#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าคุณฉลาดมองโลก
โดยสามารถมองเห็นโลกตามความเป็นจริงได้
การเรียนรู้ของคุณก็จะถูกต้องตรงจริงได้เสมอ
คำว่า
“ฉลาดมองโลก” นี่แหละ
จะถูกกำกับด้วยการ
#ฉลาดใช้อายตนะ สัมผัสสิ่งเร้า
การฉลาดใช้อายตนะสำหรับมนุษย์ก็คือ
#ช่างสังเกต
ช่างสังเกตหมายถึง
“หูไว ตาไว” ต่อสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น
ถ้าคุณเป็นคนรอบครอบมากขึ้นจิตก็จะยิ่งละเอียดมาก
คุณจะเป็นคนหูไวต่อสิ่งที่ได้ยินตาไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
เมื่อมีสิ่งเร้าผ่านหูผ่านตาให้รับรู้ได้อย่างมากมายแล้ว
มันก็จะง่ายขึ้นสำหรับคุณในการ
#เลือกเรื่องมาเรียนรู้
คำว่า
“เลือกเรื่องมาเรียนรู้” หมายถึง
ฉลาดที่จะหยิบเอาบางเรื่องมา
“นึก” ตั้งคำถามตนเอง
เพื่อทำการคิดวิเคราะห์ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยนึกคิดอย่างมีวัตถุประสงค์คือเพื่อการเรียนรู้เท่านั้น
โดยมีเป้าหมายของการเรียนรู้ก็คือจะต้องได้
“คำตอบ”
ที่ถูกต้องตรงจริงชัดเจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ซึ่งผลการคิดที่ได้นี้ได้จากการ
“ฉลาดเรียนรู้” นั่นเอง
ดังนั้น
การเป็นคนฉลาดมองโลก
จึงต้องฉลาดใช้อายตนะภายนอกทั้งห้า
วันๆจะเอาแต่นั่งหลับตาปิดวาจาปิดหูไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ไม่คบหาไม่สมาคมกับใครทั้งๆที่เป็นสัตว์สังคมไม่ได้
เพราะมันคือการ
“ขังตนเอง” ไว้ในป่าในถ้ำตามลำพัง
ที่พวกคุณเรียกว่า
#ขังเดี่ยว อยู่คนเดียว
ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะเป็นครูผู้ยื่นบททดสอบให้คุณได้
ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะเป็นครูผู้ยื่นบทเรียนชีวิตให้คุณได้
จึงต้องเป็นครูสอนตนเองในโลกมืดและวังเวงเท่านั้น
ไม่ต่างจากการนั่งนับนิ้วมือกับนับนิ้วเท้าของตนเอง
ซึ่งนับไปนับมารวมแล้วก็นับได้แค่ไม่เกินยี่สิบนิ้ว
เพราะว่ามันมีนิ้วให้คุณฝึกนั่งนับได้อยู่เพียงแค่นั้น
ครั้นจะฝึกนับนิ้วให้ได้มากกว่านั้นก็ไม่มีเพื่อนให้ยืมนับ
เนื่องจากคุณเลือกที่จะหนีสังคมหรือปลีกวิเวกไปแล้ว
ความไม่ฉลาดเรียนรู้จึงทำให้คุณขาดพร่องในความรู้
คือ
“รู้น้อยกว่าที่คุณต้องรู้” เพราะคุณขาดเพื่อนเรียน
ที่พวกเขาทั้งโลกสามารถเป็นสารพัดครูให้คุณได้
แต่เป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของคุณไม่ได้เท่านั้น
ถ้าคุณฉลาดคิดวิเคราะห์เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นความจริง
ที่เป็น
“โลกียะธรรม” ด้วยสติปัญญาสมองซีกซ้ายแล้ว
ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของสมองซีกขวาคือ
#ปัญญาญาณ
จะต้องนำเอาโลกียะธรรมที่ได้มานั้นใช้เป็นวัตถุดิบ
เพื่อนำมา
#สังเคราะห์ ด้วยปัญญาญาณที่เป็นคลื่นแสง
ให้เหมือนกับการที่พืชนำวัตถุดิบจากรากมาสังเคราะห์
ที่ใบซึ่งมีสีเขียวๆด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นั่นแหละ
หลักการสังเคราะห์วัตถุดิบหรือปรุงอาหารด้วยการคิด
เพื่อนำไปใช้บริโภคในการดำเนินชีวิตด้วยสมองซีกขวา
มีดังต่อไปนี้
คือ
1.ให้มีแต่วัตถุประสงค์ในการคิดนั่นคือ
คิดเพื่อที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตของตน
มิใช่คิดเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น
2.ไม่กำหนดเป้าหมายในการคิดล่วงหน้าว่า
ตนจะต้องได้คำตอบมาเป็นจำนวนมากสักเท่าไหร่
3.ไม่ตีกรอบการคิดเอาไว้ว่า
ตนจะต้องคิดให้ได้คำตอบภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้
ด้วยการกำหนดกรอบเวลาในการคิดเอาไว้ล่วงหน้า
4.ไม่คิดด้วยการยึดติดในหลักการและเหตุผล
เหมือนกับการคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
แต่ต้องคิดแบบดอกไม้บานหรือคิดให้ได้จนสุดขอบฟ้า
โดยไม่ตีกรอบการคิดนั้นๆของตนเองเอาไว้
ตัวอย่างเช่น
เคยคิดอย่างมีหลักการก็เปลี่ยนเป็นไม่ยึดหลักการบ้าง
เคยคิดโดยยึดเหตุผลหรือทฤษฎีก็ลองไม่ยึดติดดูบ้าง
การคิดแบบนี้สมองซีกขวาของคุณนั้นถนัดนักแล
5.ให้คุณคิดสังเคราะห์วัตถุดิบที่ได้มานั้น
ด้วยวิธีคิดให้เป็นภาพเอาไว้ตามที่สมองซีกขวาถนัด
เพราะการคิดให้เป็นภาพตัวชี้วัดก็คือ
“ความเข้าใจ”
ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นความจริงของสิ่งนั้นได้ชัดยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์จากการคิดสังเคราะห์ของคุณที่จะได้รับนั้น
มันคือสิ่งที่เรียกว่า
#การคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง
ถ้าสิ่งที่คุณคิดสร้างสรรค์ได้นั้น
คุณทำให้มันเป็น
“รูปธรรม” จนนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง
สิ่งสร้างสรรค์ก่อนใครเพื่อนที่เป็นผลงานของคุณชิ้นนั้น
มันจะถูกเรียกว่า
#นวัตกรรม คำโก้หรูกับเขาได้แน่นอน
ต่อไปนี้คุณคงกระหายใคร่จะรู้กันแล้วสิว่า
จะใช้สมองซีกขวาสังเคราะห์สัจธรรมด้วยปัญญาญาณ
เพื่อการเป็นนักคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่
เพื่อเป็นคนชอบธรรมในระดับ
#อริยะบุคคล ได้อย่างไร
คงต้องติดตามเรียนรู้ในตอนต่อไป
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
29/12/2566