07 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 7/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คำว่า #สำนึก กับคำว่า #สามนึก นั้นไม่เหมือนกัน

โดยคำว่า “สามนึก” หมายถึง คุณสมบัติของจิตหยาบ

ซึ่งมีหน้าที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมในการเป็น “คนสองมิติ”

ทำให้เกิดพฤติกรรมภายในเรียกว่า #มโนกรรม ขึ้นก่อน

แล้วค่อยขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก

ที่เรียกว่า “วจีกรรม” และ “กายกรรม” ต่อไปในที่สุด

 

จิตสามนึกของคุณจะประกอบด้วย “จิต 3 ตัว”

ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ #การนึก อันประกอบด้วย

นึกออก นึกเอาและนึกเอง” เท่านั้นไม่มีมากไปกว่านี้

โดยหน้าที่ของจิตทั้งสามตัวนึกดังกล่าวนี้ก็คือ

เป็นผู้กำหนดนึกเพื่อสั่งการให้สมองซีกซ้าย “คิด”

ด้วยปัญญาในลีลาของการ #วิเคราะห์ ให้ได้รู้ว่า

สิ่งนั้นเรื่องนั้นมันคืออะไรเป็นอะไรอย่างไรกันต่อไป

ก่อนจะทำการตอบสนองเงื่อนไขหรือสิ่งเร้านั้นนั่นเอง

 

หากจะกล่าวให้กระชับแล้วก็อาจกล่าวได้ว่า

จิตทั้ง 3 ตัวนึกที่ว่านี้ก็คือ #จิตสามนึก หรือ “จิตสำนึก”

ซึ่งทำหน้าที่เป็น “บ่อเกิด” พฤติกรรมของมนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะก็คือมโนกรรม

ที่ขับเคลื่อนออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรมภายนอก

การเกิดพฤติกรรมใดๆของมนุษย์มันเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น

 

เราจึงกล่าวเสมอว่า #มนุษย์มีจิตสามนึก เป็นของตนเอง

พวกคุณทุกคนจึงต้องใช้จิตสามนึกขับเคลื่อนพฤติกรรม

โดยต้องฉลาดใช้จิตทั้งสามนึกที่คุณมีอยู่ให้ได้

ต้องใช้มันให้เป็นและต้องใช้มันอย่างถูกต้องอีกด้วย

คุณจึงจะเป็นสัตว์ชั้นสูงที่เรียกว่า “มนุษย์” ได้เต็มคำ

เพราะสัตว์โลกต่างๆไม่มี #จิตหยาบ ใช้แทนจิตวิญญาณ

สัตว์จึงไม่มี #จิตสามนึก เหมือนกับที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่

สมองของสัตว์ไม่มีหน้าที่ซับซ้อนเหมือนสมองมนุษย์

 

สัตว์จึงไม่สามารถคิดวางแผนหรือคิดวิเคราะห์อะไรได้

สมองสัตว์ทั่วไปมีความฉลาดทางปัญญาในระดับพื้น ๆ

เมื่อเทียบเคียงกับความฉลาดทางปัญญาของมนุษย์

น่าเสียดายที่มนุษย์โลกมีสติปัญญาของสมองให้ใช้

แต่กลับใช้กิเลสตัณหาอารมณ์ขยะแสดงออกหรือกระทำ

เพื่อการตอบสนองบุคคลอื่นในแบบสัตว์ประจำโลกเสมอ

ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมศักดิ์ศรีแห่งสัตว์ชั้นสูงเลย

เพราะพวกคุณขาดสติทางวิญญาณว่าคุณคือจิตหยาบ

ซึ่งกำลังทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณคือตัวคุณเองที่แท้จริง

ตัวคุณมีหน้าที่ “คนตนเองให้เป็นมนุษย์” ด้วยความรัก

และต้องชวนคนรอบข้างอีกสองสามคนมาร่วมคนด้วย

 

แปลว่าคุณจะรักใครได้ต้องใช้สติปัญญาหาเหตุผลเป็น

คุณจึงสามารถที่จะรักคนที่ทำตนไม่น่ารักคนนั้นได้

คุณจึงจะให้อภัยแก่คนที่ทำตนไม่น่าให้อภัยได้เช่นกัน

หรือถ้าคุณเกิดอาการจิตไม่สงบจนว้าวุ่นค้างคาอยู่

หากคุณไม่ใช้สติปัญญากลั่นกรองก่อนตอบสนองออกมา

คุณก็จะไม่สามารถเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้คนรอบข้างได้

การหมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกันก็ล้มเหลว

เนื่องจากเข้าถึงความรักและสติปัญญาของตนกันไม่ได้

พวกคุณก็จะล้มเหลวในการเป็นมนุษย์อยู่อีกตลอดไป

หากไม่ “สำนึก” ในสัจธรรมความจริงที่เรากล่าวมานี้

 

ดังนั้น

คำว่า “สำนึก” จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลัง “จิตสามนึก”

โดยการมีสำนึกนั้นแท้แล้วจักต้องหมายถึง

 

1.การมี #สำนึกดี #สำนึกชั่ว

2.การมี #สำนึกผิด #สำนึกถูก

3.การมี #สำนึกคุณ #สำนึกโทษ

4.การมี #สำนึกควร #สำนึกไม่ควร

5.การมี #สำนึกบุญ #สำนึกบาป

 

เมื่อใดที่จิตของคุณมันสั่นสะเทือนเป็นการนึก

ไม่ว่าจะเป็น “นึกออก นึกเอาหรือนึกเอง” แบบไหน

คุณจะต้องมี “สำนึก” หรือเกิดสติทางวิญญาณเสมอว่า

สิ่งที่คุณกำลังนึกอยู่ในขณะนั้นมันส่งผลต่อจิตวิญญาณ

ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของคุณเองที่อาสามาเกิดด้วย

ถ้าคุณนึกผิดนึกบาปนึกชั่วจนก่อกรรมทำชั่วต่อเขาไป

มันคือการ #หมุนกรรมจักร ที่พาจิตวิญญาณให้ตกนรก

เพราะตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรมร่วมกันได้เมื่อนั้น

ถ้าคุณนึกถูกนึกดีนึกสิ่งที่เป็นกุศลจนก่อกรรมดีต่อเขา

มันคือการ #หมุนธรรมจักร ที่จะพากันอยู่เหนือกรรมได้

จิตวิญญาณพวกคุณก็จะไม่ตกเป็นทาส #กฎแห่งกรรม

พวกคุณจะไม่ต้องตายไม่ต้องมีภพชาติไม่มีสังสารวัฏ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

#การมีสติ คือ

การตื่นตัวจนรู้ตัวอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น

#การมีมหาสติ คือ

การตื่นตัวจนรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ในปัจจุบันขณะ

โดยรู้ตัวว่าในอดีตที่พ้นผ่านนั้นตนเพิ่งทำอะไรกับเขามา

รู้ดีว่าอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึงมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถ้าในปัจจุบันตนจะพูดหรือทำอะไรแบบนั้นต่อเขาไป

 

ดังนั้น

การนั่งหลับตาปิดอายตนะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง

ด้วยการเอาจิตหยาบไปวางไว้ที่จุดใดเพียงจุดเดียว

เช่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกตรงปลายจมูก

มันคือการฝึกให้จิตนิ่งสงบอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้น

แต่มิได้ฝึกให้จิตคุณสำนึกรู้ในบุญบาปผิดถูกดีชั่วเลย

เพียงแค่คอยกำกับจิตให้มันอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

เหมือนหลอกเด็กให้หันไปสนใจของเล่นชิ้นใดชิ้นหนึ่ง

เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากสิ่งอื่นๆชั่วคราวเท่านั้น

ซึ่งเจ้าเด็กน้อยนั้นถ้า “ถูกจริต” กับการเล่นกำหนดจิตนี้

เขาก็จะเพลิดเพลินกับของเล่นชิ้นนี้ได้ชั่วขณะ

จนเกิดความรู้สึกว่า “เบื่อแล้ว” เมื่อไหร่ก็ตาม

เขาก็จะหันไปใช้จิตสามนึกตามแบบเดิมของตนไปทันที

 

มีนิสัยสันดานทางจิตเคยเป็นแบบไหน

จิตของเขาคนนั้นก็จะว้าวุ่นไปตามแบบเดิมอยู่ต่อไป

เพราะสำนึกในบาปบุญคุณโทษด้วยสัมปชัญญะปัญญา

ยังขาดทักษะอยู่เพราะความรู้น้อยและขาดความชำนาญ

เนื่องจากไม่เคยผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีที่ถูกต้องมาก่อน

โดยเฉพาะไม่ฝึกฝนกับคนหมู่มากหรือคนในครอบครัว

ที่พวกเขาทั้งหลายจะให้ประสบการณ์จริงแก่ตนเองได้

แทนที่จะนั่งหลับตาปิดอายตนะปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียว

 

ถ้าคุณต้องการเขียนอักษรให้คล่องและเขียนสวยๆ

คุณก็ต้องฝึกจับดินสอหรือปากกาหรือพู่กันนั้นเสียก่อน

จากนั้นคุณก็ต้องฝึกเขียนฝึกลากเส้นให้เป็นตัวอักษร

โดยเขียนตามแบบให้ถูกต้องตรงจริงให้ได้กันต่อไป

ที่สำคัญก็คือคุณจะต้องขยันฝึกหัดเขียนอักษรนั้นบ่อยๆ

คุณก็จะเขียนคล่องว่องไวและเขียนสวยขึ้นมาได้

 

จิตมนุษย์ของคุณก็ไม่ต่างกันหรอก

มันจะชำนาญในการตั้งรับเงื่อนไขดีๆชั่วๆ

ที่ตัวคนรอบข้างหยิบยื่นมาให้ได้อย่างไรกัน

ถ้าคุณฝึกจิตตนเองด้วยการเข้าป่าเข้าถ้ำปลีกวิเวก

เหมือนอยากจะไปสวรรค์คนเดียวตามแบบที่ชอบๆ

แทนที่จะฝึกตนเองให้ฉลาดทางปัญญาและอารมณ์

ให้เกิดขึ้นในชีวิตจริงในสังคมให้จงได้

ซึ่งมีทั้งบทเรียนและบททดสอบจริงอยู่มากมาย

เพียงแค่คุณต้องเป็นครูคนแรกและเป็นครูคนสุดท้าย

เป็นตัวของตัวเองให้ได้เท่านั้น

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

ปัญญาวิสุทธิ์

7/02/2567