27 มกราคม 2559

กฎแห่ง "แร้ง-กา"


กฎแห่ง "แร้ง-กา"
*****************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.อันว่า ตา หู จมูก ปาก และผิวกาย
ซึ่งเป็นกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น
พระบิดาทรงกำหนดสร้างเอาไว้ให้
ท่านทั้งหลายได้ใช้สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่ง
แล้วส่งคลื่นข้อมูลการรับรู้เข้าสู่จิต
เมื่อจิตเกิดการรับรู้และเรียนรู้แล้ว
ก็ให้ส่งข้อมูลรู้นั้นเข้าสู่ "ใจ" คือจิตวิญญาณ
เพื่อการคิดตัดสินใจที่จะ "รัก" เพื่อ "ให้"
ต่อสรรพสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นนั้นเสมอ

2.เพราะนี่จะเป็นการแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ตามวิถีแห่งธรรม
ซึ่ง "วิถีแห่งธรรม" ก็คือ
ความเป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง

3.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดตา
ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใด
โดยมีตาก็เปรียบเหมือนไม่มี
เพราะมัวหลับตาอยู่
จึงประหนึ่งว่าทำให้ตาดีๆนั้นบอดเสีย

4.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดหู
ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใด
ไม่รับฟังเสียงใคร
โดยมีหูก็เปรียบเหมือนไม่มี
เพราะมัวปิดหูอยู่
จึงประหนึ่งว่ามีหูเหมือนหูหม้อ

5.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดปาก
ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใด
ไม่พูดจาคบหาใคร
มีปากเอาไว้แค่กินอย่างเดียว
เพราะมัวปิดปากอยู่
จึงมีปากก็ประหนึ่งว่าไม่มีแล้ว

6.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดจมูก
ไม่รับรู้ในกลิ่นใดๆ
มีจมูกเอาไว้แค่เพียง
กำหนดลมหายใจเข้าออกแล้ว
จึงประหนึ่งมีจมูกแต่เหมือนไม่มีแล้ว

7.เราจะถามท่านทั้งหลายว่า
การยึดติดอยู่กับพฤติกรรมเยี่ยงนี้นั้น
มันเป็นการประพฤติตนผิดธรรมชาติ
ของการเป็น "สัตว์สังคม" ไปหรือเปล่า

8.ท่านทราบกันดีว่า
ทั้งนกแร้งและนกกา
เขามี "ปาก" เอาไว้ส่งเสียงดังๆ
เป็นคลื่นความถี่สูงที่เรียกว่า "ปากดี"
เพื่อใช้เรียกเพื่อนฝูงจากที่ไกลๆ
เมื่อตัวใดตัวหนึ่งพบเห็นอาหาร

9.เพราะมี "นัยน์ตา" ที่มองเห็นได้ไกลๆ
และตาพวกมันจะว่องไวต่อสิ่งพิรุธมาก
ที่เรียกว่า "ตาดี" นั่นแหละ

10.ส่วนเพื่อนฝูงของนกแร้งนกกานั้น
ก็จะมีหูที่ว่องไวจนสามารถได้ยิน
เสียงเรียกจากนกตัวอื่น
ที่ตื่นเต้นเมื่อยามพบเห็นอาหาร
ที่เพื่อนเรียกขานมาจากระยะไกลได้
ที่เรียกว่า "หูดี" อีกต่างหาก

11.ท่านทั้งหลายจะสังเกตได้มั้ยว่า
ฝูงนกแร้งนกกาเหล่านี้
มีกลไกอายตนะภายนอกสามอย่าง
ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามนุษย์มาก คือ 

ตาไวไกล (ตาดี)
หูไวไกล (หูดี)
ปากไวไกล (ปากดี)

ซึ่งนับได้ว่าเป็นสุดยอดเห็นนกแล้ว
กับการมีอายตนะ 3 ชิ้นนี้วิเศษยิ่งกว่านกอื่นๆ

12.เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะพวกมันถูกกำหนดให้
มีอายตนะบอดเสียอยู่ช่องทางหนึ่ง
นั่นคือ "จมูกบอด" 
เพราะมันไม่สามารถใช้จมูกรับรู้กลิ่นอาหาร
จากทั้งระยะไกลและเมื่ออยู่ใกล้ได้เลย

มันจึงดีใจกับอาหารชิ้นใหญ่
จำพวกสัตว์ตายจนเน่าเหม็น
ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นเขาไม่กินกันแล้ว
แต่พวกมันก็จะไล่จิกตีกัน
เพียงเพื่อจะรุมทึ้งสัตว์เน่าที่เขาไม่เอาแล้ว
อย่างน่าคลื่นเหียน

13.นกแร้งนกกาจึงน่าจะเป็น "ครู" พวกท่าน
ที่วันๆรักแต่จะนั่งหลับหูหลับตาปลีกวิเวก
แล้วใช้จิตนึกมโนเอาเอง
เพื่อสร้างบทเรียนกับบททดสอบให้ตนเอง
แล้วก็ตรวจข้อสอบที่ทำเองกันเอาเอง
โดยไม่รู้ว่าคำตอบของตนนั้น
ถูกต้องแท้จริงหรือไม่
ก็ได้แต่เข้าข้างตัวเองเท่านั้น

ดูอย่างนกแร้งนกกา....สิ
แม้พวกเขาจะตาดี จะปากดี จะหูดี
โดยบอดที่จมูกอย่างเดียว
แต่พวกเขาก็ยังทำผิดพลาดใหญ่หลวง
เพราะไม่รู้ว่าสัตว์ตายที่ไม่มีสัตว์อื่นใส่ใจแล้ว
ซึ่งพวกตัวกำลังรุมทึ้งแย่งชิงจิกกินกันอยู่น่ะ
มันเป็น "ของเน่าเหม็น" มันไม่น่าจะกิน
กลิ่นมันเหม็นจนน่าจะอ๊วก! เสียมากกว่า

เปรียบดั่งพวกท่านที่เป็นมนุษย์
มีอายตนะที่ดีๆให้เรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็น
ใช้มันให้เกิดประโยชน์
แต่ดันไปเก็บตัวปิดหูปิดตาปิดปากจนหมด

แล้ววันๆท่านจะเรียนรู้โลกกว้าง
เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริง
จากการนั่งมโนนึกเองกันได้อย่างไร

การดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน
"มันจะไม่ผิดพลาด" เหมือนดั่งนกแร้งนกกาหรือ

การทำผิดโดยไม่รู้ว่าตัวผิด
การทำชั่วโดยไม่รู้ว่าตัวชั่ว
การทำบาปโดยไม่รู้ว่าตัวบาป
จักเป็นคุณสมบัติที่ผิดพลาด
ซึ่งมันจะติดตัวแก่นแท้คือจิตวิญญาณ
ของพวกท่านไปตราบชั่วอนันตกาล

หมายเหตุ:

ขอบพระทัยองค์จิตจักรวาล
พระผู้กำหนดสร้างนกแร้ง นกกาขึ้นไว้
ให้เป็นครูที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์โลก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-1-2016