคุณขาดสติทางวิญญาณว่าคุณคือจิตหยาบ
ซึ่งกำลังทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณคือตัวคุณเองที่แท้จริง
ตัวคุณมีหน้าที่
“คนตนเองให้เป็นมนุษย์” ด้วยความรัก
และต้องชวนคนรอบข้างอีกสองสามคนมาร่วมคนด้วย
แปลว่าคุณจะรักใครได้ต้องใช้สติปัญญาหาเหตุผลเป็น
คุณจึงสามารถที่จะรักคนที่ทำตนไม่น่ารักคนนั้นได้
คุณจึงจะให้อภัยแก่คนที่ทำตนไม่น่าให้อภัยได้เช่นกัน
หรือถ้าคุณเกิดอาการจิตไม่สงบจนว้าวุ่นค้างคาอยู่
หากคุณไม่ใช้สติปัญญากลั่นกรองก่อนตอบสนองออกมา
คุณก็จะไม่สามารถเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้คนรอบข้างได้
การหมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกันก็ล้มเหลว
เนื่องจากเข้าถึงความรักและสติปัญญาของตนกันไม่ได้
พวกคุณก็จะล้มเหลวในการเป็นมนุษย์อยู่อีกตลอดไป
หากไม่
“สำนึก” ในสัจธรรมความจริงที่เรากล่าวมานี้
ดังนั้น
คำว่า
“สำนึก” จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลัง “จิตสามนึก”
โดยการมีสำนึกนั้นแท้แล้วจักต้องหมายถึง
1.การมี #สำนึกดี #สำนึกชั่ว
4.การมี #สำนึกควร #สำนึกไม่ควร
เมื่อใดที่จิตของคุณมันสั่นสะเทือนเป็นการนึก
ไม่ว่าจะเป็น
“นึกออก นึกเอาหรือนึกเอง” แบบไหน
คุณจะต้องมี
“สำนึก” หรือเกิดสติทางวิญญาณเสมอว่า
สิ่งที่คุณกำลังนึกอยู่ในขณะนั้นมันส่งผลต่อจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของคุณเองที่อาสามาเกิดด้วย
ถ้าคุณนึกผิดนึกบาปนึกชั่วจนก่อกรรมทำชั่วต่อเขาไป
มันคือการ
#หมุนกรรมจักร ที่พาจิตวิญญาณให้ตกนรก
เพราะตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรมร่วมกันได้เมื่อนั้น
ถ้าคุณนึกถูกนึกดีนึกสิ่งที่เป็นกุศลจนก่อกรรมดีต่อเขา
มันคือการ
#หมุนธรรมจักร ที่จะพากันอยู่เหนือกรรมได้
จิตวิญญาณพวกคุณก็จะไม่ตกเป็นทาส
#กฎแห่งกรรม
พวกคุณจะไม่ต้องตายไม่ต้องมีภพชาติไม่มีสังสารวัฏ
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
#การมีสติ คือ
การตื่นตัวจนรู้ตัวอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น
#การมีมหาสติ คือ
การตื่นตัวจนรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ในปัจจุบันขณะ
โดยรู้ตัวว่าในอดีตที่พ้นผ่านนั้นตนเพิ่งทำอะไรกับเขามา
รู้ดีว่าอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึงมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ถ้าในปัจจุบันตนจะพูดหรือทำอะไรแบบนั้นต่อเขาไป
ดังนั้น
การนั่งหลับตาปิดอายตนะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง
ด้วยการเอาจิตหยาบไปวางไว้ที่จุดใดเพียงจุดเดียว
เช่น
กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกตรงปลายจมูก
มันคือการฝึกให้จิตนิ่งสงบอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น
แต่มิได้ฝึกให้จิตคุณสำนึกรู้ในบุญบาปผิดถูกดีชั่วเลย
เพียงแค่คอยกำกับจิตให้มันอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เหมือนหลอกเด็กให้หันไปสนใจของเล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากสิ่งอื่นๆชั่วคราวเท่านั้น
ซึ่งเจ้าเด็กน้อยนั้นถ้า
“ถูกจริต” กับการเล่นกำหนดจิตนี้
เขาก็จะเพลิดเพลินกับของเล่นชิ้นนี้ได้ชั่วขณะ
จนเกิดความรู้สึกว่า
“เบื่อแล้ว” เมื่อไหร่ก็ตาม
เขาก็จะหันไปใช้จิตสามนึกตามแบบเดิมของตนไปทันที
มีนิสัยสันดานทางจิตเคยเป็นแบบไหน
จิตของเขาคนนั้นก็จะว้าวุ่นไปตามแบบเดิมอยู่ต่อไป
เพราะสำนึกในบาปบุญคุณโทษด้วยสัมปชัญญะปัญญา
ยังขาดทักษะอยู่เพราะความรู้น้อยและขาดความชำนาญ
เนื่องจากไม่เคยผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีที่ถูกต้องมาก่อน
โดยเฉพาะไม่ฝึกฝนกับคนหมู่มากหรือคนในครอบครัว
ที่พวกเขาทั้งหลายจะให้ประสบการณ์จริงแก่ตนเองได้
แทนที่จะนั่งหลับตาปิดอายตนะปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียว
ถ้าคุณต้องการเขียนอักษรให้คล่องและเขียนสวยๆ
คุณก็ต้องฝึกจับดินสอหรือปากกาหรือพู่กันนั้นเสียก่อน
จากนั้นคุณก็ต้องฝึกเขียนฝึกลากเส้นให้เป็นตัวอักษร
โดยเขียนตามแบบให้ถูกต้องตรงจริงให้ได้กันต่อไป
ที่สำคัญก็คือคุณจะต้องขยันฝึกหัดเขียนอักษรนั้นบ่อยๆ
คุณก็จะเขียนคล่องว่องไวและเขียนสวยขึ้นมาได้
จิตมนุษย์ของคุณก็ไม่ต่างกันหรอก
มันจะชำนาญในการตั้งรับเงื่อนไขดีๆชั่วๆ
ที่ตัวคนรอบข้างหยิบยื่นมาให้ได้อย่างไรกัน
ถ้าคุณฝึกจิตตนเองด้วยการเข้าป่าเข้าถ้ำปลีกวิเวก
เหมือนอยากจะไปสวรรค์คนเดียวตามแบบที่ชอบๆ
แทนที่จะฝึกตนเองให้ฉลาดทางปัญญาและอารมณ์
ให้เกิดขึ้นในชีวิตจริงในสังคมให้จงได้
ซึ่งมีทั้งบทเรียนและบททดสอบจริงอยู่มากมาย
เพียงแค่คุณต้องเป็นครูคนแรกและเป็นครูคนสุดท้าย
เป็นตัวของตัวเองให้ได้เท่านั้น
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
7/02/2567