#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ได้อ่านพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงพระเมตตาสื่อสอนพวกคุณผ่านเราในบทที่แล้ว
เรามีข้อสรุปให้ว่าถ้าพวกคุณไม่ใช่นักบวชหรือนักพรต
ก็ให้เลือกปฏิบัติตามมรรควิถี #จิตจักรวาล แทน
เพื่อยกระดับ “ฌาน”
ในการเพิ่มพลังอำนาจให้จิตหยาบ
สู่การพัฒนา “ญาณ”
ในการสร้างพลังอำนาจทางปัญญา
ให้กับสมองทั้งสองซีกของตนเอง
วิธีปฏิบัติที่ทรงแนะเน้นไว้ให้เรียกว่า
#มหาสติ
ซึ่งเป็น “ธรรมชาติสมาธิ”
สามารถปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่ต้องมีพิธีกรรมตามแบบที่คนนำทางตาบอดสอนไว้
โดยคุณไม่ต้องหนีสังคมไม่ต้องปลีกวิเวกเข้าเถื่อนถ้ำ
ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนหูหนวกตาบอดเป็นใบ้
เพื่อหมายจะปิดหน้าต่างของจิตทั้งห้าบานที่มันยังดีอยู่
มิให้สิ่งเร้าภายนอกส่งผ่านอายตนะเข้าไปรบกวนจิตได้
ปล่อยให้เหลือแต่จิตหยาบที่เป็นจิตปัจจุบันอย่างเดียว
ให้ง่ายต่อการ “กดข่ม”
จริตที่เป็นสันดานของจิตมากขึ้น
เพราะถ้ายังเปิดหน้าต่างของจิตหยาบทั้งห้าเอาไว้
คุณก็จะถูกสิ่งเร้าจากภายนอกที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียง
กับการสัมผัสด้วยกายจำพวกเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลาย
คุณจะเป็นดั่งคนที่ถูกศัตรูโจมตีมาจาก
5 ทิศทางเลย
รวมทั้งจริตที่เป็นสันดานไม่ดีของจิตจากสัญญาขันธ์ด้วย
จึงนับได้ว่าคุณต้องเผชิญหน้ากับข้าศึกทั้ง
6 ทิศนั่นแหละ
ดังนั้น
ด้วยเงื่อนไขเบื้องต้นแบบตื้นๆดังกล่าว
ถ้าคุณต้องการจะเป็น #ผู้ชนะข้าศึกศัตรูทั้งหกทิศ ได้
จึงคิดง่ายๆว่า #ปิดหน้าต่างประตูบานนอก ทั้ง 5 เอาไว้
คงเหลือแต่หน้าต่างประตูชั้นในเอาไว้แค่เพียงบานเดียว
มันจะช่วยให้คุณสู้รบกับศัตรูที่คุณไม่พึงปรารถนาง่ายขึ้น
โอกาสพลาดท่าเสียทีข้าศึกศัตรูก็จะลดเหลือน้อยลงได้
ดีกว่าจะทำการสู้รบกับข้าศึกศัตรูรอบด้านพร้อมกัน
นี่เป็นวิธีการคิดแบบจิตหยาบของมนุษย์
ที่มารสอนผ่านคนนำทางตาบอดเอาไว้จากรุ่นสู่รุ่น
โดยยกเอาตอนที่พระศาสดาประทับนั่งบนบัลลังก์สมาธิ
ทรงปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าเพื่อปฏิบัติการทางเท็คนิก
ด้วยการทำให้จิตสงบเพื่อขบคิดพิจารณาด้วยสติปัญญา
แล้วต่อยอดความฉลาดทางปัญญาให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนทรงเข้าถึง #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จิตปัญญาสูงสุด
สามารถล่วงรู้ในอนุตรธรรมบทสำคัญได้ด้วยตนเอง
จากคำถามที่ทรงถามตนเองมาทุกภพชาติว่า
#จิตวิญญาณของมนุษย์โลกมาจากไหน?
#จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม?
คำตอบที่พระองค์ทรงรู้ได้ด้วยอนุตรญาณก็คือ
หมายถึง
“มนุษย์ทุกคนกับดาวเคราะห์โลกเป็นหนึ่งเดียวกัน”
อันหมายถึง
รักบริสุทธิ์คือรักเพื่อให้มิใช่รักเพื่อเอาที่เป็นกิเลส
โดยรักที่เกิดจากกิเลสคือความกำหนัดรักใคร่
มิใช่รักแบบมีเมตตาที่เป็นธรรมชาติธาตุแท้ของมนุษย์
ซึ่งความรักเพื่อให้คือเมตตาที่ว่านี้
จะอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่สะอาดบริสุทธิ์
เป็นพลังงานจากจิตมนุษย์ที่สะอาดแบบที่โลกต้องการ
เพื่อนำไปใช้ในการ
“บิดแกนแม่เหล็กโลก” ในแกนโลก
ทำให้โลกทั้งดวงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องได้
ไม่ว่าลูกข่างหรือสิ่งใดก็ตาม
ถ้ามันสามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วในการเหวี่ยงหมุนคงที่อยู่ตลอดไปได้แล้ว
ลูกข่างหรือสิ่งนั้นก็จะเกิดความสมดุลตลอดไปเช่นกัน
คำว่า “สมดุล” หมายถึง
ไม่หมุนไปแกว่งไปส่ายไป
โลกของพระบิดาที่พวกคุณอาสามาทำหน้าที่กันอยู่นี้
ก็ต้องหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอด
พวกคุณจึงต้องใช้ความรักเพื่อให้หรือมีเมตตาธรรม
สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยจิตหยาบกับทุกเงื่อนไขสิ่งเร้า
ทำการผลิตพลังงานจิตที่เป็นพลังงานสะอาดให้แก่โลก
ตรงตามพระวจนะที่ว่า
“เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” นั่นเอง
เมื่อคุณช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องได้
คุณกับมนุษย์ทุกคนก็จะหมุนไปรอบๆพร้อมกันกับโลก
ลักษณะที่หมุนไปด้วยกันนี่แหละคือการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่ต่างจากการ “คน”
ของผสมหลายอย่างในถ้วยกาแฟ
ให้มันผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันคือ
“คนให้เข้ากัน”
ก่อนที่พวกคุณจะดื่มกาแฟถ้วยนั้นกันอย่างเอร็ดอร่อยได้
นี่คือที่มาของประโยคที่ว่า
“เราคือโลก โลกคือเรา”
เราจะขอกล่าวต่อยอดความจริงตรงนี้เอาไว้ด้วยว่า
ถ้าพวกคุณช่วยกันสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยขันธ์ห้า
ที่เป็นความรักความเมตตาหรือ
“รักเพื่อให้” ต่อกันได้
ไม่ว่าคนรอบข้างคนไหนจะเป็นเงื่อนไขดีหรือชั่วก็ตาม
มันคือการร่วมกัน #หมุนธรรมจักร ผลิตพลังงานสะอาด
เพื่อช่วยให้โลกสามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ทั้งสิ้น
นี่จึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า
“เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”
จิตวิญญาณพวกคุณอาสามาเกิดบนโลกกันก็เพราะเหตุนี้
เงื่อนไขสุดท้ายก็คือ
ถ้ามนุษย์โลกช่วยกันหมุนธรรมจักรร่วมกันได้สำเร็จ
จนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองพิทักษ์ความสมดุลได้แล้ว
มันจะยังผลให้ #เอกภพ ห้องทดลองใหญ่ของพระเจ้า
ที่ทรงกำหนดสร้างทุกสรรพสิ่งเอาไว้ในห้องนี้มากมาย
เกิดความสมดุลของระบบตามสมดุลโลกไปด้วยเสมอ
เพราะพระองค์ทรงกำหนดสร้างให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ทำหน้าที่ “ค้ำจุนสมดุลเอกภพ”
เอาไว้ตลอดนั่นเอง
ดังนั้น
พระองค์จะทรงยอมให้เอกภพเสียสมดุลไม่ได้
เพราะมันจะทำให้ทุกสิ่งในเอกภพของพระองค์หายนะ
จึงทรงจัดการให้โลกมีความสมดุลในตนเองไว้เสมอ
การที่ทรงยอมให้มีพระศาสดาที่เกิดจากโลกเอง
ขึ้นมาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในต่างยุคต่างสมัย
ก็เพื่อชี้ทางสว่างให้แก่ผู้ที่ด้อยปัญญาได้ก้าวตาม
ที่ทรงบัญชาให้พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของบุตรเอก
เข้ามาจุติในระบบโลกเป็นพระศาสดาที่มาจากพระองค์
ก็เพื่อนำเอาอนุตรธรรมที่พระศาสดาซึ่งเกิดจากโลก
ไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมความจริงของพระผู้เป็นเจ้าได้
เนื่องจากมีขีดจำกัดของกลไกสมองมนุษย์ที่ติดตั้งไว้
เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้อยู่มากมายและไม่รู้ก็ไม่ได้
ไม่นับรวมถึงสิ่งที่รู้ผิดเชื่อผิดเพราะถูกเบือนบิดปิดบัง
ที่พระบุตรเอกต้องนำแสงสว่างทางปัญญามาให้ด้วย
ด้วยเหตุนี้เองพวกคุณจงอย่าถามเราว่า
นั่งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานทำอย่างไร
เพราะนั่นมิใช่เป็นวิธีปฏิบัติตาม
#มรรควิถีจิตจักรวาล
เพื่อจะเพิ่มพลังอำนาจแห่งจิตตปัญญาให้ตนเองกันได้
เนื่องจากโลกในตอนปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้
อำนาจแม่เหล็กโลกมันได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากโข
การนั่งสมาธิแบบโบราณมันจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
มีแต่กรรมกรของมารรุ่นใหม่กับคนนำทางตาบอดชรา
ที่จะพากันชักเชียร์ให้คุณฝักใฝ่กรรมฐานสมาธิเท่านั้น
แต่นั่นมิใช่พวกเราชาว #วิสุทธิชนยุคสุดท้าย แน่นอน
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
17/12/2566