19 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 19/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หน้าที่หลักในการปฏิบัติธรรมของมนุษย์โลกทุกคน

มิใช่แค่นั่งกรรมฐานสมาธิซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิก

ด้วยการ “กดข่มจิต” ให้นิ่งสงบชั่วครู่แบบไม้ทับหญ้า

แล้วเรียกปฏิบัติการเช่นนี้ว่า “นั่งสมาธิ” กันเท่านั้น

การปฏิบัติทำมิใช่แค่ถือศีลงดเว้นการปฏิบัติสิ่งมิควร

ตามข้อห้ามของพระศาสดาที่ทรงกำหนดเอาไว้ให้

โดยไม่รู้และไม่เข้าใจว่าศีลแต่ละข้อต้องละเว้นทำไม

 

ตัวอย่างเช่น

เพราะเหตุใดศาสดาจึงห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

การกินเลือดเนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้ฆ่าเองผิดบาปไหม

การนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนหรือดูเล่นบาปไหม

การนำสัตว์มาแข่งขันเพื่อเป็นเกมกีฬานั้นผิดบาปไหม

การนำช้างม้าวัวควายมาช่วยทำงานนั้นผิดบาปไหม

การเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อเป็นเกมกีฬานั้นมันผิดบาปไหม

 

เพราะเหตุใดจึงห้ามมิให้พูดปดมดเท็จหรือพูดไม่จริง

การไม่รู้ว่าพูดโกหกหรือพูดไม่จริงนั้นคืออย่างไร

ทำไมจึงห้ามผิดลูกผิดเมียของคนอื่นเขา

ใยจึงห้ามลักทรัพย์จับเอาของคนอื่นมาโดยเขาไม่ให้

ทำไมจึงห้ามดื่มเครื่องดองหรือของมึนเมา เป็นต้น

 

การเป็นคนชอบธรรม

จึงมิใช่แค่การตักบาตรพระเพื่อทำบุญสุนทาน

โดยไม่รู้ว่าการตักบาตรถวายอาหารพระนั้นทำเพื่ออะไร

ไม่รู้ว่าการทำบุญสุนทานนั้นหมายความว่าอย่างไร

ไม่รู้ว่าทำบุญสุนทานแล้วต้องร้องขอส่วนบุญนั้นไหม

ไม่รู้ว่าผลบุญที่เกิดขึ้นในมิติของจิตวิญญาณเป็นเช่นไร

 

การเป็นคนชอบธรรม

จึงไม่ใช่การแสดงออกหรือการกระทำตามประเพณี

โดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่า

 

พิธีการ “เวียนเทียน” นั้นเขาทำกันเพื่ออะไร

ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเขาสรงน้ำพระวันสงกรานต์กันทำไม

ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเขาไหว้พระสวดมนต์กันทำไม

ไม่รู้ว่าทำไมต้องกราบพระด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์

ไม่รู้ว่าทำบุญสุนทานแล้วต้องกรวดน้ำคว่ำขันเพื่ออะไร

ไม่รู้ว่าทำไมต้องปลีกวิเวกตามเส้นทางของนักบวช

ไม่รู้ว่าถือศีลปฏิบัติทำสามารถจะอยู่ทำที่บ้านได้ไหม

ไม่รู้ว่าการทำบุญที่แท้จริงแล้วขอนั่นขอนี่จะได้หรือไม่

ไม่รู้ว่าการทำบุญอย่างมีเงื่อนไขเป็นการทำที่ไม่ถูกต้อง

 

เราจะกล่าวความจริงให้คุณรู้ว่า

การเชื่อตามทำตามผู้อื่นเขาโดยที่ตนยังไม่เข้าใจว่า

ทำไมจึงต้องทำเช่นว่านั้นหรือทำเช่นว่านั้นเพื่ออะไร

รวมทั้งการ “ปฏิเสธ” ที่จะไม่ทำตามบางสิ่งไปทันที

ด้วยการไม่รับฟังไม่เชื่อตามโดยที่ตนยังอธิบายไม่ได้

ว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นวิธีนั้นตนไม่เห็นชอบด้วยเพราะอะไร

มันคือการแสดงออกว่าคุณเป็นคน #งมงาย ทั้งสิ้น

 

คำว่า “งมงาย” เป็นคำที่กร่อนมาจากคำว่า #งมง่าย

คำว่า “งม” หมายถึงการค้นหา ควานหา หรือคลำหา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนต้องการด้วยการใช้มือจับสัมผัส

เพราะสองตาของคุณไม่อาจมองมองเห็นสิ่งนั้นได้

เมื่อคุณคลำๆส่งเดชแล้วจับสัมผัสกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้า

คุณก็ฉวยคว้าหยิบเอาสิ่งนั้นมาโดยมิได้รู้แน่ชัดก่อนว่า

สิ่งที่ตนจับสัมผัสได้นั้นมันใช่สิ่งที่ต้องการแน่หรือเปล่า

จึงเป็นที่มาของคำว่า “งมง่าย” คือการงมง่ายๆ

นานวันผ่านมาไม้เอกหายไปเหลือแค่ “งมงาย” เท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นพระเจ้าทรงหมายถึง

การที่พวกคุณต้องปฏิบัติตนกันในสองประการก็คือ

 

1.ต้องปฏิบัติตนไปตาม #ธรรมดา อย่าหาทำอุตริ

โดยไม่ทำตนให้มันวิปริตผิดเพี้ยนไปจากคนทั่วไป

 

ตัวอย่างเช่น

การเป็นมนุษย์ต้องใช้ #จิตสามนึกในการดำเนินชีวิต กัน

แต่คุณดันทุรังอุตริไปใช้ #จิตใต้สามนึก ดำเนินชีวิตแทน

นี่คือการเป็นมนุษย์ไม่เป็นซึ่งผิดหลัก #ธรรมดา

 

การเป็นมนุษย์ต้องใช้ “หนึ่งสมอง” กับ “สองมือ” ของตน

อันหมายถึงต้องใช้ทั้ง #อวัยวะ และ #อายตนะ ทำภารกิจ

ในแบบของการ #พึ่งอำนาจในตนเอง แทนที่จะพึ่งแต่ผู้อื่น

นี่คือการเป็นมนุษย์ไม่เป็นซึ่งผิดหลัก #ธรรมดา เช่นกัน

 

การเป็นมนุษย์ต้องใช้กลไก “อายตนะภายนอกทั้งห้า”

ทำงานร่วมกับ “จิตหยาบ” ที่นึกออกนึกเอานึกเองได้ด้วย

แต่คุณก็เลือกที่จะแกล้งทำเป็นอายตนะภายนอกพิการ

คงเหลือแต่จิตหยาบซึ่งทำหน้าที่เป็นอายตนะภายในด้วย

การทำตนเป็นคนพิการแบบนี้ก็ผิดหลัก #ธรรมดา เช่นกัน

 

การเป็นมนุษย์ต้องใช้ “ขันธ์ 5” สั่นสะเทือนในสองมิติ

เพราะพวกคุณเป็น #คนสองมิติ จึงต้องมีเครื่องมือชิ้นนี้ใช้

นั่นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

ซึ่งขันธ์ทั้งห้านี้แท้จริงแล้วเป็นการสั่นสะเทือน 5 ขั้นตอน

ในทันทีที่จิตหยาบมนุษย์เกิดการรับรู้สิ่งเร้าจากภายนอก

ให้เกิดมโนกรรมคืออาการของจิตเป็นพฤติกรรมภายใน

ก่อนจะเคลื่อนออกมาภายนอกเป็นกายกรรมและวจีกรรม

ให้ปรากฏหรือกระทำต่อผู้อื่นในมิติโลกด้านกายภาพ

 

ในขณะเดียวกัน

ขั้นตอนสุดท้ายของจิตหยาบ คือ “วิญญาณขันธ์”

จะเป็นขั้นตอนที่เครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์ทุกคน

ซึ่งจิตหยาบจะใช้ต่อมไร้ท่อทำการผลิตพลังงานไฟฟ้า

เหวี่ยงออกมาภายนอกในรูปของคลื่นพลังงานจิต

อันเป็นผลกรรมของพวกคุณที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน

ที่สองตาเปล่าของมนุษย์ไม่อาจมองเห็นมันได้

โดยที่ผลกรรมในมิติทางพลังงานที่เกิดขึ้นนี้

จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด นั่นคือ

 

1.พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติด้านลบ คือ กรรมชั่ว

เป็นผลกรรมที่เกิดจากขันธ์ห้าสั่นสะเทือนด้วยกิเลส

เมื่อถูกยั่วยุหรือเย้ายวนด้วยเงื่อนไขหรือสิ่งเร้าต่างๆ

 

2.พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติด้านบวก คือ กรรมดี

เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน

เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำดีแต่มีเงื่อนไขในการทำ

เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำดีแล้วร้องขอผลบุญนั้น

เป็นผลกรรมที่เกิดจากการทำบุญอุทิศให้คนนั้นคนนี้

ยังผลให้ผลกรรมที่ทำบุญหรือทำดีนั้นเป็นพลังงานขยะ

ที่โลกจะใช้ค้ำจุนความสมดุลเพื่อหมุนรอบตัวเองมิได้

เนื่องจากเป็นพลังงานที่ดีก็จริงแต่เป็นสิ่งที่มีเจ้าของอยู่

มันจึงกลายเป็น “ขยะรกโลก” ล่องลอยคอยรอเจ้าของ

ให้มารับเอาพลังงานพวกนี้คือรับกรรมดีนั้นต่อไป

ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของมันจะได้รับในชาติหน้าถ้ามีเสมอ

 

ถ้าเป็นผลกรรมดีที่อุทิศให้รูปธรรมอื่นไว้

หากเจ้าตัวผู้รับอุทิศรูปธรรมนั้นยังคงมีชีวิตอยู่

ยังคงตกนรกเพื่อเยียวยาอาการป่วยทางจิตวิญญาณอยู่

หรือกำลังลอยติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาก็ตาม

ผลกรรมดีนั้นจะเป็นพลังงานขยะลอยรอเจ้าของมัน

ให้มาทำการชำระเพื่อเอาไปใช้ให้หมดสิ้นอยู่อย่างนั้น

 

3.พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติเป็นพลังงานสะอาด

เป็นพลังงานกรรมด้านบวกซึ่งเป็นพลังงานสะอาด

อันเกิดจากการทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เป็นการทำบุญสร้างกุศลอย่างไม่มีเงื่อนไขข้อแม้

เป็นการทำบุญโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

เป็นการทำบุญโดยไม่มีการอุทิศเจาะจงให้ผู้หนึ่งผู้ใด

เป็นการทำบุญโดยไม่ระบุว่าทำเพื่อชาตินี้ชาติหน้า

เป็นการทำบุญโดยมีความปิติยินดีที่ได้ทำเท่านั้น

 

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้

เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดหลักธรรมดาของมนุษย์ทั้งสิ้น

บทต่อไปเราจะกล่าวเรื่องการปฏิบัติธรรม

ในความหมายที่สอง คือ #ธรรมชาติ โปรดติดตาม

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

19/12/2566