28 มกราคม 2559

พุทธวจน # 2



ท่านศาสนิกชนคนใฝ่ธรรมบริสุทธิ์ทั้งหลาย
เรามีความจริงที่ได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายไปแล้วว่า
พระพุทธวจนะบทที่ว่า....

"ดูกร...พาหิยะ...
เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น
ได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟัง
ได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดม
ได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้ม
ได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่าสัมผัส"

ถ้วนทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น
พระพุทธองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร

คราวนี้เรายังมีความจริงที่จะกล่าวอยู่อีกว่า
พระพุทธวจนะบทเดียวกันนั้นเอง
ยังมีคำสอนของพระองค์ที่ท่านทั้งหลาย
จักต้องรู้ขบคิดอยู่อีกตอนหนึ่งด้วย
ความว่า....

"เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"

พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อพาหิยะ
ผู้เป็นพระสาวกว่าดั่งนี้

1.ถ้าท่าน"พาหิยะ"สัมผัสรู้ดูเห็นและนึก
ด้วยอายตนะทั้งหก คือ "รับรู้อะไร" นั่นแล้ว

ก็ให้นำ "อะไรที่ตนรับรู้นั้น" มา "เรียนรู้"
เพื่อให้ได้องค์ความรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
แบบรู้จริง รู้แจ้ง แทงตลอด
ซึ่งจะช่วยให้ท่านพาหิยะ 
เพิ่มเติมคุณสมบัติแห่งตนให้เป็นผู้ที่ 
"รอบรู้มากขึ้น" และ "ฉลาดยิ่งขึ้น" เรื่อยๆ

2.พระพุทธองค์มิได้ทรงตรัสสอนให้ท่านพาหิยะ
สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้วให้ "ปล่อยว่าง"
ด้วยการ "วางทิ้งสิ่งนั้น" ทันที
เพื่อหมายทำให้จิตว่างหรือจิตสุญญตา

เพราะความหมายของ "จิตสุญญตา"
ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้นหมายถึง
การว่างไปจากอายตนะที่มีอยู่
ทั้งตา หู จมูก ลิ้น(ปาก) กายสัมผัสและจิตนึก
มิใช่การทำให้ "จิตว่าง" ไม่เอาอะไรเลย

3.เรารู้ว่า "จิตมนุษย์" มันว่างไม่ได้
มันมีนิสัยเหมือนลิง คือ ซุกซนอยู่ไม่นิ่ง
แล้วก็ต้องมี "สรรพสิ่ง" ให้มันยึดเกาะเสมอ

ถ้าปล่อยให้จิตท่านมันยึดตัวท่านเองไว้
ท่านก็จะกลายเป็นคน "หลงในอัตตา"

ถ้าปล่อยให้จิตท่าน
มันยึดตัวตนครูหรือใครไว้
ท่านก็จะกลายเป็นคน "งมงาย" ในครูคนนั้น

หากท่านเป็นดั่งว่ามานี้แล้ว
ตัวกิเลสตัณหาก็จะตามมาอีกเพียบ!
ทุกท่านจึงต้องหา "สรรพสิ่งอื่น" ให้จิตมันทำ
อย่าปล่อยให้มันว่างงานเด็ดขาด

ซึ่งเราได้แนะเน้นต่อท่านแล้วว่า
ให้อะไรกับอะไรนั่น
ทันทีที่จิตท่านรับรู้ผ่านอายตนะมา
เพื่อให้ได้ความรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"

ถ้าทำอย่างนี้ได้จิตของท่านก็จะไม่ว่าง
มันก็จะไม่มีเวลาไปเที่ยวปรุงแต่ง 
"อะไร" ที่จิตรับรู้ผ่านอายตนะเข้ามา
ให้เกิดเป็น "ความรู้สึก" เพราะจิตตก
อันสภาวะที่จิตตกนี่แหละนะ
จิตท่านได้ "เกิดเวทนา" ขึ้นมาแล้ว
กระบวนการธรรมจักรที่ในจิต
ก็จะแปรผันเป็น "กรรมจักร" ทันที

การรับรู้อะไรแล้ววางเฉยหรือวางทิ้ง
ไม่ยอมเรียนรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
โดยพยายามที่จะ "ไม่อะไรกับอะไร" นั้น 
มันคือการปล่อยให้จิตว่างมิใช่"ปล่อยวาง"
ซึ่งมันผิดธรรมชาติ มันจึงมิใช่ธรรมะแท้

4.ยังมีข้อความที่ทรงตรัสต่อ "พาหิยะ" อีกว่า

"เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"

5."เมื่อนั้นเธอจักไม่มี" หมายความว่า 
ถ้าท่านพาหิยะรับรู้อะไรแล้วเรียนรู้
เรียนรู้แล้วค่อยละวางสิ่งนั้น
โดยไม่เอามาปรุงแต่ง
จนเกิดเป็น"ความรู้สึก"

ท่านพาหิยะก็จะเป็นดั่งเช่นก้อนหิน
ที่แม้ฝนจะตกใส่แสงแดดจะส่อง
หินจะเปียกจะร้อนก็ไม่ยินดียินร้ายอะไร
นี่คือคำว่า "เธอ" จักไม่มี
ไม่ต่างจากการอยู่บ้านคนเดียวเงียบๆ
จนคนข้างบ้านเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่
เมื่อไม่มีใครอยู่ก็ไม่ต่างจากไม่มีตัวตน
การไม่มีตัวตนนี่แหละ
พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวว่า 
เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี

6.ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า...
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้

ทรงหมายความว่า....
ถ้าท่าน "พาหิยะ" สั่นสะเทือนจิตใจ
เกิดเป็นความรู้สึก
ที่เป็น "กิเลส" ขึ้นมาเมื่อไหร่
จิตนั้นก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องไป
เกิดเป็นอยากไม่อยาก 
ที่เรียกว่า "ตัณหา"

จากตัณหาก็จะนำไปสู่ 
"อารมณ์หยาบๆ" ต่อไป
โดยที่ท่าน"พาหิยะ"
จะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
เพราะมันเป็นกระบวนการทางพลังงาน
ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนของ "สังขาร"
อันเป็นขั้นตอนที่สี่ในกระบวนการของขันธ์ 5

7.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อใดก็ตามที่จิตท่านมันสั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกหยาบๆรายวันแล้ว
ต่อมไร้ท่อที่ทำงานร่วมกับจิตมนุษย์
จะผลิตสร้างพลังงานของจิตออกมา
ที่เรียกว่า "พลังงานกรรม" เสมอ

พลังงานกรรมนั้นจะอยู่ในรูปของ
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
โดยจะเป็นได้ทั้งชนิดบวกและลบ
ถ้าเป็นบวกส่วนมากก็เป็นความรัก
ถ้าเป็นลบก็จะเป็นพวก โลภ โกรธ งมงาย

ดังนั้น
ถ้าท่านพาหิยะไม่สร้างความมีตัวตนขึ้นมา
เจ้าคลื่นพลังงานจิต หรือ "พลังงานกรรม"
ที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น
มันก็จะไม่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาใหม่

นั่นจึงเท่ากับว่า "เธอ" คือ ท่านพาหิยะ
เสมือนไม่มีตัวตนอยู่ในระบบโลกนี้นั่นเอง

เพราะเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้

8.จากนั้นพระพุทธองค์
ยังได้กล่าวเอาไว้ต่อไปอีกว่า

"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง

ทรงหมายความว่า....

ถ้าท่าน"พาหิยะ" รับรู้อะไรสิ่งใดแล้วไม่รับเอา
จนไม่มีการผลิตสร้างพลังงานจิต
ที่เป็นผลกรรมด้านลบจากอารมณ์หยาบๆแล้ว
นั่นเท่ากับว่าท่าน "พาหิยะ
สามารถก่อกรรมโดยไม่เกิด "ผลกรรม" ได้

เมื่อท่านพาหิยะ
สามารถดำรงตนอยู่เหนือกรรมได้
แสดงว่าท่านพาหิยะน่ะได้ "แทรกแซง"
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เดิมมันเป็นกรรมจักร
ตั้งแต่ท่านพาหิยะเป็นกุมารน้อยมาแล้วนั้น
จนสามารถเปลี่ยนมาเป็น "ธรรมจักร" ได้สำเร็จ

เมื่อหมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จดั่งนี้
ท่านพาหิยะก็จะสามารถ
ข้ามผ่านการมีสังสารวัฏได้

เมื่อท่านพาหิยะทิ้งกายสังขารไปวันใด
จิตวิญญาณของท่าน
ก็ไม่ต้อง "หลุดลง" สู่นรก
เพื่อเยียวยาจิตวิญญาณที่เกิดการหลงมิติ

จิตวิญญาณของท่าน
ก็ไม่ต้อง "หลุดลอย" สู่แดนสวรรค์
ไปติดค้างอยู่ในแดนสวรรค์มายานั่น

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อท่านพาหิยะว่า
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น

9.ประโยคสุดท้าย
ที่ทรงกล่าวต่อท่านพาหิยะว่า
"จะไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง" นั้น
ทรงหมายความว่า....

ถ้าท่านพาหิยะสามารถเป็นคน "พ้นกรรม"
คือ หมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จ
จนตราบสิ้นอายุขัยในภพชาติปัจจุบัน
ตามรายละเอียดที่เราขยายความไว้ข้างต้นนั้น

มันจะยังผลให้ดวงจิตธรรมญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านพาหิยะ
นอกจากจะไม่ต้องหลุดลงสู่ภพภูมินรก
นอกจากจะไม่ต้องหลุดลอย
เพื่อขึ้นสู่ภพภูมิสวรรค์มายาแล้ว
ท่านยังจะไม่ต้อง "หลุดหล่น" มาเกิดเป็นคน
บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกตลอดไปด้วย

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อท่านพาหิยะ
เป็นประโยตสุดท้ายตามพระวจนะบทนี้ว่า

เธอก็จะไม่ปรากฏ 
"ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
ทรงหมายถึงระหว่างสวรรค์มายากับนรก
ก็คือโลกมนุษย์ไงล่ะท่าน

ที่ทรงตรัสว่า
"นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"
ทรงหมายถึงท่านพาหิยะจะสามารถ
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดในไตรภูมิคือ 3 โลก
ได้อย่างสิ้นเชิง

นี่ไง...รหัสลับจากพระวจนะที่ทรงชี้ว่า
เส้นทางการหลุดพ้น คือ นิพพานน่ะไปทางนี้

10.เราขอถามพวกท่านว่า
ที่เราสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล
เพื่อชี้ทางหลุดพ้น คือ กลับบ้าน
มันมิได้กระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือน
ทางจิตตปัญญาของพวกท่านบ้างเลยหรือ

เราย้ำแล้วว่าเราอาสาพระบิดาลงมา
เรามาทำหน้าที่แทนพระบิดา
เรามาทำหน้าที่ตามพวกท่านกลับบ้าน
เรากล่าวแต่ความจริง
เราสนับสนุนพวกท่าน
ให้ยอมรับในพระศาสดาที่ท่านรับถือกันจริงจัง
อย่าได้แต่เอาพระศาสดามาอ้างโดยปัญญาไม่เปิด

เรามิได้มาสร้างลัทธิใหม่ แต่เรามาให้ความรู้ใหม่
เรามิได้มาสร้างสำนัก แต่เรามาสร้างสำนึกให้

เรามิได้มาแย่งสาวกของใคร 
แต่เรามาสอนให้พวกท่านรู้จักการพึ่งตนเอง

ที่สำคัญ คือ เรากลับมาตามสัญญา
เราอยากบอกเจ้าสาวทั้งหลายว่า
จงตื่นจากหลับไหลเสียที
ตะเกียงที่วางอยู่น่ะจงหยิบขึ้นมาถือ
แล้วก้าวตามเรามาได้แล้ว....

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

28-1-2016