#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มนุษย์ถูก “ล้างสมอง” ให้ปฏิเสธ #พระเจ้า ตลอดมา
ทั้ง
ๆที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกชนชาติทุกเผ่า
รวมทั้งจิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกทุกตัวด้วย
โดยมีวิธีการล้างสมองหลายวิธีด้วยกันดังนี้
1.หลอกว่าจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคนเป็นดั่งลูกกำพร้า
หัวนอนปลายตีนไม่มีจึงพเนจรร่อนเร่ไปทั่วในจักรวาลนี้
#ซึ่งเป็นความเท็จมิใช่ความจริง
เนื่องจากเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่อาจรู้ความจริงเองได้
อีกทั้งไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามันจริงหรือเท็จจึงต้องเชื่อตาม
โดยอาศัยความรู้สึกกับความศรัทธาในตัวตนของคนกล่าว
เป็นตัวชี้วัดตัดสินคำกล่าวนั้นว่าน่าเชื่อถือได้ว่าจริง
อันเป็นการเชื่อตามโดยมิได้ใช้ปัญญาแต่ใช้กิเลสแทน
เมื่อเป็นเช่นนี้
พระพุทธองค์จึงทรงมีคำสอนเอาไว้ว่า
#ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุคือมีเหตุแห่งการเกิดกันทั้งสิ้น
#ถ้าเหตุดับทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็จะดับตามไปด้วยเสมอ
ทรงหมายความว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์ก็เป็นสรรพสิ่งหนึ่งในจักรวาล
ทุกรูปธรรมจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีผู้ให้กำเนิดไม่ได้
ถ้าไม่มีผู้ให้กำเนิดก็จะไม่มีจิตวิญญาณซัดเซพเนจร
ตามที่ผีโสโครกหรือพวกมารนำมาหลอกลวงมนุษย์ได้
เพราะมนุษย์ถูกหลอกให้ใช้ #ความเชื่อ ซึ่งเป็นกิเลส
จากการเพาะบ่มและฝึกฝนให้เสพติดกิเลสกันมานาน
จึงขาดความชำนาญในการใช้ความคิดด้วยสติปัญญา
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงติดตั้งสมองเอาไว้ให้ใช้
มนุษย์ส่วนใหญ่จึงเคยชินเคยใช้กิเลสมากกว่าใช้ปัญญา
การนึกคิดพูดทำทุกสิ่งในชีวิตจึงถูกขับเคลื่อนด้วยกิเลส
จนไม่สามารถเข้าถึงการหมุนธรรมจักรในตนเองได้
อีกทั้งพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาด้วยอำนาจกิเลสนั้น
ยังเป็นเงื่อนไขด้านลบของคนรอบข้างทุกคนโดยไม่รู้ตัว
จึงได้แต่หมุนกรรมจักรร่วมกันทำให้ทุกคนเป็นผู้ล้มเหลว
เป็นผู้เสียชาติเกิดเพราะใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกไม่ได้
มนุษย์จึงตั้งหน้าตั้งตาทำทุกสิ่งเพื่อตนเองกับพวกตัว
ซึ่งเป็นไปตามอำนาจของกิเลสมารในจิตหยาบของตน
จนไม่สามารถทำเพื่อโลกและเพื่อนมนุษย์ทุกคนได้เลย
โดยการทำเพื่อเพื่อนร่วมโลกและเพื่อนมนุษย์ทุกคนนี้
พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า #เวไนยสัตว์ทั้งหลาย นั่นเอง
ดังนั้น
เพราะถูกกิเลสมารครอบงำอยู่
จึงทำให้พวกคุณมีสมองแต่ใช้มันไม่เป็นใช้มันไม่ได้
เมื่อใช้สมองไม่เป็นหรือใช้มันไม่ได้คุณจึงต้องเป็นคนโง่
คำว่า #โง่ แปลว่ามีสติปัญญาของสมองอยู่แต่ไม่ใช้
เหตุผลที่โง่จนเข้าถึง “สติปัญญา”
ไม่ได้ก็เพราะขาดสติ
สาเหตุที่ #ขาดสติ ก็เพราะจิตเป็นทาสของกิเลสอยู่
ถ้ารู้อย่างนี้แล้วคุณจึงต้องทำให้ตนเองหายโง่โดยพลัน
โดยใช้มหาสติคุมจิตหยาบของตนไว้มิให้เป็นทาสกิเลส
เพื่อการมองโลกไปตามความจริงที่จะรับรู้โดยไม่รับเอา
เป็นการสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งเพื่อเรียนรู้โดยไม่ปรุงแต่ง
ซึ่งเป็นการมองโลกผ่านแว่นตาเลนส์ใสไม่ใช่เลนส์สี
จนยังผลให้ภาพที่มองนั้นผิดเพี้ยนไปจากความจริงได้
เพราะการมองผิดฟังผิดมันล้วนแต่จะทำให้คุณ
#เห็นผิด
เมื่อมีการเห็นผิดแล้วการนึกผิดคิดผิดพูดผิดและทำผิด
ก็จะเป็นผลสืบเนื่องที่มันจะเกิดขึ้นตามมาด้วยเสมอ
เพราะมนุษย์ถูกกิเลสมารครอบงำ
จึงไม่สามารถคิดต่อกันได้เองทั้ง
ๆที่ตนมีสมองอยู่ว่า
จิตวิญญาณที่ถูกมารหลอกว่าเป็นผู้พเนจรและกำพร้านั้น
ทุกรูปธรรมมาจากไหนและเกิดมีตัวตนขึ้นมาได้อย่างไร
จึงมีตัวตนดำรงอยู่ในจักรวาลอันไพศาลนี้กับเขาได้
นี่แค่เพียงการใช้จิตตปัญญาตั้งคำถามตนเองเพื่อคิด
มนุษย์ที่เป็นทาสกิเลสอยู่ก็ไม่ฉลาดถามตนเองกันแล้ว
เมื่อไม่ฉลาดถามตนเองคุณก็จะได้คำตอบที่ฉลาดไม่ได้
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #กิเลสเป็นเหตุให้โง่ โดยแท้
นอกจากนั้น
ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นสัจธรรมระดับโลกียธรรม
ไม่มีทารกรูปธรรมใดในโลกนี้ที่เป็นเด็กกำพร้าแม้สักคน
เป็นเด็กกำพร้าหรือเด็กอนาถาที่เกิดขึ้นมาเองได้
โดยไม่ต้องมีพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าหรือเป็นผู้ให้กำเนิด
หรือเป็นเด็กกำพร้าเด็กอนาถาที่เกิดมาจากรูหนอนรูไหน
เป็นเด็กกำพร้าที่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ในแบบข้าวหลาม
เพราะเด็กกำพร้าหรือเด็กอนาถาทั้งหลาย
ต่างล้วนต้องมีพ่อแม่ทำให้พวกเขาเกิดมามีตัวตนทั้งนั้น
เมื่อพ่อแม่ตายหมดหรือถูกพ่อแม่ไข่แล้วทิ้งเขาไป
พวกเขาจึงตกที่นั่งเป็น #เด็กกำพร้า ไปในที่สุด
จิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีตัวตนอยู่
มาเกิดเป็นคนสองมิติเพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์นั้น
ทุกรูปธรรมก็มีที่มาและมีผู้ให้กำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น
จิตวิญญาณของพวกคุณจึงมิใช่เด็กเร่ร่อนมิใช่ผู้พเนจร
มิได้เป็นรูปธรรมอนาถาน่าเวทนาเหมือนหมาข้างถนน
แต่เป็นจิตวิญญาณที่สูงส่งผู้มาจากพระบิดาผู้ให้กำเนิด
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่อยู่ในเอกภพตรงพิกัดโลกเสรีนี้
ในการใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกผ่านการหมุนธรรมจักร
เพื่อช่วยให้โลกสมดุลและทำให้เอกภพสมดุลไปด้วย
เพราะเอกภพนี้เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา
ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้ว่าทรงทำสิ่งใดได้บ้าง
จิตวิญญาณพวกคุณล้วนเป็นผู้อาสาพระองค์ข้ามมิติมา
เพื่อช่วยพิสูจน์ทดลองในสิ่งที่ทรงต้องการเรียนรู้ให้ได้รู้
โดยใช้เวลานาน 1
ยุค คือ 60,000 ปีโลกแล้วกลับบ้าน
คือต้องทำหน้าที่อยู่ประจำโลกจนสิ้นยุคโดยไม่ต้องตาย
แปลว่าพวกคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นอมตะมีอายุขัยยืนยาวได้
โดยไม่ต้องมีภพชาติและไม่ต้องมีสังสารวัฏอะไรด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง
มนุษย์ทุกคนจึงมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ผู้สูงส่ง
เป็นจิตวิญญาณที่มีผู้ให้กำเนิดเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
จึงเป็นจิตวิญญาณซึ่งเป็นพระจิตผู้มาจากพระเจ้า
ซึ่งพวกคุณล้วนเป็นผู้ “สืบสกุล”
มาจากพระผู้เป็นเจ้า
ตามที่เรากล่าวข้างต้นว่าจิตวิญญาณคุณมิใช่ผู้ต่ำต้อย
โดยเราเปรียบผู้ต่ำต้อยว่าเป็นดั่งหมาข้างถนน
คำว่า “หมาข้างถนน” หมายถึง สุนัขจรจัด
สุนัขจรจัดก็คือสุนัขจำพวกที่ไม่มีบ้านไม่มีคนเลี้ยง
หน้าที่ของพวกมันก็คือเร่ร่อนหากินกันไปเรื่อย
ๆ
มีกินที่ไหนก็อยู่กินที่นั่นค่ำมืดที่ไหนก็หลับนอนที่นั่น
ที่สำคัญคือหมาจรจัดมันก็มีพ่อหมาแม่หมาให้กำเนิด
ส่วนจิตวิญญาณของพวกคุณนั้นมีบ้านเกิดเมืองนอน
มาเกิดบนโลกเพราะมีหน้าที่สำคัญให้ทำอย่างมีเกียรติ
มิได้ซัดเซพเนจรพลัดพลงเข้ามาภายในระบบโลก
แล้วหิวโหยจนตะกละตะกลามกัดกิน “ง้วนดิน”
เข้าไป
ทำให้เกิดมีกายหยาบเป็นรูปธรรมมนุษย์ขึ้นมาโดยพลัน
ตามคำกล่าวของคนนำทางตาบอดที่สื่อผ่านมาจากมาร
เพื่อการดูถูกเหยียดหยามทำนองว่าพวกคุณนั้นต่ำชั้น
เพราะเกิดมาจากสิ่งสกปรกโสมมคือง้วนดินนั้น
(ยังมีตอนต่อไป)
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
11/12/2566