#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หลักคิดและวิธีคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ที่เราสาธยายถึงวิธีการใช้เอาไว้ให้ในบทที่ผ่านมานั้น
เป็นวิธีคิดที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า
#อิทัปปัจจยตา
นั่นคือหลักการคิดอย่างมีเหตุผลรองรับในทุกขั้นตอน
ถ้าหากจะเข้าถึงเหตุผลได้จิตต้องว่างจากกิเลสก่อน
เพื่อทำให้ตัวเองสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งได้อย่างตรงจริง
อันเป็นการมองโลกด้วยแว่นใสๆไม่ใช่แว่นสี
ถ้าพวกคุณไม่เรียนรู้และฝึกฝนวิธีคิดตามที่เรากล่าวนั้น
สมองซีกซ้ายมันก็จะทำงานในการคิดให้คุณได้เช่นกัน
เรียกว่าเป็น #การคิดแบบจิตมนุษย์ ในระบบอัตโนมัติ
โดยการคิดของคุณนั้นมันจะสะเปะสะปะไปตามที่จิตนึก
ซึ่งเราบอกความจริงให้รู้กันมาแล้วว่าจิตมนุษย์มี
3 นึก
คือ นึกออก นึกเอา
และนึกเองวกวนกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสามนึกที่เกิดขึ้นนั้นมันยังมีทั้งนึกบวกกับนึกลบด้วย
นึกบวกก็คือนึกดีหรือ “ดำริชอบ”
นึกลบก็คือนึกไม่ดีหรือ
“ดำริชั่ว”
โดยทั้งนึกดีและนึกไม่ดีจะถูกอารมณ์รู้สึกและทัศนคติ
ที่เป็นคุณสมบัติของจิตในปัจจุบันขณะเป็นตัวกำหนด
อันหมายถึงการนึกไปตามกิเลสที่เป็นมารภายในนั่นเอง
ซึ่งคุณจะถามหา #เหตุผล ของการนึกไม่ได้เลยว่า
ทำไมคุณจึงนึกบวกหรือทำไมคุณจึงนึกลบอย่างนั้น
พระบิดาจึงทรงสื่อสอนพวกคุณเอาไว้ว่า
นอกจากต้องมองโลกด้วยเลนส์ใสคือว่างจากกิเลสแล้ว
คุณต้องเลือกนำเอาสิ่งที่นึกอยู่ในจิตขึ้นมาคิดทีละเรื่อง
เพื่อให้ตรงกับคุณสมบัติของจิตที่เป็นธรรมชาติของคุณ
ซึ่งมันจะสั่นสะเทือนเพื่อการนึกและคิดได้ทีละเรื่องด้วย
โดยต้องสำรวมระวังอย่าให้จิตเกิดกิเลสมารมาเข้าแทรก
ขณะที่คุณกำลังสร้างกระบวนการนึกเพื่อคิดเอาไว้ให้ได้
นอกจากนั้น
คุณยังต้องมองโลกหรือมองคนอื่นๆอย่าง
#มีเหตุผล
ขณะที่คุณกำลังนึกเพื่อคิดในสิ่งนั้นเรื่องนั้นอยู่เช่นกัน
ถ้าจิตคุณในปัจจุบันขณะสามารถเอาชนะกิเลสมารได้
การเข้าถึงเหตุผลของการนึกและคิดก็จะไม่ยากเลย
คุณลองสังเกตตนเองดูก็ได้ว่าตอนที่จิตสงบเย็นเป็นปกติ
กับขณะที่คุณกำลังเสียสมดุลทางอารมณ์หรือว้าวุ่นอยู่
ไม่ว่ากำลังงมงายลุ่มหลงเพราะจิตถูก
“เย้ายวน” จนเขว
หรือกำลังโกรธกริ้วเพราะจิตถูก
“ยั่วยุ” ให้พลุ่งพล่าน
จะพบว่าความสามารถในการใช้เหตุผลจะตกต่ำลงเสมอ
ดังนั้น
การที่คุณสามารถสร้างกระบวนการคิดด้วยสติปัญญา
โดยคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือคิดทีละเรื่องได้ต่อเนื่อง
เพราะไม่ยอมให้จิตนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทรกซ้อน
ไม่ยอมให้จิตเกิดอารมณ์รู้สึกใดๆเข้ามาสอดแทรก
จนสามารถนึกคิดเรื่องนั้นได้ยาวนานจนกว่าจะคิดได้
หรือคิดเรื่องนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้คำตอบที่ใช่
แล้วค่อยหยิบเอาเรื่องอื่นมาคิดพิจารณากันต่อไป
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นั่งสมาธิ ถ้านั่งคิด
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นอนสมาธิ ถ้านอนคิด
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #เดินสมาธิ ถ้าเดินคิด
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #ยืนสมาธิ ถ้ายืนคิด
ทั้งหมดที่เรานำมากล่าวสรุปไว้ให้
เป็นวิธีคิดและหลักคิดด้วย #สติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ด้วยวิธี #กดปุ่ม ใช้งานมันให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
แทนที่จะใช้วิธีนึกคิดแบบ #อัตโนมัติ ด้วยอำนาจกิเลส
ตามที่พวกคุณคุ้นชินกับมันมาตั้งแต่อายุครบสามขวบนั้น
จนยังผลให้เซลล์สมองซีกซ้ายทำงานได้ไม่เต็มร้อย
ถ้าพวกคุณฝึกฝนตนเองตามบทเรียนของพระองค์
โดยสามารถจะกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายได้ชำนาญแล้ว
คุณก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งมั่งคั่งและมั่นคงได้
โดยไม่ต้องง้อโชควาสนาด้วยการรอคอยเก็บกินบุญเก่า
ไม่ต้องพึ่งพาวิชา “มู”
ให้ตกเป็นกรรมกรแสงของมาร
ที่พระเยซูทรงเรียกเจ้าของวิชามารนี้ว่า
“ผีโสโครก”
ซึ่งคุณจะพึ่งหนึ่งสมองกับสองมือและลำขาของตนได้
เนื่องจากคุณมองโลกเป็น นึกเป็น
คิดเป็นและทำเป็น
โดยคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสามอย่างนี้เท่านั้น
จึงจะถูกเรียกว่าผู้เป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ
จึงจะเป็นผู้ที่มีความสง่างามในมิติโลกด้านกายภาพ
เพราะมีปัญญาเป็นอาวุธเพื่อจัดการความทุกข์ทั้งปวงได้
โดยจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องลอกเลียนความคิดรู้ของผู้ใดเลย
เมื่อเราสอนคุณให้เป็นอัจฉริยะได้แล้ว
ในบทต่อไปเราจะสอนพวกคุณ
ให้เรียนรู้วิธีคิดด้วยสมองซีกขวาบ้าง
เพื่อการเป็น #อริยะบุคคล บนเส้นทางนิพพานแท้
มิใช่นิพพานเทียมเท็จแบบตาลยอดด้วนกันต่อไป
เชิญติดตามให้ใกล้ชิดไว้...จงอย่าได้ละลืม
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
26/12/2566