#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่หลักในการปฏิบัติธรรมของมนุษย์โลกทุกคน
มิใช่แค่นั่งกรรมฐานสมาธิซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิก
ด้วยการ “กดข่มจิต”
ให้นิ่งสงบชั่วครู่แบบไม้ทับหญ้า
แล้วเรียกปฏิบัติการเช่นนี้ว่า
“นั่งสมาธิ” กันเท่านั้น
การปฏิบัติทำมิใช่แค่ถือศีลงดเว้นการปฏิบัติสิ่งมิควร
ตามข้อห้ามของพระศาสดาที่ทรงกำหนดเอาไว้ให้
โดยไม่รู้และไม่เข้าใจว่าศีลแต่ละข้อต้องละเว้นทำไม
ตัวอย่างเช่น
เพราะเหตุใดศาสดาจึงห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
การกินเลือดเนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้ฆ่าเองผิดบาปไหม
การนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนหรือดูเล่นบาปไหม
การนำสัตว์มาแข่งขันเพื่อเป็นเกมกีฬานั้นผิดบาปไหม
การนำช้างม้าวัวควายมาช่วยทำงานนั้นผิดบาปไหม
การเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อเป็นเกมกีฬานั้นมันผิดบาปไหม
เพราะเหตุใดจึงห้ามมิให้พูดปดมดเท็จหรือพูดไม่จริง
การไม่รู้ว่าพูดโกหกหรือพูดไม่จริงนั้นคืออย่างไร
ทำไมจึงห้ามผิดลูกผิดเมียของคนอื่นเขา
ใยจึงห้ามลักทรัพย์จับเอาของคนอื่นมาโดยเขาไม่ให้
ทำไมจึงห้ามดื่มเครื่องดองหรือของมึนเมา
เป็นต้น
การเป็นคนชอบธรรม
จึงมิใช่แค่การตักบาตรพระเพื่อทำบุญสุนทาน
โดยไม่รู้ว่าการตักบาตรถวายอาหารพระนั้นทำเพื่ออะไร
ไม่รู้ว่าการทำบุญสุนทานนั้นหมายความว่าอย่างไร
ไม่รู้ว่าทำบุญสุนทานแล้วต้องร้องขอส่วนบุญนั้นไหม
ไม่รู้ว่าผลบุญที่เกิดขึ้นในมิติของจิตวิญญาณเป็นเช่นไร
การเป็นคนชอบธรรม
จึงไม่ใช่การแสดงออกหรือการกระทำตามประเพณี
โดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่า
พิธีการ “เวียนเทียน”
นั้นเขาทำกันเพื่ออะไร
ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเขาสรงน้ำพระวันสงกรานต์กันทำไม
ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเขาไหว้พระสวดมนต์กันทำไม
ไม่รู้ว่าทำไมต้องกราบพระด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์
ไม่รู้ว่าทำบุญสุนทานแล้วต้องกรวดน้ำคว่ำขันเพื่ออะไร
ไม่รู้ว่าทำไมต้องปลีกวิเวกตามเส้นทางของนักบวช
ไม่รู้ว่าถือศีลปฏิบัติทำสามารถจะอยู่ทำที่บ้านได้ไหม
ไม่รู้ว่าการทำบุญที่แท้จริงแล้วขอนั่นขอนี่จะได้หรือไม่
ไม่รู้ว่าการทำบุญอย่างมีเงื่อนไขเป็นการทำที่ไม่ถูกต้อง
เราจะกล่าวความจริงให้คุณรู้ว่า
การเชื่อตามทำตามผู้อื่นเขาโดยที่ตนยังไม่เข้าใจว่า
ทำไมจึงต้องทำเช่นว่านั้นหรือทำเช่นว่านั้นเพื่ออะไร
รวมทั้งการ “ปฏิเสธ”
ที่จะไม่ทำตามบางสิ่งไปทันที
ด้วยการไม่รับฟังไม่เชื่อตามโดยที่ตนยังอธิบายไม่ได้
ว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นวิธีนั้นตนไม่เห็นชอบด้วยเพราะอะไร
มันคือการแสดงออกว่าคุณเป็นคน #งมงาย ทั้งสิ้น
คำว่า “งมงาย”
เป็นคำที่กร่อนมาจากคำว่า #งมง่าย
คำว่า “งม” หมายถึงการค้นหา
ควานหา หรือคลำหา
สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนต้องการด้วยการใช้มือจับสัมผัส
เพราะสองตาของคุณไม่อาจมองมองเห็นสิ่งนั้นได้
เมื่อคุณคลำๆส่งเดชแล้วจับสัมผัสกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้า
คุณก็ฉวยคว้าหยิบเอาสิ่งนั้นมาโดยมิได้รู้แน่ชัดก่อนว่า
สิ่งที่ตนจับสัมผัสได้นั้นมันใช่สิ่งที่ต้องการแน่หรือเปล่า
จึงเป็นที่มาของคำว่า “งมง่าย”
คือการงมง่ายๆ
นานวันผ่านมาไม้เอกหายไปเหลือแค่
“งมงาย” เท่านั้น
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นพระเจ้าทรงหมายถึง
การที่พวกคุณต้องปฏิบัติตนกันในสองประการก็คือ
1.ต้องปฏิบัติตนไปตาม #ธรรมดา อย่าหาทำอุตริ
โดยไม่ทำตนให้มันวิปริตผิดเพี้ยนไปจากคนทั่วไป
ตัวอย่างเช่น
การเป็นมนุษย์ต้องใช้ #จิตสามนึกในการดำเนินชีวิต กัน
แต่คุณดันทุรังอุตริไปใช้ #จิตใต้สามนึก ดำเนินชีวิตแทน
นี่คือการเป็นมนุษย์ไม่เป็นซึ่งผิดหลัก
#ธรรมดา
การเป็นมนุษย์ต้องใช้ “หนึ่งสมอง”
กับ “สองมือ” ของตน
อันหมายถึงต้องใช้ทั้ง #อวัยวะ และ #อายตนะ ทำภารกิจ
ในแบบของการ #พึ่งอำนาจในตนเอง แทนที่จะพึ่งแต่ผู้อื่น
นี่คือการเป็นมนุษย์ไม่เป็นซึ่งผิดหลัก
#ธรรมดา เช่นกัน
การเป็นมนุษย์ต้องใช้กลไก
“อายตนะภายนอกทั้งห้า”
ทำงานร่วมกับ “จิตหยาบ”
ที่นึกออกนึกเอานึกเองได้ด้วย
แต่คุณก็เลือกที่จะแกล้งทำเป็นอายตนะภายนอกพิการ
คงเหลือแต่จิตหยาบซึ่งทำหน้าที่เป็นอายตนะภายในด้วย
การทำตนเป็นคนพิการแบบนี้ก็ผิดหลัก
#ธรรมดา เช่นกัน
การเป็นมนุษย์ต้องใช้ “ขันธ์ 5” สั่นสะเทือนในสองมิติ
เพราะพวกคุณเป็น #คนสองมิติ จึงต้องมีเครื่องมือชิ้นนี้ใช้
นั่นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และ วิญญาณ
ซึ่งขันธ์ทั้งห้านี้แท้จริงแล้วเป็นการสั่นสะเทือน
5 ขั้นตอน
ในทันทีที่จิตหยาบมนุษย์เกิดการรับรู้สิ่งเร้าจากภายนอก
ให้เกิดมโนกรรมคืออาการของจิตเป็นพฤติกรรมภายใน
ก่อนจะเคลื่อนออกมาภายนอกเป็นกายกรรมและวจีกรรม
ให้ปรากฏหรือกระทำต่อผู้อื่นในมิติโลกด้านกายภาพ
ในขณะเดียวกัน
ขั้นตอนสุดท้ายของจิตหยาบ คือ
“วิญญาณขันธ์”
จะเป็นขั้นตอนที่เครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์ทุกคน
ซึ่งจิตหยาบจะใช้ต่อมไร้ท่อทำการผลิตพลังงานไฟฟ้า
เหวี่ยงออกมาภายนอกในรูปของคลื่นพลังงานจิต
อันเป็นผลกรรมของพวกคุณที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน
ที่สองตาเปล่าของมนุษย์ไม่อาจมองเห็นมันได้
โดยที่ผลกรรมในมิติทางพลังงานที่เกิดขึ้นนี้
จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด นั่นคือ
1.พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติด้านลบ
คือ กรรมชั่ว
เป็นผลกรรมที่เกิดจากขันธ์ห้าสั่นสะเทือนด้วยกิเลส
เมื่อถูกยั่วยุหรือเย้ายวนด้วยเงื่อนไขหรือสิ่งเร้าต่างๆ
2.พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติด้านบวก
คือ กรรมดี
เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน
เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำดีแต่มีเงื่อนไขในการทำ
เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำดีแล้วร้องขอผลบุญนั้น
เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำบุญอุทิศให้คนนั้นคนนี้
ยังผลให้ผลกรรมที่ทำบุญหรือทำดีนั้นเป็นพลังงานขยะ
ที่โลกจะใช้ค้ำจุนความสมดุลเพื่อหมุนรอบตัวเองมิได้
เนื่องจากเป็นพลังงานที่ดีก็จริงแต่เป็นสิ่งที่มีเจ้าของอยู่
มันจึงกลายเป็น “ขยะรกโลก”
ล่องลอยคอยรอเจ้าของ
ให้มารับเอาพลังงานพวกนี้คือรับกรรมดีนั้นต่อไป
ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของมันจะได้รับในชาติหน้าถ้ามีเสมอ
ถ้าเป็นผลกรรมดีที่อุทิศให้รูปธรรมอื่นไว้
หากเจ้าตัวผู้รับอุทิศรูปธรรมนั้นยังคงมีชีวิตอยู่
ยังคงตกนรกเพื่อเยียวยาอาการป่วยทางจิตวิญญาณอยู่
หรือกำลังลอยติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาก็ตาม
ผลกรรมดีนั้นจะเป็นพลังงานขยะลอยรอเจ้าของมัน
ให้มาทำการชำระเพื่อเอาไปใช้ให้หมดสิ้นอยู่อย่างนั้น
3.พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติเป็นพลังงานสะอาด
เป็นพลังงานกรรมด้านบวกซึ่งเป็นพลังงานสะอาด
อันเกิดจากการทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เป็นการทำบุญสร้างกุศลอย่างไม่มีเงื่อนไขข้อแม้
เป็นการทำบุญโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
เป็นการทำบุญโดยไม่มีการอุทิศเจาะจงให้ผู้หนึ่งผู้ใด
เป็นการทำบุญโดยไม่ระบุว่าทำเพื่อชาตินี้ชาติหน้า
เป็นการทำบุญโดยมีความปิติยินดีที่ได้ทำเท่านั้น
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดหลักธรรมดาของมนุษย์ทั้งสิ้น
บทต่อไปเราจะกล่าวเรื่องการปฏิบัติธรรม
ในความหมายที่สอง คือ #ธรรมชาติ โปรดติดตาม
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
19/12/2566