#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกทายาทของผีโสโครกที่ทำตนเป็นกูรู
ที่หยิบยกเอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพระพุทธเจ้า
มาบิดเบือนคำสอนจนทำให้คนโง่ง่ายใช้ปัญญาไม่เป็น
พากันหลงเชื่อตามถลำลึกว่ากิเลสมารนั้นมิใช่ปัญหา
โดยอ้างว่าหลักแห่งอนิจจังทุกสิ่งสรรพ์ #ไม่เที่ยงแท้
คำว่า “ไม่เที่ยงแท้” หมายถึงมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
กิเลสก็เหมือนกันเมื่อมันเกิดได้สักพักหนึ่งเดี๋ยวก็ดับเอง
เมื่อกิเลสมารเป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดเองดับเองได้แล้ว
มันจึงมิใช่ปัญหาจงอย่าไปวิตกกังวลสนใจกิเลสมาร
เพราะจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าดายจงอย่าโง่เลย
พี่ๆน้อง ๆ ที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ใครเชื่อคนนำทางตาบอดที่บิดเบือนคำสอนพระศาสดา
ที่กล่าวว่า #กิเลสมิใช่ปัญหาถ้าอยากหลุดพ้น ข้างต้นนี้
พิจารณาดูแล้วผู้ใดเชื่อตามคำสอนของกรรมกรของมาร
คนผู้นั้นน่าจะเป็นฝ่ายโง่เองเสียมากกว่า
เพราะความหมายแท้จริงของ “ไตรลักษณ์” นั้น
สรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปหรือเสื่อมสลายไป
พระศาสดาทรงหมายถึงสิ่งที่มี 2 มิติอยู่ในหนึ่งเดียว
นั่นคือสิ่งที่มีเปลือกนอกหรือกายหยาบในมิติของเนื้อหนัง
ห่อหุ้มแก่นแท้ที่เป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงานไว้ข้างใน
เช่น ก้อนกรวด ก้อนหิน เม็ดทราย ก้อนดิน และวัตถุต่างๆ
รวมทั้งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์เองด้วย
สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้กำหนดสร้างหรือทำให้เกิดขึ้น
แต่ละสรรพสิ่งจะมีอายุขัยในการดำรงอยู่
โดยเวลาที่จะดำรงอยู่ขึ้นกับความเสื่อมของเปลือกนอก
ซึ่งเปลือกนอกเท่านั้นที่มีอัตราความเสื่อมไปตามกาล
เพราะเปลือกนอกเป็นสรรพสิ่งในมิติโลกทางกายภาพ
ที่มันจะเสื่อมสภาพไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ตัวตนแก่นแท้ที่เป็นพลังงานซึ่งเร้นอยู่ข้างในนั้น
ยังมีคุณสมบัติทุกสิ่งคงเดิมตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
จนเมื่อเปลือกน้อยเสื่อมไปหรือดับไปตามกาลของมัน
อัตตาตัวตนที่เคยเป็นมายาก็จะหายไปเหลือแต่พลังงาน
อันเป็นพลังงานที่เป็นแก่นแท้ที่สองตาเปล่ามองไม่เห็น
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งที่มี #สองมิติ ซึ่งมีอยู่จริงภายในเอกภพนี้
เมื่อถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้สร้างคือองค์จิตจักรวาลแล้ว
จะมีกำหนดเวลาในการดำรงอยู่หรือมีอายุขัยกำกับไว้ด้วย
เราขอย้ำกับพวกคุณว่า #เฉพาะสรรพสิ่งที่มีสองมิติ นะ
คือสิ่งที่มีเปลือกนอกเป็นกายหยาบหรือเนื้อหนังหุ้มอยู่
โดยมีพลังงานเป็นตัวตนที่แท้จริงเร้นอยู่ข้างในเท่านั้น
คุณจึงอ้างใช้กฎแห่ง #ไตรลักษณ์ ของพระพุทธองค์ว่า
สิ่งนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปคืออนิจจังทุกขังอนัตตาได้
แต่เรื่องของ #สภาวะจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบ
ที่เป็นเรื่องของพลังงานแค่เพียงมิติเดียวไม่เกี่ยวกับกฎนี้
ตัวอย่างเช่น
เรื่องของกิเลสมารที่มันผุดขึ้นมาในจิตหยาบของคุณ
เมื่ออายตนะทั้งหกสั่นสะเทือนจากการสัมผัสรู้ดูฟังสิ่งเร้า
ที่คุณสัมผัสกับสิ่งเร้านั่นโน่นนี่อยู่ตลอดเวลาในยามตื่น
จิตคุณมันจะเกิดเวทนาคือเดี๋ยวรู้สึกชอบเดี๋ยวไม่ชอบ
ทำการตอบสนองสิ่งเร้านั่นโน่นนี่เรื่อยๆไปไม่หยุดหย่อน
ความรู้สึกที่เป็นเวทนาที่ว่านี้มันจะเกิดๆดับๆอยู่ทั้งวัน
จนดูเหมือนว่ามันเกิดเองแล้วดับเองก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร
พวกมารโดยผีโสโครกจึงหลอกคุณว่าอย่าเสียเวลาดับมัน
ปล่อยวางมันทิ้งไว้ให้มันเป็นไปของมันแบบนั้นน่ะดีแล้ว
พวกคุณจะเชื่อพระบิดาหรือว่าเชื่อมารล่ะ
ถ้าพระเจ้าทรงเมตตาให้เรากล่าวกับพวกคุณว่า
ถ้าอยากหลุดพ้นกลับบ้านไปกราบพระบิดานอกเอกภพ
กิเลสมารในจิตหยาบนี่แหละตัวร้ายที่คุณต้องจัดการก่อน
จะปล่อยให้มันเกิดดับ...เกิดดับ..เกิดดับ...นั้นไม่ได้
เพราะกิเลสมารเป็นตัวแสบ! ที่ทำให้คุณ #หมุนกรรมจักร
จนเข้าถึงความรักเพื่อให้และใช้ปัญญาของสมองสองซีก
ทำการ #หมุนธรรมจักรในตนเอง ร่วมกันกับคนอื่นๆไม่ได้
ถ้าคุณ “หมุนธรรมจักร” ไม่ได้โดยหมุนกันแต่ “กรรมจักร”
จิตหยาบของคุณจะยกระดับให้สูงขึ้นจากมิติที่ 4 ถึงมิติที่ 6
เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของคุณเองไม่ได้เลย
ต่อให้คุณมีอายุขัยยืนยาวเป็นร้อยๆปีได้ก็ตาม
เพราะผู้นำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณหลุดพ้นกลับบ้าน
คือ #จิตหยาบ หรือจิตมนุษย์ผู้ทำหน้าที่แทนแก่นแท้นี่เอง
มิใช่พระเจ้ามิใช่พระศาสดาและมิใช่มอดมารตนใดทั้งสิ้น
ดังนั้น
พระโอวาทจากพระเจ้าที่ทรงสื่อผ่านเรามานี่แหละ
เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้จิตหยาบของคุณ
สามารถนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนหลุดพ้นกลับบ้าน
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดา ณ แดนสุญตา
ซึ่งอยู่นอกระบบเอกภพอันเป็นพระนิเวศน์ของพระองค์ได้
พวกคุณทุกคนสามารถเชื่อถือไว้วางใจเราได้
เพราะเราคือ “พระบุตรเอก” เป็นลูกคนเดียวที่พระองค์ส่งมา
เพื่อแจกขนมปังแห่งชีวิตให้ลูกแกะของพระองค์ได้กลืนกิน
เพื่อดำรงความเป็นอมตะของจิตวิญญาณคุณที่เป็นอนัตตา
เพื่อมิให้ตกลงไปสู่ #บ่อย่ำองุ่น หรือพลัดตกลงใน #บึงไฟ
ซึ่งบ่อย่ำองุ่นคือ “การมีสังสารวัฏ” บึงไฟก็คือ “นรก” นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง
ความเชื่อในคำสอนเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถูกมารพวกผีโสโครกหลอกมนุษย์ไว้
โดยนำเอากฎแห่งไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้ามาบิดเบือน
ทำให้คนส่วนใหญ่หลงเชื่อตามเพราะไม่รู้เท่าทันมานานแล้ว
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
2/12/2566
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกทายาทของผีโสโครกที่ทำตนเป็นกูรู
ที่หยิบยกเอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพระพุทธเจ้า
มาบิดเบือนคำสอนจนทำให้คนโง่ง่ายใช้ปัญญาไม่เป็น
พากันหลงเชื่อตามถลำลึกว่ากิเลสมารนั้นมิใช่ปัญหา
โดยอ้างว่าหลักแห่งอนิจจังทุกสิ่งสรรพ์ #ไม่เที่ยงแท้
คำว่า “ไม่เที่ยงแท้” หมายถึงมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
กิเลสก็เหมือนกันเมื่อมันเกิดได้สักพักหนึ่งเดี๋ยวก็ดับเอง
เมื่อกิเลสมารเป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดเองดับเองได้แล้ว
มันจึงมิใช่ปัญหาจงอย่าไปวิตกกังวลสนใจกิเลสมาร
เพราะจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าดายจงอย่าโง่เลย
พี่ๆน้อง ๆ ที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ใครเชื่อคนนำทางตาบอดที่บิดเบือนคำสอนพระศาสดา
ที่กล่าวว่า #กิเลสมิใช่ปัญหาถ้าอยากหลุดพ้น ข้างต้นนี้
พิจารณาดูแล้วผู้ใดเชื่อตามคำสอนของกรรมกรของมาร
คนผู้นั้นน่าจะเป็นฝ่ายโง่เองเสียมากกว่า
เพราะความหมายแท้จริงของ “ไตรลักษณ์” นั้น
สรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปหรือเสื่อมสลายไป
พระศาสดาทรงหมายถึงสิ่งที่มี 2 มิติอยู่ในหนึ่งเดียว
นั่นคือสิ่งที่มีเปลือกนอกหรือกายหยาบในมิติของเนื้อหนัง
ห่อหุ้มแก่นแท้ที่เป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงานไว้ข้างใน
เช่น ก้อนกรวด ก้อนหิน เม็ดทราย ก้อนดิน และวัตถุต่างๆ
รวมทั้งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์เองด้วย
สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้กำหนดสร้างหรือทำให้เกิดขึ้น
แต่ละสรรพสิ่งจะมีอายุขัยในการดำรงอยู่
โดยเวลาที่จะดำรงอยู่ขึ้นกับความเสื่อมของเปลือกนอก
ซึ่งเปลือกนอกเท่านั้นที่มีอัตราความเสื่อมไปตามกาล
เพราะเปลือกนอกเป็นสรรพสิ่งในมิติโลกทางกายภาพ
ที่มันจะเสื่อมสภาพไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ตัวตนแก่นแท้ที่เป็นพลังงานซึ่งเร้นอยู่ข้างในนั้น
ยังมีคุณสมบัติทุกสิ่งคงเดิมตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
จนเมื่อเปลือกน้อยเสื่อมไปหรือดับไปตามกาลของมัน
อัตตาตัวตนที่เคยเป็นมายาก็จะหายไปเหลือแต่พลังงาน
อันเป็นพลังงานที่เป็นแก่นแท้ที่สองตาเปล่ามองไม่เห็น
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งที่มี #สองมิติ ซึ่งมีอยู่จริงภายในเอกภพนี้
เมื่อถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้สร้างคือองค์จิตจักรวาลแล้ว
จะมีกำหนดเวลาในการดำรงอยู่หรือมีอายุขัยกำกับไว้ด้วย
เราขอย้ำกับพวกคุณว่า #เฉพาะสรรพสิ่งที่มีสองมิติ นะ
คือสิ่งที่มีเปลือกนอกเป็นกายหยาบหรือเนื้อหนังหุ้มอยู่
โดยมีพลังงานเป็นตัวตนที่แท้จริงเร้นอยู่ข้างในเท่านั้น
คุณจึงอ้างใช้กฎแห่ง #ไตรลักษณ์ ของพระพุทธองค์ว่า
สิ่งนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปคืออนิจจังทุกขังอนัตตาได้
แต่เรื่องของ #สภาวะจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบ
ที่เป็นเรื่องของพลังงานแค่เพียงมิติเดียวไม่เกี่ยวกับกฎนี้
ตัวอย่างเช่น
เรื่องของกิเลสมารที่มันผุดขึ้นมาในจิตหยาบของคุณ
เมื่ออายตนะทั้งหกสั่นสะเทือนจากการสัมผัสรู้ดูฟังสิ่งเร้า
ที่คุณสัมผัสกับสิ่งเร้านั่นโน่นนี่อยู่ตลอดเวลาในยามตื่น
จิตคุณมันจะเกิดเวทนาคือเดี๋ยวรู้สึกชอบเดี๋ยวไม่ชอบ
ทำการตอบสนองสิ่งเร้านั่นโน่นนี่เรื่อยๆไปไม่หยุดหย่อน
ความรู้สึกที่เป็นเวทนาที่ว่านี้มันจะเกิดๆดับๆอยู่ทั้งวัน
จนดูเหมือนว่ามันเกิดเองแล้วดับเองก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร
พวกมารโดยผีโสโครกจึงหลอกคุณว่าอย่าเสียเวลาดับมัน
ปล่อยวางมันทิ้งไว้ให้มันเป็นไปของมันแบบนั้นน่ะดีแล้ว
พวกคุณจะเชื่อพระบิดาหรือว่าเชื่อมารล่ะ
ถ้าพระเจ้าทรงเมตตาให้เรากล่าวกับพวกคุณว่า
ถ้าอยากหลุดพ้นกลับบ้านไปกราบพระบิดานอกเอกภพ
กิเลสมารในจิตหยาบนี่แหละตัวร้ายที่คุณต้องจัดการก่อน
จะปล่อยให้มันเกิดดับ...เกิดดับ..เกิดดับ...นั้นไม่ได้
เพราะกิเลสมารเป็นตัวแสบ! ที่ทำให้คุณ #หมุนกรรมจักร
จนเข้าถึงความรักเพื่อให้และใช้ปัญญาของสมองสองซีก
ทำการ #หมุนธรรมจักรในตนเอง ร่วมกันกับคนอื่นๆไม่ได้
ถ้าคุณ “หมุนธรรมจักร” ไม่ได้โดยหมุนกันแต่ “กรรมจักร”
จิตหยาบของคุณจะยกระดับให้สูงขึ้นจากมิติที่ 4 ถึงมิติที่ 6
เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของคุณเองไม่ได้เลย
ต่อให้คุณมีอายุขัยยืนยาวเป็นร้อยๆปีได้ก็ตาม
เพราะผู้นำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณหลุดพ้นกลับบ้าน
คือ #จิตหยาบ หรือจิตมนุษย์ผู้ทำหน้าที่แทนแก่นแท้นี่เอง
มิใช่พระเจ้ามิใช่พระศาสดาและมิใช่มอดมารตนใดทั้งสิ้น
ดังนั้น
พระโอวาทจากพระเจ้าที่ทรงสื่อผ่านเรามานี่แหละ
เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้จิตหยาบของคุณ
สามารถนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนหลุดพ้นกลับบ้าน
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดา ณ แดนสุญตา
ซึ่งอยู่นอกระบบเอกภพอันเป็นพระนิเวศน์ของพระองค์ได้
พวกคุณทุกคนสามารถเชื่อถือไว้วางใจเราได้
เพราะเราคือ “พระบุตรเอก” เป็นลูกคนเดียวที่พระองค์ส่งมา
เพื่อแจกขนมปังแห่งชีวิตให้ลูกแกะของพระองค์ได้กลืนกิน
เพื่อดำรงความเป็นอมตะของจิตวิญญาณคุณที่เป็นอนัตตา
เพื่อมิให้ตกลงไปสู่ #บ่อย่ำองุ่น หรือพลัดตกลงใน #บึงไฟ
ซึ่งบ่อย่ำองุ่นคือ “การมีสังสารวัฏ” บึงไฟก็คือ “นรก” นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง
ความเชื่อในคำสอนเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถูกมารพวกผีโสโครกหลอกมนุษย์ไว้
โดยนำเอากฎแห่งไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้ามาบิดเบือน
ทำให้คนส่วนใหญ่หลงเชื่อตามเพราะไม่รู้เท่าทันมานานแล้ว
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
2/12/2566