#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่หลักในการปฏิบัติธรรมของมนุษย์โลกทุกคน
มิใช่แค่นั่งกรรมฐานสมาธิซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิก
ด้วยการ “กดข่มจิต”
ให้นิ่งสงบชั่วครู่แบบไม้ทับหญ้า
แล้วเรียกปฏิบัติการเช่นนี้ว่า
“นั่งสมาธิ” กันเท่านั้น
แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นพระเจ้าทรงหมายถึง
การที่พวกคุณต้องปฏิบัติตนกันในสองประการก็คือ
1.ต้องปฏิบัติตนไปตาม #ธรรมดา อย่าหาทำอุตริ
โดยไม่ทำตนให้มันวิปริตผิดเพี้ยนไปจากคนทั่วไป
ซึ่งสาระในประการที่หนึ่งนี้เราได้กล่าวแล้วในบทก่อน
บทนี้เราจะกล่าวในประการที่ 2 ต่อไป
2.ต้องปฏิบัติตนไปตาม #ธรรมชาติ ที่คุณควรหาทำ
คำว่า “หาทำ”
ในที่นี้เราหมายถึงคุณจะต้องแสวงหา
เพื่อเข้าถึงสัจธรรมความจริงที่พระเจ้าทรงฝากแฝงไว้
กับสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทรงสร้างไว้รายรอบตัวคุณเอง
ด้วยการใช้กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นมันให้พบให้ได้
อย่าให้เป็นแบบ “ถี่ลอดตาช้าง
ถ่างลอดตาเล็น”
คือสัมผัสทุกสิ่งเพียงแค่ผิวเผินหรือมองอย่างไร้มิติ
ด้วยการรับรู้แล้วไม่เรียนรู้เก่งแต่รับรู้แล้วรับเอาเท่านั้น
คุณจึงต้องเป็นคนช่างสังเกตสิ่งแวดล้อมเอาไว้เสมอ
มิใช่เสแสร้งแกล้งทำให้กลไกอายตนะที่ดีอยู่มืดบอด
ตามที่พวกมารซึ่งเป็นจิตวิญญาณผีโสโครกหลอกไว้
ถ้าต้องการเข้าถึงสัจธรรมแท้จริงในธรรมชาติแวดล้อม
เพื่อนำความจริงจากสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติทั้งหลาย
มาเรียนรู้ให้เข้าใจและเลียนแบบในการปฏิบัติทำ
คุณจึงต้องเตรียมตนเองให้พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมชาติ
เพื่อค้นหาสัจธรรมด้วยตนเองโดยไม่ถูกหลอกลวง
เพราะว่าคุณเข้าถึงการใช้อำนาจในตนเองที่มีอยู่ไม่ได้
ที่เข้าถึงไม่ได้ก็เพราะว่าคุณใช้มันไม่เป็นนั่นเอง
นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ต้องมีเพื่อเข้าถึงอำนาจของตนได้
โดยอำนาจในตนเองของคุณที่ต้องใช้มี
9 อย่างดังนี้
1.อำนาจในการใช้กลไกอายตนะทั้งห้า
2.อำนาจในการใช้ปัญญาของสมองทั้งสองซีก
3.อำนาจในการใช้จิตสามนึกของตนเองที่มีอยู่
4.อำนาจในการใช้อวัยวะร่างกายปฏิบัติทำ
5.อำนาจในการรักผู้อื่นได้อย่างไร้เงื่อนไข
6.อำนาจในการเป็นผู้นำและเป็นผู้ตามที่ดี
7.อำนาจในการคิดและการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
8.อำนาจในการเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
9.อำนาจในการเปลี่ยนโลกโดยเปลี่ยนที่ตนเอง
อำนาจทั้ง 9 อย่างดังกล่าวนี้
คุณต้องเรียนรู้และฝึกฝนจนเกิดทักษะความชำนาญ
ด้วยวิธีการค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เพราะไม่มีสถาบันใดเขาเปิดคอร์สสอนให้คุณได้
นอกจากสั่งสมประสบการณ์เอาจากชีวิตจริงเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น
ถ้าต้องฝึกตนเองให้เชี่ยวชาญการใช้อายตนะทั้งห้า
ที่เป็นตาหูจมูกปากลิ้นและกายสัมผัสให้เชี่ยวชาญแล้ว
คุณกลับทำตนเป็นคนพิการด้วยการปิดหูปิดตาปิดวาจา
แล้วคุณจะมีความชำนาญในการใช้งานมันได้อย่างไร
ที่สำคัญก็คือคุณจะไม่อาจค้นพบสัจธรรมในธรรมชาติ
ที่พระองค์ทรงฝากแฝงเอาไว้ให้บุตรมนุษย์เรียนรู้เลย
ขณะที่คนจำนวนมากแม้มิได้แกล้งทำตนเป็นคนพิการ
ก็ยังเป็นพวก “หูหนาตาเซ่อ”
มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
เพราะไม่สร้างนิสัยให้เป็นคนช่างสังเกตมาตั้งแต่เด็ก
เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์ของพวกคุณนี่แหละ
บกพร่องในการสอนเด็กในวันนั้นจนมาโตกันในวันนี้
โดเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยจะมีคุณภาพกันสักเท่าไหร่
การเป็นคน #ช่างสังเกต หมายถึง
ตาต้องไวต่อสิ่งที่มันเป็นพิรุธหรือที่มันผิดไปจากปกติ
หูต้องไวต่อสิ่งที่ได้ยินไม่ว่าจะเป็นน้ำคำน้ำเสียงน้ำใจ
จะทำตนเป็นคนมองไม่เห็นในสิ่งที่คนอื่นๆเขาแลเห็น
จะทำตนเป็นคนไม่ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นๆเขาล้วนได้ยิน
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จัดว่าเป็นคนที่ไม่ช่างสังเกตนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
ถ้าต้องการเข้าถึงพลังอำนาจทางปัญญาของสมอง
คุณก็ต้องฝึกเป็นคนไม่กลัวปัญหากล้าเผชิญหน้า
คุณต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ในการแก้ปัญหานั้นเองได้
มิใช่เมื่อเจอปัญหาแล้วมองหาคนอื่นให้มาช่วยเหลือ
โดยไม่คิดหาวิธีจัดการกับปัญหาที่ตนเผชิญอยู่นั้นเลย
จงจำไว้ว่าถ้าคุณมองหาสิ่งใดคุณก็จะพบแต่สิ่งนั้น
ถ้ามองหาตัวตนของคนที่ต้องการให้เขามาช่วยเหลือ
คุณก็จะแลเห็นแต่คนนั้นคนนี้โดยมีปัญหาเพิ่มมาอีกว่า
คุณจะเลือกใครคนไหนที่มั่นใจว่าเขาช่วยเหลือได้แน่
ถ้าเลือกคนผิดมาให้คำชี้แนะผิดมันก็จะเกิดปัญหาเพิ่ม
ซึ่งโอกาสที่คุณจะตัดสินใจเลือกคนผิดมีสูงยิ่ง
เพราะว่าคุณเป็นคนด้อยปัญญาเนื่องจากขี้เกียจคิด
ทำให้สมองเสื่อมสมรรถภาพจนขาดทักษะในการคิด
มนุษย์โลกไม่รู้ว่า
เซลล์สมองของพวกคุณซึ่งเป็นเซลล์ประสาทนั้น
ทันทีที่จิตออกสตาร์ทด้วยการนึกออกนึกเอานึกเอง
ไม่ว่าจะนึกเรื่องอะไรไม่ว่าจะนึกดีหรือว่านึกชั่วก็ตาม
สมองจะสั่นสะเทือนตามจิตที่นึกเพื่อคิดตามเสมอ
ถ้าจิตสั่นสะเทือนเป็นการนึกด้วยกิเลสเมื่อไหร่
สมองซีกซ้ายก็จะรับงานนั้นเพื่อการคิดตามด้วยกิเลส
ที่เรียกว่า
“การหมุนกรรมจักรในตนเอง” นั่นแหละ
แต่ถ้าจิตคุณในขณะนั้นว่างไปจากกิเลสคือจิตสงบ
การนึกและคิดสิ่งนั้นเรื่องนั้นก็จะใสสะอาดตรงจริง
ที่เรียกว่า “รับรู้มาเรียนรู้”
มิใช่ “รับรู้แล้วรับเอา”
เพราะในสภาวะจิตไม่มีกิเลสมารเข้าสอดแทรก
จึงยังผลให้คุณมองเห็นโลกและทุกสิ่งไปตามจริงได้
ที่เรียกว่า
“การหมุนธรรมจักรในตนเอง” นั่นแหละ
ขณะที่คุณกำลังใช้ความคิดโดยจิตกับสมองอยู่นั้น
มันจะกระตุ้นให้เซลล์สมองส่วนที่คุณใช้งานนั้นตื่นตัว
การตื่นตัวของเซลล์สมองทำให้เกิดการ
“สั่นสะเทือน”
เมื่อเซลล์สมองซีกส่วนนั้นเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา
มันจะแผ่สนามแม่เหล็กออกมาภายนอกให้ตรวจวัดได้
ความเข้มสนามแม่เหล็กสมองที่เกิดขึ้นมาในขณะนั้น
จะเป็นตัวชี้วัดความฉลาดทางปัญญาของคนๆนั้นว่า
ฉลาดมากหรือฉลาดน้อยหรือไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่
ขณะที่เซลล์สมองซึ่งกำลังสั่นสะเทือนอย่างเต็มที่นั้น
ก็จะเปล่งประกายไฟออกมาระยิบระยับวับแวมกันด้วย
ถ้าจะบอกความจริงกับพวกคุณว่า
ปรากฏการณ์ภายในกะโหลกศีรษะที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้
พระเจ้าหรือพระผู้สร้างทรงถอดแบบมาจากภาพจริง
ที่พวกคุณมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วแลเห็นความมืด
ซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับวับๆแวมๆจนเต็มฟ้า
จำนวนเซลล์สมองของพวกคุณจึงเท่ากับจำนวนดาว
ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นไว้จริงๆในเอกภพอันไพศาลนี้
ถ้าคืนใดฟ้าโปร่งและมีดวงดาวส่งแสงระยิบระยับมาก
แสงดาวทุกดวงเมื่อรวมกันทำให้ฟ้ามืดกลับสว่างได้
หากคุณมีปัญหาต้องขบคิดแล้วสั่นสะเทือนเซลล์สมอง
ให้ตื่นตัวขึ้นมาช่วยคุณคิดได้จำนวนมากเท่าไหร่
ความฉลาดทางปัญญาหรือความสว่างที่เกิดขึ้นนั้น
จะทำให้ความมืดหรือความไม่รู้เปลี่ยนเป็นสว่างได้
คนโบราณจึงใช้คำว่า “มืดแปดด้าน”
เมื่อคิดไม่ออก
ใช้คำว่า “สว่างโร่เลย”
เมื่อคิดแก้ไขปัญหานั้นออกได้
คุณจะเห็นได้ว่าพลังอำนาจทั้ง 2 อย่างใน 9 อย่าง
ซึ่งมันล้วนแล้วแต่มีอยู่ในตัวคุณเองด้วยกันอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าคุณมีปัญญาเข้าถึงการใช้งานมันหรือไม่
คุณใส่ใจในประโยชน์เพราะเห็นคุณค่ามันหรือเปล่า
โดยที่คุณจะเข้าถึงอำนาจของมันได้ด้วยการฝึกฝน
ตามกระบวนการ #ไซโคโชว์ ของปริญญา
ซึ่งเป็นการฝึกตนเองด้วยการปฏิบัติในชีวิตจริง
โดยมีสิ่งแวดล้อมกับคนรอบข้างทั้งใกล้ไกลในสังคม
เป็นครูผู้ทดสอบเป็นครูผู้ให้บทเรียนผลัดเปลี่ยนกันไป
แทนที่จะนั่งทำตนเป็นคนหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้
จนมองธรรมชาติแวดล้อมของพระบิดาไม่เห็นอะไร
เพราะเชื่อตามคำสอนของพวกมารที่ใช้กลอุบายแฝง
จึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสัจธรรมคำสอนของพระศาสดา
ดังนั้น
อำนาจในตนเองทั้ง 9 ประการนี่แหละ
คุณจะเข้าถึงมันขณะที่ยังหลงคิดว่าตนเจ๋งก็ไม่ได้
ยังหลงยึดติดตัวตนพวกคนนำทางตาบอดก็ไม่ได้
ยังหลงยึดติดกับอิทธิฤทธิ์ของผู้ไม่หวังดีก็ไม่ได้
ยังหลงก้าวตามพวกมารอย่างว่าง่ายกันอยู่ก็ไม่ได้
ยังไม่ใส่ใจพระโอวาทของพระเจ้าที่เราสื่อมาก็ไม่ได้
ยังนึกว่าจะไม่คิดตามคำกล่าวของเราอยู่ก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่าสวรรค์มายาเป็นแดนนิพพานอยู่ก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่ามาเกิดเป็นมนุษย์เป็นทุกข์อย่างยิ่งก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่าไปอยู่บนสวรรค์มายาดีกว่าเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่านั่งกรรมฐานทำให้นิพพานทุกสิ่งได้ก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาของจิตวิญญาณก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้เรื่องอริยสัจสี่ก็ไม่ได้
ยังเชื่อว่าพระเยซูทรงยอมถูกตรึงบนไม้กางแขน
จนสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยไถ่บาปแทนมนุษย์ก็ไม่ได้
ถ้าพวกคุณยังหลงทางมารกันอยู่
ถ้าพวกคุณยังเป็นคนไม่เอาถ่านไม่เอาไหนกันอยู่
ถ้าพวกคุณยังตอบไม่ได้ว่าตนเป็นใคร
มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
ใครเป็นผู้อนุญาตให้คุณมาเกิดบนโลกนี้
ความมีจิตสามนึกที่จะยกระดับจิตตปัญญาของตน
เพื่อเข้าถึงอำนาจสูงสุดใน 9 ประการเหล่านั้น
มันจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตพวกคุณได้อย่างยากยิ่ง
บทต่อไปเราจะกล่าวถึงตัวอย่างการปฏิบัติธรรม
ในความหมายที่สอง คือ #ธรรมชาติ โปรดติดตาม
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
20/12/2566