09 มกราคม 2559

ของขวัญแด่พ่อแม่ ในวันของเด็ก

"ของขวัญแด่พ่อแม่ ในวันของเด็ก"

เราจะกล่าวความจริง
ต่อพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลายว่า
วันทุกวัน คือ "วันของเด็ก"

มิใช่เพียงแค่..."วันนี้เป็นวันเด็ก"
ค่อยมาให้ความสำคัญกับเด็กกันเป็นพิเศษ
โดยหนึ่งปีมีวันเดียว!!!!!!

พ่อแม่บุรพการีทั้งหลายจักต้องรู้ไว้ด้วยว่า
ดวงจิตวิญญาณของผู้มาเกิดเป็นบุตรนั้น
มีที่มาแห่งความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ
ระหว่างพวกท่านกับผู้มาเกิดอยู่ 2 พันธะกรณี

1.มาเกิดเป็นลูกตามพันธะสัญญากรรม
หรือ ที่พวกท่านเรียกว่า "ชะตาชีวิต"
เด็กๆพวกนี้ถือเป็นพวก "เกิดแต่กรรม"
แต่เป็นกรรมด้านบวกหรือด้านดี

ชะตาชีวิต คือ บทละคร
ที่ดวงจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ได้ตกลงใจกันว่าจะมาสร้างครอบครัว
เสมือนหนึ่งเล่นละครร่วมกันบนเวทีโลก
เมื่อพวกท่านได้รับโอกาส
ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ภพชาติแรก

โดยดวงจิตวิญญาณของพวกท่าน
ได้ใช้วิหารสีขาว ณ ด่านนภาลัย
อันเป็นประตูมิติของผู้มาใหม่และผู้หลุดพ้น
เป็นสถานที่วางแผนเขียนบทละครร่วมกัน
ด้วยการกำหนดคุณสมบัติของตน
ไปตามบทบาทที่ตนเลือกแสดงต่อกัน

แน่นอนว่า....
เมื่อมาแสดงบทบาทของพ่อแม่ลูกบนโลกเสรี
ตามที่เขียนบทการแสดงกันมานั้น
มันจึงเป็นพันธะหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่แต่ละคนจักต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ด้วยการแสดงบทบาทนั้นให้ถูกต้อง
ด้วยการแสดงออกต่อกันให้สมบทบาท
ซึ่งใครจะผิดสัจจะที่ตกลงกันไว้ไม่ได้

หน้าที่ของผู้มาเกิดเป็นพ่อแม่
ซึ่งได้ให้สัญญาต่อผู้จะมาเกิดเป็นลูกไว้
และท่านต้องรับผิดชอบมันมีดังนี้

1.พ่อแม่ต้องทนุถนอมดูแล
ทารกในครรภ์ของแม่อย่างดีที่สุด
จนกว่าเขาจะคลอดออกมาเป็นมนุษย์
ได้อย่างปลอดภัย
ในสภาพของอวัยวะร่างกาย
ที่สมบูรณ์ แข็งแรง

2.พ่อแม่จะต้องให้ความรักแก่ลูกของตน
ด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
เพื่อให้ลูกมีความอบอุ่นทางร่างกาย
และมีจิตใจที่เป็นสุข
อีกทั้งต้องดูแลลูกให้มีความปลอดภัย
ในการดำรงชีวิต

ให้ลูกได้มีพัฒนาการทั้งทางร่างกาย 
จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
อย่างสอดคล้องเหมาะสมไปตามวัยอีกด้วย

3.พ่อแม่จักต้องสอนลูก
ให้มีความฉลาดพร้อมในสามมิติ คือ

มิติที่ 1:
สอนลูกให้มีความฉลาดทางอารมณ์
โดยให้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่รู้ว่า
เขาเป็นทารกในครรภ์มารดา
จนกระทั่งคลอดออกมาลืมตาดูโลก
ไปจนกว่าลูกเติบโตสู่วัยเจริญพันธุ์

1.ให้สัมผัสด้วยกายและจิตอย่างใกล้ชิด

2.ไม่แสดงอาการหงุดหงิดจิตตก
ด้วยการกระทำต่อลูกหรือทำต่อหน้าลูก

3.ไม่สอนลูกให้เรียนรู้อารมณ์ก้าวร้าว
เช่น ปล่อยให้นอนร้องขอดื่มนมนานเกินไป
และพ่อแม่ทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ

4.ให้กำลังใจลูกเมื่อเขากำลังท้อแท้กับของเล่น
ให้ความหวังกับลูกขณะที่เขากำลังพยายาม
ให้โอกาสลูกที่จะแก้ไขความผิดพลาดได้เสมอ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้ลูก
แทนการขลาดกลัว ไม่กล้าแสดงออก

มิติที่ 2:
สอนให้ลูกมีความฉลาดทางปัญญา
ซึ่งลูกของท่านจะมีสมองพร้อมให้ใช้บริบูรณ์
ตั้งแต่มีอายุครบ 3 ขวบปีที่ลืมตามาดูโลก

1.จงอย่าสอนให้ลูก "รู้" แค่ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยยัดเยียดความรู้ให้จนสมองบวม
เพราะเมื่อเติบใหญ่ต่อไปในวันข้างหน้า
แม้ลูกจะมีความรู้ท่วมหัวแต่จะเอาตัวไม่รอด
เพราะไม่ฉลาดที่จะนำความรู้ออกมาใช้
เก่งแต่จำ ดีแต่ขี้โม้อวดภูมิรู้ของตนเท่านั้น

แต่พ่อแม่จงสอนให้ลูกฉลาด "เรียนรู้"
รู้ว่าไหนควร ไหนไม่ควร
รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ
รู้จักกาละเทศะ มีสัมมาคารวะ 
รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพอ่อนโยน

สอนให้ลูกรู้จักรักคนที่ไม่น่ารัก 
รู้จักอภัยคนที่ไม่น่าให้อภัย
รู้จักมองโลกในแง่ดี

2.จงสอนให้ลูกมีทักษะความสามารถ
ในการพูด ในการฟัง ในการสังเกต 
ด้วยวิธีการชี้แนะ ชี้นำ และชี้ทางให้
จงอย่าเอาแต่ปิดปากลูกห้ามพูดห้ามเถียง
เพราะพ่อแม่ถูกฝ่ายเดียว

3.จงเปิดโอกาสให้ลูกได้มีส่วนร่วมคิด
ร่วมเห็น ร่วมเป็น ร่วมทำ
แม้กิจกรรมเล็กๆในครอบครัว
จำพวกงานบ้าน งานครัว งานสวน เป็นต้น
เพื่อพัฒนาความฉลาดของสมอง
ทั้งของลูกเองและพ่อแม่ผู้สอนด้วย

จงสอนลูกให้มีเหตุผลและใช้เหตุผลเป็น
แทนที่จะใช้อารมณ์แบบเด็กทั่วๆไป
สอนให้รู้จักคิดวิเคราะห์แยกแยะ
ให้รู้จักด้านถูกและผิด 
ให้รู้จักด้านมืดและด้านสว่าง เป็นต้น

มิติที่4:
จงสอนให้ลูกมีความฉลาดทางสังคม
มีความสามารถในการคบเพื่อน
มีความสามารถที่จะทำตน
ให้เป็นที่รักของคนอื่นได้

เพราะลูกของท่าน
เข้าใจโลก เข้าใจเพื่อมนุษย์ดีพอตัว
ลูกจึงมีความสามารถในการยอมรับ
และสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นๆได้ดีนั่นเอง

ดังนั้น
เด็กๆที่เกิดมาตามพันธะสัญญากรรม
จึงต้องการการดูแลเเอาใจใส่ใกล้ชิด
จึงต้องการความรักความอบอุ่น
จึงต้องการการส่งเสริมสนับสนุนค้ำชู
จึงต้องการครูและผู้นำทาง

2.เด็กๆที่มาเกิดตามพันธะกรรม
ที่พวกท่านเรียกว่า "ชะตากรรม" นำมาเป็นลูก
ซึ่งเด็กๆพวกนี้เป็นผู้ที่ "เกิดแต่เวร"
โดยถ้าไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่
ก็พ่อแม่เองแหละที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของลูก

เด็กพวกนี้ต้องการอะไรจากพ่อแม่บ้าง
ท่านลองตรองดู

1).ต้องการความรักมากที่สุด
จึงพยายามดื้อรั้น ทำตัวไม่น่ารัก ทำตัวไม่ดี
ยิ่งอะไรแบบไหนที่พ่อแม่ไม่ชอบ
เขาจะยิ่งทำยิ่งยั่วยุไม่เลิก

2).ต้องการเวลามากที่สุด
ลับหูลับตาพ่อแม่เมื่อไหร่
เป็นต้องสร้างความเดือดร้อนเสียหายเมื่อนั้น
ทั้งเดือดร้อนพ่อแม่ผู้ปกครองและตัวเอง
จะเกิดขึ้นเนืองๆไม่ว่างเว้น

3).ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
เขาจะทำอะไรด้วยตนเองไม่ค่อยจะได้
ขาดความมั่นใจในตนเอง
ต้องคอยให้พ่อแม่ช่วยเหลืออยู่เสมอ

เป็นคนไม่รอบคอบ
ไม่มีวินัยในการดำเนินชีวิต
หัวช้า เรียนรู้ช้า สอนยาก

เด็กบางคนมาเกิดแบบคนอ่อนแอ
สามวันดีสี่วันป่วย
ร่างกายไม่แข็งแรง
บางคนไม่สมประกอบ
บางคนมีโรคประจำตัว

นอกจากนั้นยังมีลักษณะอื่นๆอีกมากมาย
ล้วนมาด้วยเวรกรรมทั้งนั้น
หากพ่อแม่ขาดการใส่ใจ
ชีวิตครอบครัวจะไม่มีอะไรดีขึ้น

สังคม ประเทศชาติ และโลกเสรีนี้
จะมีสันติสุขได้เพราะผู้คนมีคุณภาพเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เองเราจึงกล่าวว่า
พ่อแม่อย่าเห่อที่จะมีวันเด็กประจำปีวันเดียว
วันของเด็กควรจะต้องมีทั้งวันของทุกๆวัน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-1-2016