17 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 17/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ได้อ่านพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล

ที่ทรงพระเมตตาสื่อสอนพวกคุณผ่านเราในบทที่แล้ว

เรามีข้อสรุปให้ว่าถ้าพวกคุณไม่ใช่นักบวชหรือนักพรต

ก็ให้เลือกปฏิบัติตามมรรควิถี #จิตจักรวาล แทน

เพื่อยกระดับ “ฌาน” ในการเพิ่มพลังอำนาจให้จิตหยาบ

สู่การพัฒนา “ญาณ” ในการสร้างพลังอำนาจทางปัญญา

ให้กับสมองทั้งสองซีกของตนเอง

 

วิธีปฏิบัติที่ทรงแนะเน้นไว้ให้เรียกว่า #มหาสติ

ซึ่งเป็น “ธรรมชาติสมาธิ” สามารถปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา

ไม่ต้องมีพิธีกรรมตามแบบที่คนนำทางตาบอดสอนไว้

โดยคุณไม่ต้องหนีสังคมไม่ต้องปลีกวิเวกเข้าเถื่อนถ้ำ

ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนหูหนวกตาบอดเป็นใบ้

เพื่อหมายจะปิดหน้าต่างของจิตทั้งห้าบานที่มันยังดีอยู่

มิให้สิ่งเร้าภายนอกส่งผ่านอายตนะเข้าไปรบกวนจิตได้

ปล่อยให้เหลือแต่จิตหยาบที่เป็นจิตปัจจุบันอย่างเดียว

ให้ง่ายต่อการ “กดข่ม” จริตที่เป็นสันดานของจิตมากขึ้น

 

เพราะถ้ายังเปิดหน้าต่างของจิตหยาบทั้งห้าเอาไว้

คุณก็จะถูกสิ่งเร้าจากภายนอกที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียง

กับการสัมผัสด้วยกายจำพวกเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลาย

คุณจะเป็นดั่งคนที่ถูกศัตรูโจมตีมาจาก 5 ทิศทางเลย

รวมทั้งจริตที่เป็นสันดานไม่ดีของจิตจากสัญญาขันธ์ด้วย

จึงนับได้ว่าคุณต้องเผชิญหน้ากับข้าศึกทั้ง 6 ทิศนั่นแหละ

 

ดังนั้น

ด้วยเงื่อนไขเบื้องต้นแบบตื้นๆดังกล่าว

ถ้าคุณต้องการจะเป็น #ผู้ชนะข้าศึกศัตรูทั้งหกทิศ ได้

จึงคิดง่ายๆว่า #ปิดหน้าต่างประตูบานนอก ทั้ง 5 เอาไว้

คงเหลือแต่หน้าต่างประตูชั้นในเอาไว้แค่เพียงบานเดียว

มันจะช่วยให้คุณสู้รบกับศัตรูที่คุณไม่พึงปรารถนาง่ายขึ้น

โอกาสพลาดท่าเสียทีข้าศึกศัตรูก็จะลดเหลือน้อยลงได้

ดีกว่าจะทำการสู้รบกับข้าศึกศัตรูรอบด้านพร้อมกัน

 

นี่เป็นวิธีการคิดแบบจิตหยาบของมนุษย์

ที่มารสอนผ่านคนนำทางตาบอดเอาไว้จากรุ่นสู่รุ่น

โดยยกเอาตอนที่พระศาสดาประทับนั่งบนบัลลังก์สมาธิ

ทรงปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าเพื่อปฏิบัติการทางเท็คนิก

ด้วยการทำให้จิตสงบเพื่อขบคิดพิจารณาด้วยสติปัญญา

แล้วต่อยอดความฉลาดทางปัญญาให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จนทรงเข้าถึง #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จิตปัญญาสูงสุด

สามารถล่วงรู้ในอนุตรธรรมบทสำคัญได้ด้วยตนเอง

จากคำถามที่ทรงถามตนเองมาทุกภพชาติว่า

 

#จิตวิญญาณของพระองค์เป็นใคร?

#จิตวิญญาณของมนุษย์โลกมาจากไหน?

#จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม?

 

คำตอบที่พระองค์ทรงรู้ได้ด้วยอนุตรญาณก็คือ

 

1.#เราคือโลกและโลกคือเรา

 

หมายถึง

มนุษย์ทุกคนกับดาวเคราะห์โลกเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

2.#เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลก

 

อันหมายถึง

รักบริสุทธิ์คือรักเพื่อให้มิใช่รักเพื่อเอาที่เป็นกิเลส

โดยรักที่เกิดจากกิเลสคือความกำหนัดรักใคร่

มิใช่รักแบบมีเมตตาที่เป็นธรรมชาติธาตุแท้ของมนุษย์

ซึ่งความรักเพื่อให้คือเมตตาที่ว่านี้

จะอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่สะอาดบริสุทธิ์

เป็นพลังงานจากจิตมนุษย์ที่สะอาดแบบที่โลกต้องการ

เพื่อนำไปใช้ในการ “บิดแกนแม่เหล็กโลก” ในแกนโลก

ทำให้โลกทั้งดวงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องได้

 

ไม่ว่าลูกข่างหรือสิ่งใดก็ตาม

ถ้ามันสามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยอัตราเร็วในการเหวี่ยงหมุนคงที่อยู่ตลอดไปได้แล้ว

ลูกข่างหรือสิ่งนั้นก็จะเกิดความสมดุลตลอดไปเช่นกัน

 

คำว่า “สมดุล” หมายถึง ไม่หมุนไปแกว่งไปส่ายไป

โลกของพระบิดาที่พวกคุณอาสามาทำหน้าที่กันอยู่นี้

ก็ต้องหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอด

พวกคุณจึงต้องใช้ความรักเพื่อให้หรือมีเมตตาธรรม

สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยจิตหยาบกับทุกเงื่อนไขสิ่งเร้า

ทำการผลิตพลังงานจิตที่เป็นพลังงานสะอาดให้แก่โลก

ตรงตามพระวจนะที่ว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” นั่นเอง

 

เมื่อคุณช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องได้

คุณกับมนุษย์ทุกคนก็จะหมุนไปรอบๆพร้อมกันกับโลก

ลักษณะที่หมุนไปด้วยกันนี่แหละคือการเป็นหนึ่งเดียวกัน

ไม่ต่างจากการ “คน” ของผสมหลายอย่างในถ้วยกาแฟ

ให้มันผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันคือ “คนให้เข้ากัน”

ก่อนที่พวกคุณจะดื่มกาแฟถ้วยนั้นกันอย่างเอร็ดอร่อยได้

นี่คือที่มาของประโยคที่ว่า “เราคือโลก โลกคือเรา”

 

เราจะขอกล่าวต่อยอดความจริงตรงนี้เอาไว้ด้วยว่า

ถ้าพวกคุณช่วยกันสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยขันธ์ห้า

ที่เป็นความรักความเมตตาหรือ “รักเพื่อให้” ต่อกันได้

ไม่ว่าคนรอบข้างคนไหนจะเป็นเงื่อนไขดีหรือชั่วก็ตาม

มันคือการร่วมกัน #หมุนธรรมจักร ผลิตพลังงานสะอาด

เพื่อช่วยให้โลกสามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ทั้งสิ้น

นี่จึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

จิตวิญญาณพวกคุณอาสามาเกิดบนโลกกันก็เพราะเหตุนี้

 

เงื่อนไขสุดท้ายก็คือ

ถ้ามนุษย์โลกช่วยกันหมุนธรรมจักรร่วมกันได้สำเร็จ

จนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองพิทักษ์ความสมดุลได้แล้ว

มันจะยังผลให้ #เอกภพ ห้องทดลองใหญ่ของพระเจ้า

ที่ทรงกำหนดสร้างทุกสรรพสิ่งเอาไว้ในห้องนี้มากมาย

เกิดความสมดุลของระบบตามสมดุลโลกไปด้วยเสมอ

เพราะพระองค์ทรงกำหนดสร้างให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้

ทำหน้าที่ “ค้ำจุนสมดุลเอกภพ” เอาไว้ตลอดนั่นเอง

 

ดังนั้น

พระองค์จะทรงยอมให้เอกภพเสียสมดุลไม่ได้

เพราะมันจะทำให้ทุกสิ่งในเอกภพของพระองค์หายนะ

จึงทรงจัดการให้โลกมีความสมดุลในตนเองไว้เสมอ

การที่ทรงยอมให้มีพระศาสดาที่เกิดจากโลกเอง

ขึ้นมาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในต่างยุคต่างสมัย

ก็เพื่อชี้ทางสว่างให้แก่ผู้ที่ด้อยปัญญาได้ก้าวตาม

 

ที่ทรงบัญชาให้พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของบุตรเอก

เข้ามาจุติในระบบโลกเป็นพระศาสดาที่มาจากพระองค์

ก็เพื่อนำเอาอนุตรธรรมที่พระศาสดาซึ่งเกิดจากโลก

ไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมความจริงของพระผู้เป็นเจ้าได้

เนื่องจากมีขีดจำกัดของกลไกสมองมนุษย์ที่ติดตั้งไว้

เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้อยู่มากมายและไม่รู้ก็ไม่ได้

ไม่นับรวมถึงสิ่งที่รู้ผิดเชื่อผิดเพราะถูกเบือนบิดปิดบัง

ที่พระบุตรเอกต้องนำแสงสว่างทางปัญญามาให้ด้วย

 

ด้วยเหตุนี้เองพวกคุณจงอย่าถามเราว่า

นั่งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานทำอย่างไร

เพราะนั่นมิใช่เป็นวิธีปฏิบัติตาม #มรรควิถีจิตจักรวาล

เพื่อจะเพิ่มพลังอำนาจแห่งจิตตปัญญาให้ตนเองกันได้

เนื่องจากโลกในตอนปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้

อำนาจแม่เหล็กโลกมันได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากโข

การนั่งสมาธิแบบโบราณมันจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว

มีแต่กรรมกรของมารรุ่นใหม่กับคนนำทางตาบอดชรา

ที่จะพากันชักเชียร์ให้คุณฝักใฝ่กรรมฐานสมาธิเท่านั้น

แต่นั่นมิใช่พวกเราชาว #วิสุทธิชนยุคสุดท้าย แน่นอน

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

17/12/2566