20 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 20/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หน้าที่หลักในการปฏิบัติธรรมของมนุษย์โลกทุกคน

มิใช่แค่นั่งกรรมฐานสมาธิซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิก

ด้วยการ “กดข่มจิต” ให้นิ่งสงบชั่วครู่แบบไม้ทับหญ้า

แล้วเรียกปฏิบัติการเช่นนี้ว่า “นั่งสมาธิ” กันเท่านั้น

แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นพระเจ้าทรงหมายถึง

การที่พวกคุณต้องปฏิบัติตนกันในสองประการก็คือ

 

1.ต้องปฏิบัติตนไปตาม #ธรรมดา อย่าหาทำอุตริ

โดยไม่ทำตนให้มันวิปริตผิดเพี้ยนไปจากคนทั่วไป

ซึ่งสาระในประการที่หนึ่งนี้เราได้กล่าวแล้วในบทก่อน

บทนี้เราจะกล่าวในประการที่ 2 ต่อไป

 

2.ต้องปฏิบัติตนไปตาม #ธรรมชาติ ที่คุณควรหาทำ

คำว่า “หาทำ” ในที่นี้เราหมายถึงคุณจะต้องแสวงหา

เพื่อเข้าถึงสัจธรรมความจริงที่พระเจ้าทรงฝากแฝงไว้

กับสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทรงสร้างไว้รายรอบตัวคุณเอง

ด้วยการใช้กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นมันให้พบให้ได้

อย่าให้เป็นแบบ “ถี่ลอดตาช้าง ถ่างลอดตาเล็น”

คือสัมผัสทุกสิ่งเพียงแค่ผิวเผินหรือมองอย่างไร้มิติ

ด้วยการรับรู้แล้วไม่เรียนรู้เก่งแต่รับรู้แล้วรับเอาเท่านั้น

 

คุณจึงต้องเป็นคนช่างสังเกตสิ่งแวดล้อมเอาไว้เสมอ

มิใช่เสแสร้งแกล้งทำให้กลไกอายตนะที่ดีอยู่มืดบอด

ตามที่พวกมารซึ่งเป็นจิตวิญญาณผีโสโครกหลอกไว้

ถ้าต้องการเข้าถึงสัจธรรมแท้จริงในธรรมชาติแวดล้อม

เพื่อนำความจริงจากสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติทั้งหลาย

มาเรียนรู้ให้เข้าใจและเลียนแบบในการปฏิบัติทำ

คุณจึงต้องเตรียมตนเองให้พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมชาติ

เพื่อค้นหาสัจธรรมด้วยตนเองโดยไม่ถูกหลอกลวง

เพราะว่าคุณเข้าถึงการใช้อำนาจในตนเองที่มีอยู่ไม่ได้

ที่เข้าถึงไม่ได้ก็เพราะว่าคุณใช้มันไม่เป็นนั่นเอง

นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ต้องมีเพื่อเข้าถึงอำนาจของตนได้

โดยอำนาจในตนเองของคุณที่ต้องใช้มี 9 อย่างดังนี้

 

1.อำนาจในการใช้กลไกอายตนะทั้งห้า

2.อำนาจในการใช้ปัญญาของสมองทั้งสองซีก

3.อำนาจในการใช้จิตสามนึกของตนเองที่มีอยู่

4.อำนาจในการใช้อวัยวะร่างกายปฏิบัติทำ

5.อำนาจในการรักผู้อื่นได้อย่างไร้เงื่อนไข

6.อำนาจในการเป็นผู้นำและเป็นผู้ตามที่ดี

7.อำนาจในการคิดและการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

8.อำนาจในการเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

9.อำนาจในการเปลี่ยนโลกโดยเปลี่ยนที่ตนเอง

 

อำนาจทั้ง 9 อย่างดังกล่าวนี้

คุณต้องเรียนรู้และฝึกฝนจนเกิดทักษะความชำนาญ

ด้วยวิธีการค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

เพราะไม่มีสถาบันใดเขาเปิดคอร์สสอนให้คุณได้

นอกจากสั่งสมประสบการณ์เอาจากชีวิตจริงเท่านั้น

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าต้องฝึกตนเองให้เชี่ยวชาญการใช้อายตนะทั้งห้า

ที่เป็นตาหูจมูกปากลิ้นและกายสัมผัสให้เชี่ยวชาญแล้ว

คุณกลับทำตนเป็นคนพิการด้วยการปิดหูปิดตาปิดวาจา

แล้วคุณจะมีความชำนาญในการใช้งานมันได้อย่างไร

ที่สำคัญก็คือคุณจะไม่อาจค้นพบสัจธรรมในธรรมชาติ

ที่พระองค์ทรงฝากแฝงเอาไว้ให้บุตรมนุษย์เรียนรู้เลย

 

ขณะที่คนจำนวนมากแม้มิได้แกล้งทำตนเป็นคนพิการ

ก็ยังเป็นพวก “หูหนาตาเซ่อ” มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป

เพราะไม่สร้างนิสัยให้เป็นคนช่างสังเกตมาตั้งแต่เด็ก

เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์ของพวกคุณนี่แหละ

บกพร่องในการสอนเด็กในวันนั้นจนมาโตกันในวันนี้

โดเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยจะมีคุณภาพกันสักเท่าไหร่

 

การเป็นคน #ช่างสังเกต หมายถึง

ตาต้องไวต่อสิ่งที่มันเป็นพิรุธหรือที่มันผิดไปจากปกติ

หูต้องไวต่อสิ่งที่ได้ยินไม่ว่าจะเป็นน้ำคำน้ำเสียงน้ำใจ

จะทำตนเป็นคนมองไม่เห็นในสิ่งที่คนอื่นๆเขาแลเห็น

จะทำตนเป็นคนไม่ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นๆเขาล้วนได้ยิน

ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จัดว่าเป็นคนที่ไม่ช่างสังเกตนั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าต้องการเข้าถึงพลังอำนาจทางปัญญาของสมอง

คุณก็ต้องฝึกเป็นคนไม่กลัวปัญหากล้าเผชิญหน้า

คุณต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ในการแก้ปัญหานั้นเองได้

มิใช่เมื่อเจอปัญหาแล้วมองหาคนอื่นให้มาช่วยเหลือ

โดยไม่คิดหาวิธีจัดการกับปัญหาที่ตนเผชิญอยู่นั้นเลย

 

จงจำไว้ว่าถ้าคุณมองหาสิ่งใดคุณก็จะพบแต่สิ่งนั้น

ถ้ามองหาตัวตนของคนที่ต้องการให้เขามาช่วยเหลือ

คุณก็จะแลเห็นแต่คนนั้นคนนี้โดยมีปัญหาเพิ่มมาอีกว่า

คุณจะเลือกใครคนไหนที่มั่นใจว่าเขาช่วยเหลือได้แน่

ถ้าเลือกคนผิดมาให้คำชี้แนะผิดมันก็จะเกิดปัญหาเพิ่ม

ซึ่งโอกาสที่คุณจะตัดสินใจเลือกคนผิดมีสูงยิ่ง

เพราะว่าคุณเป็นคนด้อยปัญญาเนื่องจากขี้เกียจคิด

ทำให้สมองเสื่อมสมรรถภาพจนขาดทักษะในการคิด

 

มนุษย์โลกไม่รู้ว่า

เซลล์สมองของพวกคุณซึ่งเป็นเซลล์ประสาทนั้น

ทันทีที่จิตออกสตาร์ทด้วยการนึกออกนึกเอานึกเอง

ไม่ว่าจะนึกเรื่องอะไรไม่ว่าจะนึกดีหรือว่านึกชั่วก็ตาม

สมองจะสั่นสะเทือนตามจิตที่นึกเพื่อคิดตามเสมอ

ถ้าจิตสั่นสะเทือนเป็นการนึกด้วยกิเลสเมื่อไหร่

สมองซีกซ้ายก็จะรับงานนั้นเพื่อการคิดตามด้วยกิเลส

ที่เรียกว่า “การหมุนกรรมจักรในตนเอง” นั่นแหละ

 

แต่ถ้าจิตคุณในขณะนั้นว่างไปจากกิเลสคือจิตสงบ

การนึกและคิดสิ่งนั้นเรื่องนั้นก็จะใสสะอาดตรงจริง

ที่เรียกว่า “รับรู้มาเรียนรู้” มิใช่ “รับรู้แล้วรับเอา”

เพราะในสภาวะจิตไม่มีกิเลสมารเข้าสอดแทรก

จึงยังผลให้คุณมองเห็นโลกและทุกสิ่งไปตามจริงได้

ที่เรียกว่า “การหมุนธรรมจักรในตนเอง” นั่นแหละ

 

ขณะที่คุณกำลังใช้ความคิดโดยจิตกับสมองอยู่นั้น

มันจะกระตุ้นให้เซลล์สมองส่วนที่คุณใช้งานนั้นตื่นตัว

การตื่นตัวของเซลล์สมองทำให้เกิดการ “สั่นสะเทือน”

เมื่อเซลล์สมองซีกส่วนนั้นเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา

มันจะแผ่สนามแม่เหล็กออกมาภายนอกให้ตรวจวัดได้

ความเข้มสนามแม่เหล็กสมองที่เกิดขึ้นมาในขณะนั้น

จะเป็นตัวชี้วัดความฉลาดทางปัญญาของคนๆนั้นว่า

ฉลาดมากหรือฉลาดน้อยหรือไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่

ขณะที่เซลล์สมองซึ่งกำลังสั่นสะเทือนอย่างเต็มที่นั้น

ก็จะเปล่งประกายไฟออกมาระยิบระยับวับแวมกันด้วย

 

ถ้าจะบอกความจริงกับพวกคุณว่า

ปรากฏการณ์ภายในกะโหลกศีรษะที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้

พระเจ้าหรือพระผู้สร้างทรงถอดแบบมาจากภาพจริง

ที่พวกคุณมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วแลเห็นความมืด

ซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับวับๆแวมๆจนเต็มฟ้า

จำนวนเซลล์สมองของพวกคุณจึงเท่ากับจำนวนดาว

ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นไว้จริงๆในเอกภพอันไพศาลนี้

 

ถ้าคืนใดฟ้าโปร่งและมีดวงดาวส่งแสงระยิบระยับมาก

แสงดาวทุกดวงเมื่อรวมกันทำให้ฟ้ามืดกลับสว่างได้

หากคุณมีปัญหาต้องขบคิดแล้วสั่นสะเทือนเซลล์สมอง

ให้ตื่นตัวขึ้นมาช่วยคุณคิดได้จำนวนมากเท่าไหร่

ความฉลาดทางปัญญาหรือความสว่างที่เกิดขึ้นนั้น

จะทำให้ความมืดหรือความไม่รู้เปลี่ยนเป็นสว่างได้

 

คนโบราณจึงใช้คำว่า “มืดแปดด้าน” เมื่อคิดไม่ออก

ใช้คำว่า “สว่างโร่เลย” เมื่อคิดแก้ไขปัญหานั้นออกได้

 

คุณจะเห็นได้ว่าพลังอำนาจทั้ง 2 อย่างใน 9 อย่าง

ซึ่งมันล้วนแล้วแต่มีอยู่ในตัวคุณเองด้วยกันอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าคุณมีปัญญาเข้าถึงการใช้งานมันหรือไม่

คุณใส่ใจในประโยชน์เพราะเห็นคุณค่ามันหรือเปล่า

โดยที่คุณจะเข้าถึงอำนาจของมันได้ด้วยการฝึกฝน

ตามกระบวนการ #ไซโคโชว์ ของปริญญา

ซึ่งเป็นการฝึกตนเองด้วยการปฏิบัติในชีวิตจริง

โดยมีสิ่งแวดล้อมกับคนรอบข้างทั้งใกล้ไกลในสังคม

เป็นครูผู้ทดสอบเป็นครูผู้ให้บทเรียนผลัดเปลี่ยนกันไป

แทนที่จะนั่งทำตนเป็นคนหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้

จนมองธรรมชาติแวดล้อมของพระบิดาไม่เห็นอะไร

เพราะเชื่อตามคำสอนของพวกมารที่ใช้กลอุบายแฝง

จึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสัจธรรมคำสอนของพระศาสดา

 

ดังนั้น

อำนาจในตนเองทั้ง 9 ประการนี่แหละ

คุณจะเข้าถึงมันขณะที่ยังหลงคิดว่าตนเจ๋งก็ไม่ได้

ยังหลงยึดติดตัวตนพวกคนนำทางตาบอดก็ไม่ได้

ยังหลงยึดติดกับอิทธิฤทธิ์ของผู้ไม่หวังดีก็ไม่ได้

ยังหลงก้าวตามพวกมารอย่างว่าง่ายกันอยู่ก็ไม่ได้

ยังไม่ใส่ใจพระโอวาทของพระเจ้าที่เราสื่อมาก็ไม่ได้

ยังนึกว่าจะไม่คิดตามคำกล่าวของเราอยู่ก็ไม่ได้

 

ยังเชื่อว่าสวรรค์มายาเป็นแดนนิพพานอยู่ก็ไม่ได้

ยังเชื่อว่ามาเกิดเป็นมนุษย์เป็นทุกข์อย่างยิ่งก็ไม่ได้

ยังเชื่อว่าไปอยู่บนสวรรค์มายาดีกว่าเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้

ยังเชื่อว่านั่งกรรมฐานทำให้นิพพานทุกสิ่งได้ก็ไม่ได้

ยังเชื่อว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาของจิตวิญญาณก็ไม่ได้

 

ยังเชื่อว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้เรื่องอริยสัจสี่ก็ไม่ได้

ยังเชื่อว่าพระเยซูทรงยอมถูกตรึงบนไม้กางแขน

จนสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยไถ่บาปแทนมนุษย์ก็ไม่ได้

 

ถ้าพวกคุณยังหลงทางมารกันอยู่

ถ้าพวกคุณยังเป็นคนไม่เอาถ่านไม่เอาไหนกันอยู่

ถ้าพวกคุณยังตอบไม่ได้ว่าตนเป็นใคร

มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม

ใครเป็นผู้อนุญาตให้คุณมาเกิดบนโลกนี้

ความมีจิตสามนึกที่จะยกระดับจิตตปัญญาของตน

เพื่อเข้าถึงอำนาจสูงสุดใน 9 ประการเหล่านั้น

มันจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตพวกคุณได้อย่างยากยิ่ง

 

บทต่อไปเราจะกล่าวถึงตัวอย่างการปฏิบัติธรรม

ในความหมายที่สอง คือ #ธรรมชาติ โปรดติดตาม

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

20/12/2566