07 มกราคม 2559

กระบวนการของขันธ์ 5 คือ ธรรมจักร


ความจริงเรื่องขันธ์ 5 ยังมีอยู่อีกว่า
จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ตั้งแต่เป็นกุมารน้อยวัย 3 ขวบบริบูรณ์
ก็สามารถสร้างกระบวนการของขันธ์ 5
ในระบบอัตโนมัติได้แล้ว

การที่องค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ทรงกำหนดติดตั้งระบบอัตโนมัตินี้ไว้ให้ใช้

ก็เพื่อให้ผู้มาเกิดใหม่ผลิตสร้างพลังงานชีวิต
ให้แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่ประกอบด้วยโครงสร้างทางชีววิทยา
อันมีกระบวนการทางไฟฟ้าเคมีในระบบเซล
และมีกระบวนการทางพลังงานในระบบจิต
ที่จะต้องสั่นสะเทือนร่วมกันในสองมิติ
โดยอาศัยพลังงานชีวิตเป็นพลังงานพื้นฐานได้

เพราะถ้าเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ขาดพลังงานชีวิตที่จะต้องผลิตสร้าง
โดยสั่นสะเทือนผ่านกระบวนการของขันธ์ 5 
ในระบบอัตโนมัติเป็นตัวขับเคลื่อนแล้ว
คนๆนั้นก็จะมิอาจมีชีวิตรอดต่อไปได้

กระบวนการของขันธ์ 5
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ใช้
ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัตินั้นมีขั้นตอนดังนี้

1.เมื่อกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
และจิตหยาบเองที่เป็นอายตนะภายในด้วย
ถ้าอายตนะชิ้นใดมีการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งหนึ่ง
อายตนะนั้นก็จะนำส่งข้อมูลที่ตนสัมผัสได้
ไปยัง "จิตหยาบ" ตรงตาที่สามเสมอ

2.เมื่อจิตหยาบได้รับข้อมูลที่อายตนะส่งมาให้แล้ว
ก็จะสั่นสะเทือนเป็น "การรับรู้รูป" ขึ้นมาทันที

ซึ่งการที่จิตจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น
จิตของท่านจะต้องไปเอาคำตอบมาจาก "สัญญา"
แต่ถ้าจิตยังไม่รู้เพราะไม่เคยมีประสบการณ์
จิตก็จะทำหน้าที่เรียนรู้ความรู้ใหม่นั้น
แล้วนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปบันทึกไว้ใน "สัญญา"

ขั้นตอนนี้ คือ การเกิด "รูป"
จากการผัสสะของกลไกอายตนะ
โดยมีตัว "สัญญา" ผู้บันทึกความทรงจำ
เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ทำการช่วยเหลือด้วย

3.เมื่อจิตเกิดการรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
สภาวะธรรมที่เป็นธรรมดาของจิตหยาบนั้น
มันมักจะสั่นสะเทือนเป็นการ "รับเอา" เสมอ

การรับรู้แล้วมีการรับเอาเกิดขึ้นนี่แหละ
เป็นการปรุงแต่งของจิตเมื่อรับรู้สรรพสิ่งนั้น

ผลการปรุงแต่งของจิตก็คือ "ความรู้สึก" 
ที่จิตมีต่อสรรพสิ่งนั้นในปัจจุบันขณะนั่นเอง
เช่น สวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี เป็นต้น
ซึ่งการที่จิตของท่านเกิดความรู้สึกขึ้นเช่นนี้
มันจะยังผลให้จิตสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำ
ที่เรียกกันว่า "จิตตก" หรือจิตเศร้าหมอง

ขั้นตอนนี้ ก็คือ 
การเกิด "เวทนา" ของจิตโดยเฉพาะ

4.ทันทีที่จิตสั่นสะเทือนเป็น "เวทนา"
คือมีความรู้สึกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม
จิตก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องทันที
ด้วยการสร้าง "ความอยาก-ไม่อยาก" ขึ้นมา
ที่คนทั่วไปจัดว่าเป็น "ตัณหา" นั่นเอง

เหตุที่จิตของพวกท่าน
ต้องสร้างอาการอยากไม่อยากขึ้นมา
ในขั้นตอนนี้ก็เพื่อที่จะ
ทำให้สิ่งที่ตนเกิดความรู้สึกอยู่นั้น
เป็นรูปธรรมหรือมีอัตตาตัวตนขึ้นมา
จะได้ช่วยให้จิตเองสามารถยึดเกาะ
เหนี่ยวรั้งมันได้ง่ายๆนั่นแหละ

เมื่อจิตของท่าน
สั่นสะเทือนเป็นความอยากแล้ว
จิตก็จะก้าวไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่งแบบต่อเนื่อง
โดยจิตนั้นจะไปสั่นสะเทือน
อยู่ในกลุ่มของ "ความโลภ"

เหตุที่เกิดความโลภ
ก็เพราะอยากได้ ใคร่มี
ถ้าไม่ได้ดั่งใจอยากก็จะนำไปสู่ "โทสะ"
ถ้าอยากได้มากๆก็จะกลายเป็นงมงาย
คือ เกิดการมี "โมหะ" ขึ้นมาได้

ขั้นตอนของการเกิดโทสะ โลภะ โมหะ
อันเป็นผลจากความอยากไม่อยากนี่แหละ
เป็นขั้นตอนของการเกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา
ที่รวมเรียกว่า "สังขาร" 

5.เมื่อจิตสั่นสะเทือนมาถึง
ขั้นตอนของขันธ์ 5 ที่เรียกว่า "สังขาร" แล้ว

ถ้าจิตสั่นสะเทือนเป็นโลภะ โทสะ โมหะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันทั้งปวง
มันก็จะยังผลให้กลไกที่ชื่อ 
"คอร์พัสคอลโลซั่ม"
ซึ่งอยู่ใต้สมองสองซีกของท่าน
ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าด้านลบออกมา

เพื่อนำส่งให้ต่อมพิทูอิทารี่
ทำการแปลงระบบเป็น
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
เพื่อนำส่งต่อไปยังสมองสองซีกส่วนหนึ่ง
และจิตหยาบจะเหวี่ยงมันออกมา
ภายนอกอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "พลังจิต"

ขั้นตอนของขันธ์ 5 ในขั้นนี้ก็คือ 
การเกิด "พลังงาน" ขึ้นมา
อันเป็นผลลัพธ์สุดท้าย
ในกระบวนการของขันธ์ 5 ของคนสองมิติแล้ว
ซึ่งพระศาสดาของพวกท่าน
เรียกพลังงานที่ถูกผลิตสร้างขึ้นนี้ว่า "วิญญาณ"
เพราะเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่โลกต้องการจากพวกท่านโดยแท้จริง

ที่ไม่ทรงเรียกว่า "พลังงาน"
ก็เพราะทรงหมายให้ท่านทั้งหลาย
เข้าแทรกแซงกระบวนการนี้ให้สำเร็จให้ได้
เพื่อให้ท่านใช้จิตวิญญาณแก่นแท้
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการของขันธ์ 5 
แทนการทำหน้าที่ของจิตหยาบ
ที่เป็นระบบอัตโนมัติ
ตั้งแต่เป็นกุมารน้อยเสียให้จงได้

เนื่องจากพลังงานที่จิตหยาบผลิตสร้างนั้น
มันจะเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่เป็นด้านลบมากกว่าด้านบวกซึ่งโลกไม่ต้องการ
เพราะช่วยค้ำจุนโลกไม่ได้
อีกทั้งยังให้พลังงานชีวิต
แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
ไม่เพียงพอต่อการมีชีวิตที่เป็นอมตะได้อีกด้วย

มนุษย์โลกเสรีจึงมีอายุขัยสั้นลงเรื่อยๆ
สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
สภาวะจิตสำนึกก็ตกต่ำดำลงเรื่อยๆ
ทั้งๆที่สังขารร่างกายของทุกๆท่านนั้น
พระบิดามิได้ทรงกำหนดให้มันต้องมีอายุขัย
คือ ทุกคนต้องตายเลยสักคนเดียว!!!

มันเกิดอะไรขึ้นกับการเป็นมนุษย์
ของพวกท่านทั้งหลายกันแน่?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-1-2016