26 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 26/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หลักคิดและวิธีคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย

ที่เราสาธยายถึงวิธีการใช้เอาไว้ให้ในบทที่ผ่านมานั้น

เป็นวิธีคิดที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า #อิทัปปัจจยตา

นั่นคือหลักการคิดอย่างมีเหตุผลรองรับในทุกขั้นตอน

 

ถ้าหากจะเข้าถึงเหตุผลได้จิตต้องว่างจากกิเลสก่อน

เพื่อทำให้ตัวเองสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งได้อย่างตรงจริง

อันเป็นการมองโลกด้วยแว่นใสๆไม่ใช่แว่นสี

 

ถ้าพวกคุณไม่เรียนรู้และฝึกฝนวิธีคิดตามที่เรากล่าวนั้น

สมองซีกซ้ายมันก็จะทำงานในการคิดให้คุณได้เช่นกัน

เรียกว่าเป็น #การคิดแบบจิตมนุษย์ ในระบบอัตโนมัติ

โดยการคิดของคุณนั้นมันจะสะเปะสะปะไปตามที่จิตนึก

ซึ่งเราบอกความจริงให้รู้กันมาแล้วว่าจิตมนุษย์มี 3 นึก

คือ นึกออก นึกเอา และนึกเองวกวนกันอยู่ตลอดเวลา

ทั้งสามนึกที่เกิดขึ้นนั้นมันยังมีทั้งนึกบวกกับนึกลบด้วย

 

นึกบวกก็คือนึกดีหรือ “ดำริชอบ”

นึกลบก็คือนึกไม่ดีหรือ “ดำริชั่ว”

โดยทั้งนึกดีและนึกไม่ดีจะถูกอารมณ์รู้สึกและทัศนคติ

ที่เป็นคุณสมบัติของจิตในปัจจุบันขณะเป็นตัวกำหนด

อันหมายถึงการนึกไปตามกิเลสที่เป็นมารภายในนั่นเอง

ซึ่งคุณจะถามหา #เหตุผล ของการนึกไม่ได้เลยว่า

ทำไมคุณจึงนึกบวกหรือทำไมคุณจึงนึกลบอย่างนั้น

 

พระบิดาจึงทรงสื่อสอนพวกคุณเอาไว้ว่า

นอกจากต้องมองโลกด้วยเลนส์ใสคือว่างจากกิเลสแล้ว

คุณต้องเลือกนำเอาสิ่งที่นึกอยู่ในจิตขึ้นมาคิดทีละเรื่อง

เพื่อให้ตรงกับคุณสมบัติของจิตที่เป็นธรรมชาติของคุณ

ซึ่งมันจะสั่นสะเทือนเพื่อการนึกและคิดได้ทีละเรื่องด้วย

โดยต้องสำรวมระวังอย่าให้จิตเกิดกิเลสมารมาเข้าแทรก

ขณะที่คุณกำลังสร้างกระบวนการนึกเพื่อคิดเอาไว้ให้ได้

 

นอกจากนั้น

คุณยังต้องมองโลกหรือมองคนอื่นๆอย่าง #มีเหตุผล

ขณะที่คุณกำลังนึกเพื่อคิดในสิ่งนั้นเรื่องนั้นอยู่เช่นกัน

ถ้าจิตคุณในปัจจุบันขณะสามารถเอาชนะกิเลสมารได้

การเข้าถึงเหตุผลของการนึกและคิดก็จะไม่ยากเลย

 

คุณลองสังเกตตนเองดูก็ได้ว่าตอนที่จิตสงบเย็นเป็นปกติ

กับขณะที่คุณกำลังเสียสมดุลทางอารมณ์หรือว้าวุ่นอยู่

ไม่ว่ากำลังงมงายลุ่มหลงเพราะจิตถูก “เย้ายวน” จนเขว

หรือกำลังโกรธกริ้วเพราะจิตถูก “ยั่วยุ” ให้พลุ่งพล่าน

จะพบว่าความสามารถในการใช้เหตุผลจะตกต่ำลงเสมอ

 

ดังนั้น

การที่คุณสามารถสร้างกระบวนการคิดด้วยสติปัญญา

โดยคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือคิดทีละเรื่องได้ต่อเนื่อง

เพราะไม่ยอมให้จิตนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทรกซ้อน

ไม่ยอมให้จิตเกิดอารมณ์รู้สึกใดๆเข้ามาสอดแทรก

จนสามารถนึกคิดเรื่องนั้นได้ยาวนานจนกว่าจะคิดได้

หรือคิดเรื่องนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้คำตอบที่ใช่

แล้วค่อยหยิบเอาเรื่องอื่นมาคิดพิจารณากันต่อไป

 

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นั่งสมาธิ ถ้านั่งคิด

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นอนสมาธิ ถ้านอนคิด

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #เดินสมาธิ ถ้าเดินคิด

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #ยืนสมาธิ ถ้ายืนคิด

 

ทั้งหมดที่เรานำมากล่าวสรุปไว้ให้

เป็นวิธีคิดและหลักคิดด้วย #สติปัญญาของสมองซีกซ้าย

ด้วยวิธี #กดปุ่ม ใช้งานมันให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แทนที่จะใช้วิธีนึกคิดแบบ #อัตโนมัติ ด้วยอำนาจกิเลส

ตามที่พวกคุณคุ้นชินกับมันมาตั้งแต่อายุครบสามขวบนั้น

จนยังผลให้เซลล์สมองซีกซ้ายทำงานได้ไม่เต็มร้อย

 

ถ้าพวกคุณฝึกฝนตนเองตามบทเรียนของพระองค์

โดยสามารถจะกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายได้ชำนาญแล้ว

คุณก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งมั่งคั่งและมั่นคงได้

โดยไม่ต้องง้อโชควาสนาด้วยการรอคอยเก็บกินบุญเก่า

ไม่ต้องพึ่งพาวิชา “มู” ให้ตกเป็นกรรมกรแสงของมาร

ที่พระเยซูทรงเรียกเจ้าของวิชามารนี้ว่า “ผีโสโครก”

ซึ่งคุณจะพึ่งหนึ่งสมองกับสองมือและลำขาของตนได้

 

เนื่องจากคุณมองโลกเป็น นึกเป็น คิดเป็นและทำเป็น

โดยคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสามอย่างนี้เท่านั้น

จึงจะถูกเรียกว่าผู้เป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ

จึงจะเป็นผู้ที่มีความสง่างามในมิติโลกด้านกายภาพ

เพราะมีปัญญาเป็นอาวุธเพื่อจัดการความทุกข์ทั้งปวงได้

โดยจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องลอกเลียนความคิดรู้ของผู้ใดเลย

 

เมื่อเราสอนคุณให้เป็นอัจฉริยะได้แล้ว

ในบทต่อไปเราจะสอนพวกคุณ

ให้เรียนรู้วิธีคิดด้วยสมองซีกขวาบ้าง

เพื่อการเป็น #อริยะบุคคล บนเส้นทางนิพพานแท้

มิใช่นิพพานเทียมเท็จแบบตาลยอดด้วนกันต่อไป

 

เชิญติดตามให้ใกล้ชิดไว้...จงอย่าได้ละลืม

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์


26/12/2566