08 มกราคม 2559

กระบวนการของขันธ์ 5 เมื่อถูกท่านแทรกแซง


เราได้สื่อพระโอวาทจากพระบิดาต่อท่าน
เกี่ยวกับเรื่องกระบวนการของขันธ์ 5
ทั้งเบื้องลับ เบื้องลึก และเบื้องหลัง
จนครบถ้วนกระบวนความมาแล้ว

แต่ความจริงที่เราจะกล่าวต่อไปนี้
เป็นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต
ที่จะสำแดงให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ว่า
การ "แทรกแซง" กระบวนการของขันธ์ 5
มันเกิดขึ้นตอนไหนและอย่างไร

1.ท่านคงยังจดจำกันได้ว่า
เมื่อกลไกที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น หรือกายสัมผัส 
มีการสั่นสะเทือนเพราะเกิดการสัมผัสสิ่งใดเข้า
จิตจะรับรู้คลื่นความถี่จากการสัมผัสนั้นทันที

2.เมื่อจิตได้รับคลื่นการสัมผัสมาจากอายตนะแล้ว
จิตหยาบของท่านก็จะไปสั่นสะเทือนหน่วยความจำ
เพื่อหาคำตอบมาว่า
ที่อายตนะกำลังสัมผัสอยู่นั้นมันคืออะไร
ถ้าค้นหาใน "สัญญา" แล้วไม่พบ
เพราะไม่มีข้อมูลใดๆอยู่ในนั้น
จิตก็จะเก็บความรู้นั้นไว้ในสัญญาแทน

3.ในขั้นตอนที่สามต่อไปนี้เอง
ที่ท่านจะต้องเข้า "แทรกแซง" มันให้ได้
เพื่อนำพาจิตหยาบของท่าน
เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้

หลักการสำคัญก็คือ
เมื่อจิตได้รู้แล้วว่าปัจจุบันขณะนั้น
ตนกำลังสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดอยู่
ท่านจะต้องควบคุมจิตหยาบไว้
มิให้มันสั่นสะเทือนเป็น "ความรู้สึก"
ต่อสิ่งใดๆที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ให้จงได้

ความรู้สึกเป็นอาการของจิตที่เกิดขึ้น
จากการปรุงแต่งสรรพสิ่งนั้นๆที่ตนสัมผัสอยู่
จนเกิดเป็นสวย ไม่สวย น่าเกลียด น่ากลัว
น่ารัก น่าดม น่าชม น่าชิม ฯลฯ

4.สาเหตุที่ท่านต้องแทรกแซงตรงขั้นตอนนี้
ก็เพราะว่า........

4.1 มันเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องแทรกแซง

4.2 มันเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้ท่าน
เปลี่ยนกระบวนการของขันธ์ 5 ในระบบอัตโนมัติ
ไปสร้างกระบวนการใหม่ในระบบกดปุ่มแทนได้

4.3 ถ้าขืนปล่อยให้จิตของท่านมันสั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาเมื่อไหร่
แสดงว่าจิตของท่านมันทำหน้าที่ผิดพลาดแล้ว

เพราะหน้าที่ของจิตท่านนั้น
เมื่อรับรู้เรื่องราวหรือสรรพสิ่งใดๆก็ตาม
ต้อง "เรียนรู้" ให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
มิใช่รับรู้แล้ว "รับเอา" 
จนเกิดเป็นความรู้สึกต่างๆขึ้นมาแทน
เนื่องจากท่านมิใช่เด็กไร้เดียงสาแล้ว

4.4 ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้
หมายถึง จิตเกิด "เวทนา" นั่นเอง

5.ถ้าท่านสามารถควบคุมจิตของท่าน
มิให้มันสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกได้
ในทุกช่องทางแห่งการรับรู้

นั่นเท่ากับว่าขั้นตอนแรกของการแทรกแซงนั้น
ท่านได้ประสบกับความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
เพราะท่านสามารถ "ดับเวทนา" ได้นั่นเอง
ซึ่งท่านจะประสบความสำเร็จไม่ได้หรอก
ถ้าท่านไม่ฝึกการครองมหาสติ
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลให้แข็งแรงไว้เสมอ

6.ท่านรู้หรือไม่ว่า....การแทรกแซงที่ว่านี้
มันสำเร็จผลได้จากการ "รับรู้ ไม่รับเอา"
หรือเพียงฉลาดรับรู้นั่นแหละ
ซึ่งเป็นภารกิจที่ง่ายเกินการคาดคิด

ท่านสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน
โดยมิต้องเปลืองเวลานั่งหลับตา
คอยตามดูจิตตนเองอยู่คนเดียว
ให้มันผิดธรรมชาติของคนตาดีหูดี
ให้สิ้นเปลืองเวลาเลยแม้นาทีเดียว

7.ท่านต้องรู้ว่าความมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อท่านสามารถเข้าแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ได้
เพราะเวทนาดับสูญแล้วแม้จิตยังรับรู้ได้อยู่
มันจึงเสมือนหนึ่งว่าตัวท่านนั้น

มีตา ก็เหมือนไม่มี 
เพราะเห็นแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีหู ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้ยินได้ฟังแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีจมูก ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้รับรู้กลิ่นนั้นแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีลิ้น ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้รับรู้รสชาติแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีผิวกาย ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้สัมผัสกายแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีจิต ก็เหมือนไม่มี
เพราะแม้จะนึกคิดมโนอะไรเองได้
แต่ก็ไม่เกิดความรู้สึก

อาการของจิตในสภาวะนี้ไงล่ะ
ที่กล่าวได้ว่า "จิตเป็นสุญญตา" แล้ว
แปลว่ามี "ตา" หรือ อายตนะทั้งหก
แต่เหมือนไม่มีโดยแท้!!!!

8.เมื่อจิตไม่เกิดเวทนา
ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนาแล้ว
จิตหยาบก็จะเป็นอิสระจากอาสวกิเลสทั้งปวง

คล้ายดั่งฆราวาสเช่นท่าน
เป็นผู้ "ถือบวช" 
ด้วยการเข้าถึงปรมัตถธรรมแท้จริง
เนื่องจากจิตเป็นสุญญตา
อันหมายถึง "จิตว่างไปจากอายตนะ"
อย่างสิ้นเชิงแล้วนั่นแหละ
ดั่งท่านได้ "บวช" ที่จิตหยาบของท่านแล้ว

9.เมื่อจิตดับเวทนาได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
จิตของท่านก็จะสว่างใส
กำแพงที่เคยปิดกั้นจิตหยาบเอาไว้
มิให้ติดต่อกับจิตวิญญาณของท่านเองได้
คือ กิเลส ตัณหา และอารมณ์หยาบๆรายวัน
มันก็จะพลัน "สูญหาย" มลายไปด้วย

เพราะตัวการคือกิเลสที่เป็นความรู้สึกนั้น
ไม่สามารถที่จะนำไปสู่ความอยากไม่อยาก
ที่เรียกว่า "ตัณหา" และอารมณ์หยาบๆได้อีก

นี่จึงเป็นความแยบยลของกลไกกระบวนการ
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ลูกๆเช่นท่าน
สามารถเข้าถึงมันได้ง่ายกว่าที่คิด
เพราะไปคิดให้มันยาก
ไปปฏิบัติให้มันลำบากแบบฝืนธรรมชาติ
เพราะการขาดความรู้ความเข้าใจ

10.ท่านทราบหรือไม่ว่า
เมื่อจิตหยาบของท่านใส
ใจของท่านคือจิตวิญญาณก็จะสวย
ด้วยฉัพพรรณรังสีขึ้นมาโดยพลัน
เพราะพระบิดาทรงติดตั้งกระบวนการไว้เช่นนั้น

เมื่อจิตหยาบของท่านไร้อุปสรรค
เพราะว่างไปจากกิเลสตัณหาอารมณ์ได้
ก็จะสามารถเข้าถึงการสั่นสะเทือน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้โดยง่าย

จิตหยาบก็จะสามารถแสดงคุณสมบัติ
ที่เป็นปรมัตถธรรมแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ได้อย่างสมบูรณ์และองอาจยิ่งนัก

นั่นคือท่านจะสามารถใช้ความรักเพื่อให้
กับการใช้ปัญญาญาณอันประเสริฐ
ด้วยพลังอำนาจของแก่นแท้ของท่าน
ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
เพื่อการไม่ก่อกรรมใหม่
เพื่อการแก้ไขกรรมเก่า
ตามบริบทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ด้วยบทบาทของผู้ครองเรือน
สู่การบรรลุมรรคผลสูงสุด
คือการ "หลุดพ้น"

โดยจิตวิญญาณของท่าน
ไม่เสี่ยงกับการ "หลุดลอย" 
เพราะหลงทางไปนิพพาน

โดยจิตวิญญาณของท่าน
ไม่เสี่ยงกับการ "หลุดหล่น" 
เพราะคนตนเองให้เป็นมนุษย์
ที่เรียกว่า "หมุนธรรมจักร" ไม่สำเร็จ

โดยจิตวิญญาณของท่าน
ไม่เสี่ยงกับการ "หลุดลง" นะระกะ
เพราะทำตัวเสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยความรักและปรารถนาดี

จงค่อยๆขบคิดพิจารณาทุกถ้อยอักษร
อย่าด่วนใจร้อนวู่วามไม่ว่าจะรับหรือปฏิเสธ
อย่ายึดติดของเก่าจนปิดกั้นการเรียนรู้ไว้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-1-2016