#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คุณจะต้องคิดรู้ด้วยใช้สมองซีกขวานำซ้ายก็ต่อเมื่อ
1.ต้องการทำความเข้าใจในการอ่านตำราหรือคัมภีร์
โดยอ่านไปและคิดตามไปด้วยว่ามันคืออะไรอย่างไร
ซึ่งต้องเริ่มต้นกระบวนการคิดด้วยสมองซีกซ้ายก่อน
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้วจึงคิดให้เป็นภาพ
ดังนั้น
ขั้นตอนแรกคือการคิดพิจารณาด้วยวิธีวิเคราะห์
โดยใช้พลังอำนาจของสติปัญญาจากสมองซีกซ้าย
เมื่อวิเคราะห์สำเร็จแล้วจึงนำเอา
“วัตถุดิบ” ที่ได้นั้น
มาดำเนินการคิดต่อด้วยวิธีคิดเห็นให้เป็นภาพ
ซึ่งการคิดให้เป็นภาพก็คือการใช้ #จินตนาการ นั่นเอง
พระพุทธเจ้าเรียกวิธีจินตนาการนี้ว่า
#จินตมยปัญญา
2.ในการฟังธรรมคำสอนของท่านผู้รู้เพื่อทำความเข้าใจ
ซึ่งขณะฟังอยู่นั้นก็ให้คิดตามไปด้วยโดยคิดให้เป็นภาพ
ตัวชี้วัดความเข้าใจของคุณก็คือภาพที่คุณคิดเห็นนั้นว่า
มันสอดคล้องตรงจริงกับที่ครูเขาต้องการสอนคุณหรือไม่
ถ้าสอดคล้องต้องกันหรือตรงกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแล้ว
แสดงว่าคุณเข้าใจถูกต้องแล้ว
ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นไม่ชัดเจน
แสดงว่าคุณยังมีความเข้าใจในเรื่องนั้นคลุมเครืออยู่
คุณยังต้องการคำอธิบายขยายความจากครูเพิ่มเติม
ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นมันขาดๆเกินๆอยู่
แสดงว่าการรับฟังของคุณมีข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน
จะต้องได้รับการเติมเต็มด้วยการฟังซ้ำอีกครั้งเสมอ
วิธีที่คุณจะรู้ว่าการรับฟังข้อมูลของคุณนั้นเป็นเช่นไร
คุณอาจใช้วิธีขอให้ครูช่วยเมตตากล่าวซ้ำให้ฟังอีกครั้ง
โดยคุณต้องรับฟังครูอย่างตั้งใจและมีสมาธิไม่วอกแวก
ไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้ถามครูเพื่อสร้างความชัดเจนทันที
อย่าอายที่จะถามครูนะเพราะครูไม่คิดว่าศิษย์โง่แน่นอน
ครูมีแต่จะภูมิใจในตัวศิษย์ที่สนใจในคำสอนเสียมากกว่า
ดังนั้น
ขณะเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราและการฟังครูผู้สอน
พวกคุณจะต้องใช้สมองสองซีกของตนด้วยกันทั้งสิ้น
การฉลาดฟังฉลาดนึกฉลาดคิดตามและฉลาดที่จะเข้าใจ
จึงเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของผู้เป็นอัจฉริยะบุคคล
3.การมองหาสัจธรรมจาก
“สิ่งแวดล้อม”
ด้วยการเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของตัวเอง
คำว่า #สิ่งแวดล้อม ในที่นี้เราหมายถึง
#สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติของพระบิดาหรือสภาวะธรรม
#สิ่งแวดล้อมที่พบเห็นได้จากพฤตินิสัยของคนรอบข้าง
#สิ่งแวดล้อมที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์ต่างๆ
ขั้นแรกคุณต้องเป็นคนช่างสังเกตคือฉลาดมองฉลาดฟัง
โดยสามารถแลเห็นจุดเด่นและจุดด้อยในสิ่งแวดล้อมได้
การมองหาจุดด้อยที่ว่านี้มิใช่มองเพื่อการจับผิดคิดลบ
แต่เป็นการมองเพื่อศึกษาเรียนรู้โดยมีเขาเป็นครูเท่านั้น
การฉลาดฟังและฉลาดถามคนที่รู้มากกว่าคุณก็ต้องเป็น
มิเช่นนั้นแล้วคุณจะหาสาระอะไรในชีวิตกับเขาไม่ได้เลย
ถ้าได้แต่มองผ่านตาและฟังผ่านหูแต่การเรียนรู้ไม่เกิดขึ้น
เมื่อไม่มีการเรียนรู้ใดๆเกิดขึ้นเท่ากับสมองคุณก็ไม่ได้ใช้
คุณคงจำได้ว่า
เราเคยกล่าวความจริงให้คุณรู้กันมาบ้างแล้วว่า
สมองมนุษย์นั้นพระบิดามิได้ติดตั้งให้คุณไว้แค่คั่นหู
แต่ทรงติดตั้งไว้ให้คุณใช้มันในการดำเนินชีวิต
เพื่อประโยชน์ในการคิดตัดสินใจและเพื่อการเรียนรู้ทุกสิ่ง
โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้
การเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตและงานที่ทำให้ทุกข์ใจ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆไปจนถึงปัญหาใหญ่ๆ
เพราะประดาสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในระบบโลกนี้นั้น
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้
สัตว์ประจำโลกและมนุษย์โลก
มีเพียงแค่มนุษย์โลกเท่านั้นที่สมองใช้ในการคิดรู้ได้ดี
ส่วนสัตว์ประจำโลกนั้นเขาใช้กันได้แต่สัญชาตญาณ
เหมือนกันกับที่มนุษย์โลกทุกคนต่างล้วนมีให้ใช้ได้
แต่ความฉลาดทางปัญญาของสมองสองซีกเขาไม่มี
เพราะสัตว์ทั้งหลายใช้จิตวิญญาณกับสมองก้อนเดียว
ทำการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตบนโลก
พวกเขาล้วนไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อดำเนินชีวิตแต่อย่างใด
เพราะสัตว์ประจำโลกใช้แต่ #สัญชาติญาณ
พวกเขาจึงมีลักษณะโดดเด่นกว่ามนุษย์ดังต่อไปนี้
1.สัตว์ประจำโลกไม่มีมารยาสาไถย
2.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครโกหกตอแหล
3.สัตว์ประจำโลกวางแผนการล่วงหน้าไม่เป็น
4.สัตว์ประจำโลกไม่มีการขี้หลงขี้ลืม
5.สัตว์ประจำโลกรักพวกรักพ้องของตน
6.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครจู้จี้ขี้บ่นจนน่ารำคาญ
7.สัตว์ประจำโลกพร้อมก้าวตามจ่าฝูงหรือผู้นำเสมอ
8.สัตว์ประจำโลกไม่มีจ่าฝูงที่คอรัปชั่นฉ้อฉลคดโกง
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
28/12/2566