11 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 11/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

มนุษย์ถูก “ล้างสมอง” ให้ปฏิเสธ #พระเจ้า ตลอดมา

ทั้ง ๆที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกชนชาติทุกเผ่า

รวมทั้งจิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกทุกตัวด้วย

โดยมีวิธีการล้างสมองหลายวิธีด้วยกันดังนี้

 

1.หลอกว่าจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคนเป็นดั่งลูกกำพร้า

หัวนอนปลายตีนไม่มีจึงพเนจรร่อนเร่ไปทั่วในจักรวาลนี้

#ซึ่งเป็นความเท็จมิใช่ความจริง

 

เนื่องจากเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่อาจรู้ความจริงเองได้

อีกทั้งไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามันจริงหรือเท็จจึงต้องเชื่อตาม

โดยอาศัยความรู้สึกกับความศรัทธาในตัวตนของคนกล่าว

เป็นตัวชี้วัดตัดสินคำกล่าวนั้นว่าน่าเชื่อถือได้ว่าจริง

อันเป็นการเชื่อตามโดยมิได้ใช้ปัญญาแต่ใช้กิเลสแทน

 

เมื่อเป็นเช่นนี้

พระพุทธองค์จึงทรงมีคำสอนเอาไว้ว่า

#ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุคือมีเหตุแห่งการเกิดกันทั้งสิ้น

#ถ้าเหตุดับทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็จะดับตามไปด้วยเสมอ

 

ทรงหมายความว่า

จิตวิญญาณของมนุษย์ก็เป็นสรรพสิ่งหนึ่งในจักรวาล

ทุกรูปธรรมจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีผู้ให้กำเนิดไม่ได้

ถ้าไม่มีผู้ให้กำเนิดก็จะไม่มีจิตวิญญาณซัดเซพเนจร

ตามที่ผีโสโครกหรือพวกมารนำมาหลอกลวงมนุษย์ได้

 

เพราะมนุษย์ถูกหลอกให้ใช้ #ความเชื่อ ซึ่งเป็นกิเลส

จากการเพาะบ่มและฝึกฝนให้เสพติดกิเลสกันมานาน

จึงขาดความชำนาญในการใช้ความคิดด้วยสติปัญญา

ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงติดตั้งสมองเอาไว้ให้ใช้

มนุษย์ส่วนใหญ่จึงเคยชินเคยใช้กิเลสมากกว่าใช้ปัญญา

การนึกคิดพูดทำทุกสิ่งในชีวิตจึงถูกขับเคลื่อนด้วยกิเลส

จนไม่สามารถเข้าถึงการหมุนธรรมจักรในตนเองได้

อีกทั้งพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาด้วยอำนาจกิเลสนั้น

ยังเป็นเงื่อนไขด้านลบของคนรอบข้างทุกคนโดยไม่รู้ตัว

จึงได้แต่หมุนกรรมจักรร่วมกันทำให้ทุกคนเป็นผู้ล้มเหลว

เป็นผู้เสียชาติเกิดเพราะใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกไม่ได้

 

มนุษย์จึงตั้งหน้าตั้งตาทำทุกสิ่งเพื่อตนเองกับพวกตัว

ซึ่งเป็นไปตามอำนาจของกิเลสมารในจิตหยาบของตน

จนไม่สามารถทำเพื่อโลกและเพื่อนมนุษย์ทุกคนได้เลย

โดยการทำเพื่อเพื่อนร่วมโลกและเพื่อนมนุษย์ทุกคนนี้

พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า #เวไนยสัตว์ทั้งหลาย นั่นเอง

 

ดังนั้น

เพราะถูกกิเลสมารครอบงำอยู่

จึงทำให้พวกคุณมีสมองแต่ใช้มันไม่เป็นใช้มันไม่ได้

เมื่อใช้สมองไม่เป็นหรือใช้มันไม่ได้คุณจึงต้องเป็นคนโง่

คำว่า #โง่ แปลว่ามีสติปัญญาของสมองอยู่แต่ไม่ใช้

เหตุผลที่โง่จนเข้าถึง “สติปัญญา” ไม่ได้ก็เพราะขาดสติ

สาเหตุที่ #ขาดสติ ก็เพราะจิตเป็นทาสของกิเลสอยู่

 

ถ้ารู้อย่างนี้แล้วคุณจึงต้องทำให้ตนเองหายโง่โดยพลัน

โดยใช้มหาสติคุมจิตหยาบของตนไว้มิให้เป็นทาสกิเลส

เพื่อการมองโลกไปตามความจริงที่จะรับรู้โดยไม่รับเอา

เป็นการสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งเพื่อเรียนรู้โดยไม่ปรุงแต่ง

ซึ่งเป็นการมองโลกผ่านแว่นตาเลนส์ใสไม่ใช่เลนส์สี

จนยังผลให้ภาพที่มองนั้นผิดเพี้ยนไปจากความจริงได้

เพราะการมองผิดฟังผิดมันล้วนแต่จะทำให้คุณ #เห็นผิด

เมื่อมีการเห็นผิดแล้วการนึกผิดคิดผิดพูดผิดและทำผิด

ก็จะเป็นผลสืบเนื่องที่มันจะเกิดขึ้นตามมาด้วยเสมอ

 

เพราะมนุษย์ถูกกิเลสมารครอบงำ

จึงไม่สามารถคิดต่อกันได้เองทั้ง ๆที่ตนมีสมองอยู่ว่า

จิตวิญญาณที่ถูกมารหลอกว่าเป็นผู้พเนจรและกำพร้านั้น

ทุกรูปธรรมมาจากไหนและเกิดมีตัวตนขึ้นมาได้อย่างไร

จึงมีตัวตนดำรงอยู่ในจักรวาลอันไพศาลนี้กับเขาได้

นี่แค่เพียงการใช้จิตตปัญญาตั้งคำถามตนเองเพื่อคิด

มนุษย์ที่เป็นทาสกิเลสอยู่ก็ไม่ฉลาดถามตนเองกันแล้ว

เมื่อไม่ฉลาดถามตนเองคุณก็จะได้คำตอบที่ฉลาดไม่ได้

นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #กิเลสเป็นเหตุให้โง่ โดยแท้

 

นอกจากนั้น

ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นสัจธรรมระดับโลกียธรรม

ไม่มีทารกรูปธรรมใดในโลกนี้ที่เป็นเด็กกำพร้าแม้สักคน

เป็นเด็กกำพร้าหรือเด็กอนาถาที่เกิดขึ้นมาเองได้

โดยไม่ต้องมีพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าหรือเป็นผู้ให้กำเนิด

หรือเป็นเด็กกำพร้าเด็กอนาถาที่เกิดมาจากรูหนอนรูไหน

เป็นเด็กกำพร้าที่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ในแบบข้าวหลาม

 

เพราะเด็กกำพร้าหรือเด็กอนาถาทั้งหลาย

ต่างล้วนต้องมีพ่อแม่ทำให้พวกเขาเกิดมามีตัวตนทั้งนั้น

เมื่อพ่อแม่ตายหมดหรือถูกพ่อแม่ไข่แล้วทิ้งเขาไป

พวกเขาจึงตกที่นั่งเป็น #เด็กกำพร้า ไปในที่สุด

 

จิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีตัวตนอยู่

มาเกิดเป็นคนสองมิติเพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์นั้น

ทุกรูปธรรมก็มีที่มาและมีผู้ให้กำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น

จิตวิญญาณของพวกคุณจึงมิใช่เด็กเร่ร่อนมิใช่ผู้พเนจร

มิได้เป็นรูปธรรมอนาถาน่าเวทนาเหมือนหมาข้างถนน

แต่เป็นจิตวิญญาณที่สูงส่งผู้มาจากพระบิดาผู้ให้กำเนิด

เพื่อเข้ามาทำหน้าที่อยู่ในเอกภพตรงพิกัดโลกเสรีนี้

ในการใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกผ่านการหมุนธรรมจักร

เพื่อช่วยให้โลกสมดุลและทำให้เอกภพสมดุลไปด้วย

 

เพราะเอกภพนี้เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา

ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้ว่าทรงทำสิ่งใดได้บ้าง

จิตวิญญาณพวกคุณล้วนเป็นผู้อาสาพระองค์ข้ามมิติมา

เพื่อช่วยพิสูจน์ทดลองในสิ่งที่ทรงต้องการเรียนรู้ให้ได้รู้

โดยใช้เวลานาน 1 ยุค คือ 60,000 ปีโลกแล้วกลับบ้าน

คือต้องทำหน้าที่อยู่ประจำโลกจนสิ้นยุคโดยไม่ต้องตาย

แปลว่าพวกคุณจะมีชีวิตอยู่เป็นอมตะมีอายุขัยยืนยาวได้

โดยไม่ต้องมีภพชาติและไม่ต้องมีสังสารวัฏอะไรด้วย

 

ด้วยเหตุนี้เอง

มนุษย์ทุกคนจึงมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ผู้สูงส่ง

เป็นจิตวิญญาณที่มีผู้ให้กำเนิดเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง

จึงเป็นจิตวิญญาณซึ่งเป็นพระจิตผู้มาจากพระเจ้า

ซึ่งพวกคุณล้วนเป็นผู้ “สืบสกุล” มาจากพระผู้เป็นเจ้า

ตามที่เรากล่าวข้างต้นว่าจิตวิญญาณคุณมิใช่ผู้ต่ำต้อย

โดยเราเปรียบผู้ต่ำต้อยว่าเป็นดั่งหมาข้างถนน

 

คำว่า “หมาข้างถนน” หมายถึง สุนัขจรจัด

สุนัขจรจัดก็คือสุนัขจำพวกที่ไม่มีบ้านไม่มีคนเลี้ยง

หน้าที่ของพวกมันก็คือเร่ร่อนหากินกันไปเรื่อย ๆ

มีกินที่ไหนก็อยู่กินที่นั่นค่ำมืดที่ไหนก็หลับนอนที่นั่น

ที่สำคัญคือหมาจรจัดมันก็มีพ่อหมาแม่หมาให้กำเนิด

 

ส่วนจิตวิญญาณของพวกคุณนั้นมีบ้านเกิดเมืองนอน

มาเกิดบนโลกเพราะมีหน้าที่สำคัญให้ทำอย่างมีเกียรติ

มิได้ซัดเซพเนจรพลัดพลงเข้ามาภายในระบบโลก

แล้วหิวโหยจนตะกละตะกลามกัดกิน “ง้วนดิน” เข้าไป

ทำให้เกิดมีกายหยาบเป็นรูปธรรมมนุษย์ขึ้นมาโดยพลัน

ตามคำกล่าวของคนนำทางตาบอดที่สื่อผ่านมาจากมาร

เพื่อการดูถูกเหยียดหยามทำนองว่าพวกคุณนั้นต่ำชั้น

เพราะเกิดมาจากสิ่งสกปรกโสมมคือง้วนดินนั้น

 

(ยังมีตอนต่อไป)

 

เอเมน สาธุ

ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล

โดย #ปัญญาวิสุทธิ์


11/12/2566