28 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

คุณจะต้องคิดรู้ด้วยใช้สมองซีกขวานำซ้ายก็ต่อเมื่อ

 

1.ต้องการทำความเข้าใจในการอ่านตำราหรือคัมภีร์

โดยอ่านไปและคิดตามไปด้วยว่ามันคืออะไรอย่างไร

ซึ่งต้องเริ่มต้นกระบวนการคิดด้วยสมองซีกซ้ายก่อน

เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้วจึงคิดให้เป็นภาพ

 

ดังนั้น

ขั้นตอนแรกคือการคิดพิจารณาด้วยวิธีวิเคราะห์

โดยใช้พลังอำนาจของสติปัญญาจากสมองซีกซ้าย

เมื่อวิเคราะห์สำเร็จแล้วจึงนำเอา “วัตถุดิบ” ที่ได้นั้น

มาดำเนินการคิดต่อด้วยวิธีคิดเห็นให้เป็นภาพ

ซึ่งการคิดให้เป็นภาพก็คือการใช้ #จินตนาการ นั่นเอง

พระพุทธเจ้าเรียกวิธีจินตนาการนี้ว่า #จินตมยปัญญา

 

2.ในการฟังธรรมคำสอนของท่านผู้รู้เพื่อทำความเข้าใจ

ซึ่งขณะฟังอยู่นั้นก็ให้คิดตามไปด้วยโดยคิดให้เป็นภาพ

ตัวชี้วัดความเข้าใจของคุณก็คือภาพที่คุณคิดเห็นนั้นว่า

มันสอดคล้องตรงจริงกับที่ครูเขาต้องการสอนคุณหรือไม่

ถ้าสอดคล้องต้องกันหรือตรงกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแล้ว

แสดงว่าคุณเข้าใจถูกต้องแล้ว

 

ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นไม่ชัดเจน

แสดงว่าคุณยังมีความเข้าใจในเรื่องนั้นคลุมเครืออยู่

คุณยังต้องการคำอธิบายขยายความจากครูเพิ่มเติม

ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นมันขาดๆเกินๆอยู่

แสดงว่าการรับฟังของคุณมีข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน

จะต้องได้รับการเติมเต็มด้วยการฟังซ้ำอีกครั้งเสมอ

 

วิธีที่คุณจะรู้ว่าการรับฟังข้อมูลของคุณนั้นเป็นเช่นไร

คุณอาจใช้วิธีขอให้ครูช่วยเมตตากล่าวซ้ำให้ฟังอีกครั้ง

โดยคุณต้องรับฟังครูอย่างตั้งใจและมีสมาธิไม่วอกแวก

ไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้ถามครูเพื่อสร้างความชัดเจนทันที

อย่าอายที่จะถามครูนะเพราะครูไม่คิดว่าศิษย์โง่แน่นอน

ครูมีแต่จะภูมิใจในตัวศิษย์ที่สนใจในคำสอนเสียมากกว่า

 

ดังนั้น

ขณะเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราและการฟังครูผู้สอน

พวกคุณจะต้องใช้สมองสองซีกของตนด้วยกันทั้งสิ้น

การฉลาดฟังฉลาดนึกฉลาดคิดตามและฉลาดที่จะเข้าใจ

จึงเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของผู้เป็นอัจฉริยะบุคคล

 

3.การมองหาสัจธรรมจาก “สิ่งแวดล้อม”

ด้วยการเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของตัวเอง

 

คำว่า #สิ่งแวดล้อม ในที่นี้เราหมายถึง

#สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติของพระบิดาหรือสภาวะธรรม

#สิ่งแวดล้อมที่พบเห็นได้จากพฤตินิสัยของคนรอบข้าง

#สิ่งแวดล้อมที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์ต่างๆ

 

ขั้นแรกคุณต้องเป็นคนช่างสังเกตคือฉลาดมองฉลาดฟัง

โดยสามารถแลเห็นจุดเด่นและจุดด้อยในสิ่งแวดล้อมได้

การมองหาจุดด้อยที่ว่านี้มิใช่มองเพื่อการจับผิดคิดลบ

แต่เป็นการมองเพื่อศึกษาเรียนรู้โดยมีเขาเป็นครูเท่านั้น

การฉลาดฟังและฉลาดถามคนที่รู้มากกว่าคุณก็ต้องเป็น

มิเช่นนั้นแล้วคุณจะหาสาระอะไรในชีวิตกับเขาไม่ได้เลย

ถ้าได้แต่มองผ่านตาและฟังผ่านหูแต่การเรียนรู้ไม่เกิดขึ้น

เมื่อไม่มีการเรียนรู้ใดๆเกิดขึ้นเท่ากับสมองคุณก็ไม่ได้ใช้

 

คุณคงจำได้ว่า

เราเคยกล่าวความจริงให้คุณรู้กันมาบ้างแล้วว่า

สมองมนุษย์นั้นพระบิดามิได้ติดตั้งให้คุณไว้แค่คั่นหู

แต่ทรงติดตั้งไว้ให้คุณใช้มันในการดำเนินชีวิต

เพื่อประโยชน์ในการคิดตัดสินใจและเพื่อการเรียนรู้ทุกสิ่ง

โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้

การเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตและงานที่ทำให้ทุกข์ใจ

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆไปจนถึงปัญหาใหญ่ๆ

 

เพราะประดาสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในระบบโลกนี้นั้น

ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สัตว์ประจำโลกและมนุษย์โลก

มีเพียงแค่มนุษย์โลกเท่านั้นที่สมองใช้ในการคิดรู้ได้ดี

ส่วนสัตว์ประจำโลกนั้นเขาใช้กันได้แต่สัญชาตญาณ

เหมือนกันกับที่มนุษย์โลกทุกคนต่างล้วนมีให้ใช้ได้

แต่ความฉลาดทางปัญญาของสมองสองซีกเขาไม่มี

เพราะสัตว์ทั้งหลายใช้จิตวิญญาณกับสมองก้อนเดียว

ทำการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตบนโลก

พวกเขาล้วนไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ

ในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อดำเนินชีวิตแต่อย่างใด

 

เพราะสัตว์ประจำโลกใช้แต่ #สัญชาติญาณ

พวกเขาจึงมีลักษณะโดดเด่นกว่ามนุษย์ดังต่อไปนี้

 

1.สัตว์ประจำโลกไม่มีมารยาสาไถย

2.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครโกหกตอแหล

3.สัตว์ประจำโลกวางแผนการล่วงหน้าไม่เป็น

4.สัตว์ประจำโลกไม่มีการขี้หลงขี้ลืม

5.สัตว์ประจำโลกรักพวกรักพ้องของตน

6.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครจู้จี้ขี้บ่นจนน่ารำคาญ

7.สัตว์ประจำโลกพร้อมก้าวตามจ่าฝูงหรือผู้นำเสมอ

8.สัตว์ประจำโลกไม่มีจ่าฝูงที่คอรัปชั่นฉ้อฉลคดโกง

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

28/12/2566