01 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 1/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

กูรูบางคนที่เป็นกรรมกรของมาร

ผู้ซึ่งไม่ปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์โลกทั้งหลาย

ไม่อยากให้พวกคุณนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน

ที่เป็น “บ้านเกิดของจิตวิญญาณ” ข้างนอกเอกภพ

ซึ่งมารหรือพวก “ผีโสโครก” ไม่อาจหลุดออกไปได้

เนื่องจากเคยเห็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์บางรูปธรรม

หลุดพ้นออกไปข้างนอกโดยหายไปจากเอกภพนี้ได้

พวกตนที่ล่องลอยอยู่จึงอยากจะตามออกไปบ้าง

แต่ตามออกไปไม่ได้ทั้งๆที่พวกตนก็มีอภิญญฤทธิ์อยู่

 

จึงพยายามบิดเบือนพระวจนะพระศาสดา

พาให้คนชอบธรรมหลงทำตามจนผิดทางกันมาตลอด

พยายามปิดบังสัจธรรมความจริงที่จริงแท้เอาไว้ไม่ให้รู้

หลอกให้เสพติดกิเลสจนเข้าถึงความรักกับปัญญา

ที่เป็นอำนาจสูงสุดในตนเองที่พระบิดาติดตั้งไว้ไม่ได้

ยังผลให้พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลายงมงายโง่ง่ายกันมาก

เพราะรักไม่ได้ให้อภัยไม่ได้ทำบุญก็ทำอย่างมีเงื่อนไข

วิญญาณขันธ์จึงผลิตได้แต่ #พลังงานกรรมส่วนบุคคล

ไม่อาจผลิตสร้างพลังงานสะอาดแบบที่โลกต้องการได้

ทำให้ดาวเคราะห์โลกต้องเสียสมดุลเพราะขาดพลังงาน

 

ถ้าโลกเสียสมดุลมากเท่าไหร่

ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองจะช้าลงไปมากเท่านั้น

สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดก็คือ “แกนหมุน” ของโลกจะแกว่งส่าย

ก๊าซออกซิเจนในทะเลในน้ำและในอากาศจะลดน้อยลง

จนบางเวลาบางพื้นที่ออกซิเจนจะเกิดการช็อตชั่วคราว

ฝูงปลาที่ว่ายน้ำกันอยู่จะขาดอากาศหายใจแบบฉับพลัน

จนพากันลอยคอขึ้นมาหายใจด้วยเหงือกเหนือพื้นน้ำ

แต่พวกเขาก็ต้องลอยคอตายเพราะไม่มีปอดช่วยหายใจ

 

ฝูงนกที่บินผ่านบริเวณน่านฟ้าที่ตรงนั้นก็เหมือนกัน

เมื่อขาดออกซิเจนที่ใช้หายใจแบบฉับพลันทันใด

ฝูงนกเหล่านั้นก็จะพากันพลัดตกลงมาตายกระทันหัน

เพราะสมองพวกเขาขาดก๊าซออกซิเจนจึงทำให้มึนงง

จนเกิดการเสียสมดุลทำให้ควบคุมตนเองต่อไปไม่ได้

เมื่อตกลงมาศีรษะก็ฟาดพื้นพวกเขาจึงต้องเสียชีวิตไป

 

นอกจากนั้น

ถ้าโลกขาดพลังงานสะอาดจากพลังงานจิตของมนุษย์

เส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกก็จะเบี่ยงเบนจากเดิมไปด้วย

พวกคุณจะต้องรู้ว่าความโง่ความฉลาดของชาวดาวโลก

ขึ้นอยู่กับแนวเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกเป็นสำคัญด้วย

มิได้ขึ้นกับ “พันธุกรรม” และการฝึกคิดด้วยสมองเท่านั้น

 

ถ้าหากเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกพาดผ่านประเทศไทย

จะยังผลให้คนไทยทุกคนฉลาดมากกว่าคนในถิ่นอื่นทันที

เพราะในอดีตนั้นเส้นแรงแม่เหล็กโลกพาดผ่านภูมิภาคอื่น

อย่างหนาแน่นและแข็งแรงกว่าประเทศไทยในภูมิภาคนี้

#คนไทยจึงเป็นคนเจ้าปัญหามากกว่าเป็นคนเจ้าปัญญา

 

คนเจ้าปัญหา” คือคิดรู้เองไม่เป็นได้แต่อยากรู้ไปเรื่อย

จนต้องเรียนตามรู้ตามเชื่อตามก้าวตามคนชาติอื่นเสมอ

เพราะไปเน้นตรง #คำตอบ ที่ตนอยากรู้มากกว่าอย่างอื่น

เห็นว่าความรู้ก็คือ “คำตอบ” นั้นสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด

การลอกเลียนแบบหรือขโมยความรู้ของคนอื่นจึงมีให้เห็น

ถ้าตนมีความรู้สึกว่ามันใช่เพราะเห็นแล้วได้ฟังแล้วชอบ

เนื่องจากเรียนรู้ไม่เป็นคิดเองไม่ได้

 

ส่วน “คนเจ้าปัญญา” คืออยากรู้อะไรก็คิดรู้ด้วยตัวเองได้

มีความเป็นผู้นำทางปัญญาเพราะว่าฉลาดในการใช้สมอง

โดยผู้คนเหล่านี้เห็นว่า #วิธีคิดหาคำตอบ สำคัญมากที่สุด

พวกนี้จึงจะเน้นตรงที่ “วิธีการคิด” วิธีการเรียนรู้มากกว่า

ภาษาฝรั่งเขาใช้คำว่าเป็นพวกถนัดใช้ How to นั่นแหละ

 

คนฉลาดพวกนี้จะมีความสามารถในการเรียบเรียงความคิด

จะมีความสามารถในการจัดลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ได้ดี

คนฉลาดพวกนี้จึงสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมาได้

คนไทยที่ไม่ถนัดทำแบบนี้จึงนิยมก้าวตามพวกเขามาตลอด

เพราะถนัดหาคำตอบหาความรู้มากกว่าการคิดรู้นั่นเอง

 

เรื่องของกิเลสนี่ก็เหมือนกัน

พวกกูรูที่รู้จริงบ้างไม่จริงบ้างซึ่งออกมาสอนพวกคุณ

อยู่ในโซเชี่ยลว่า“กิเลสไม่ใช่ปัญหาถ้าอยากหลุดพ้น”

ซึ่งเป็นสัจธรรมเทียมเท็จเพราะถูกบิดเบือนอย่างชัดเจน

แม้ประโยคนี้หากพิจารณาผิวเผินจะดูหรูหราเข้าท่าดีมาก

แต่มันเคลือบแฝงด้วยการอาบยาพิษเอาไว้ข้างนอก

 

เพราะความจริงที่จริงแท้ก็คือ

 

1.กิเลส คือ #ความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ

กับไม่แน่ใจว่าตนชอบหรือไม่ชอบก็คือ #ลังเล

พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า “เกิดเวทนา” ขึ้นมานั่นเอง

 

2.กิเลสจะเป็นเหตุให้เกิด “ตัณหา”

คือ #ความอยากไม่อยาก กับไม่แน่ใจว่าอยากไม่อยาก

หมายถึงความลังเลหรือไม่แน่ใจตนเองว่าจะเอายังไงดี

 

3.ถ้าคุณปล่อยให้มันเกิดกิเลสขึ้นมาเมื่อไหร่

ตัณหามันก็จะเกิดขึ้นตามมาเหมือนเงาตามตัวในทันที

คุณก็จะห้ามความอยากไม่อยากไม่ให้มันเกิดไม่ได้แล้ว

อยากหรือไม่อยากมากเท่าไหร่จะยิ่งดับยากมากเท่านั้น

 

ลองพิจารณาก็ได้ว่าถ้ารถวิ่งมาแรงๆคุณจะเบรกอยู่ไหม

จิตหยาบที่เกิดกิเลสจนก่อตัณหาเป็นเงาตามมาก็เช่นกัน

คุณจึงจัดการที่ “ตัณหา” ซึ่งเป็น “ผลของเหตุ” ไม่ได้

เราจึงแนะให้คุณ “ตัดกิเลส” คือ #ดับที่เวทนา เท่านั้น

เพราะว่ากิเลสมารเป็นเหตุให้เกิดตัณหานั่นเอง

 

4.จริงอยู่นะ

ตลอดวันคุณใช้อายตนะภายนอกทั้งห้ากับภายในอีกหนึ่ง

สัมผัสรู้ดูเห็นและเกิดจิตสามนึกจากสิ่งเร้านั้นตลอดเวลา

จิตหยาบคุณจะเกิดกิเลสคือความรู้สึกขึ้นมาเป็นเบื้องต้น

กิเลสก็จะนำคุณไปสู่ “ตัณหา” คือ #อยาก เป็นเบื้องกลาง

ตัณหาจะพาคุณตกลงไปในบึงไฟคืออารมณ์ขยะในที่สุด

 

5.จากเบื้องต้นสู่เบื้องกลางและเบื้องปลายท้ายสุดนั้น

ระหว่างทางจิตหยาบของคุณมันจะไม่สงบเพราะจิตตก

คำว่าจิตตกหมายถึงจิตเดิมจะสั่นสะเทือนเป็นความถี่สูง

เมื่อเกิดกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะจิตก็จะสั่นเป็นความถี่ต่ำ

พวกผีโสโครกหรือพวกมารจึงหลอกว่านี่คือเกิด #ทุกข์

แล้วหลอกว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เพราะ “วางยา” ให้พวกคุณเสพติดกิเลสเอาไว้ให้แล้วนี่

พวกคุณจึงมีคำว่า “ทุกๆคน ทุกๆวัน” นั่นคือทุกข์ตลอด

คนชอบธรรมจึงพากันเกิดทุกข์จนขึ้นสมองเหมือนกุ้งเลย

 

เพราะ “อุจจาระกุ้ง” หรือขี้กุ้งนั้นมันอยู่บนหัว

โดยคำว่า “อุจจาระ” นั้นมันหมายถึง “ขี้” ที่ไปอยู่บนหัว

แทนที่ขี้กุ้งควรจะอยู่ในท้องในลำไส้เหมือนสัตว์อื่น

จึงนำเอาคำว่า “ขี้ขึ้นสมอง” จากคุณลักษณ์ของกุ้ง

มาใช้กับคนที่เกลียดกลัวความทุกข์จนขึ้นสมองด้วย

เพราะคำว่า “ปลดทุกข์” หมายถึงการถ่ายอุจจาระใช่ไหม

นี่เป็นความแยบยลของภาษาไทยที่พระบิดากำหนดไว้

 

เพราะถูกหลอกให้กลัวทุกข์จนขึ้นสมองนี่แหละ

พวกคุณจึงหลงทางนิพพานแบบตาลยอดด้วนตลอดมา

จนไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์อยากเกิดเป็นเทพเทวดา

ไปอยู่บนสวรรค์มายาที่พระบิดามิได้ปลูกสร้างไว้ให้อยู่

แล้วละทิ้งภารกิจจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระองค์มาทำ

เพื่อร่วมกันใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกนี้เอาไว้

หายไปจากโลกโยกย้ายแก่นแท้ไปติดค้างกันอยู่บนนั้น

ไปเป็นกรรมกรของมารที่ตนเนรมิตวิมานเท็จขึ้นมาเอง

 

6.ชีวิตประจำวันของพวกคุณที่ยังตัดกิเลสไม่สิ้น

จึงตกหลุมพรางของกิเลสอยู่ตลอดมาและตลอดไป

โดย #หลุมพรางของกิเลส มีอยู่ 2 แบบ คือ

 

#แบบที่หนึ่ง

คือ ตกลงไปใน “บึงไฟ” หมายถึง #ไฟอารมณ์

ซึ่งเป็นบึงไฟที่ร้อนแรงสามารถเผาจิตและกายได้

ขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ในระบบโลกนี้

โดยที่มันจะแผดเผาจิตวิญญาณคุณให้เร่าร้อน

เมื่อถึงวันที่คุณทิ้งกายสังขารจากการเป็นมนุษย์ด้วย

 

#แบบที่สอง

คือ ตกลงไปใน #บ่อย่ำองุ่น หมายถึง #สังสารวัฏ

คำว่า “สังสารวัฏ” หรือวัฏสงสารนี้หมายถึง

การเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณอยู่ในสามภพภูมิ

อันมีโลกมนุษย์และภพภูมินรกซึ่งพระเจ้าเป็นผู้สร้างไว้

กับสวรรค์มายาที่พระองค์มิได้ทรงปลูกสร้างเอาไว้ให้

 

เพราะพวกคุณหลายคน

ยังต้องเกิดต้องตายวนเวียนกันอยู่ในสามภพภูมินี้

ทั้งๆที่พระองค์ให้มาเกิดกันคนละภพชาติเดียว

คือมีอายุขัยอยู่ได้ตลอดหกหมื่นปีโดยมีชีวิตเป็นอมตะ

เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ความสมดุลของโลกเสรีนี้

ด้วยการทำหน้าที่อยู่ประจำโลกไม่ต้องโยกไปที่ไหน

แม้ใครต้องตกนรกพระองค์ก็สร้างนรกไว้ในแกนโลก

อย่างน้อยก็ช่วยทำหน้าที่ถ่วงโลกให้สมดุลได้ด้วย

 

ขณะไปติดค้างบนสวรรค์มายาเสวยสุขเพื่อตนเองนั้น

ยังเป็น “ขยะรกโลก” ที่รอวันจะถูกชำระทิ้งกันอีกด้วย

ในข้อหาผิดสัจจะในพันธะสัญญา 6 ไม่ยอมพิทักษ์โลก

เพราะเชื่อกรรมกรของผีโสโครกพวกคนนำทางตาบอด

ที่บิดเบือนพระวจนะและปิดบังสัจธรรมพระศาสดา

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ถ้ามองแบบมารที่สอนผ่านคนนำทางตาบอดหรือกูรูแล้ว

เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพเทวดาหรือว่าอยู่ในนรก

ก็สามารถเหมาเข่งว่า #เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ได้ทั้งสามภพ

 

เพราะไม่รู้ว่าถ้าไปเกิดบนสวรรค์มายาจะทุกข์เรื่องอะไร

เห็นมีกูรูสอนว่าได้อยู่วิมานเมืองแก้วแล้วกินหรูอยู่สบาย

งานการไม่ต้องทำได้แต่นั่งกรรมฐานเข้าฌานสมาบัติ

ชีวิตเทพเทวดาไม่ทุกข์ยากลำบากอะไรเลยนี่นา

จึงพากันยอมถูกหลอกแล้วไปฝักใฝ่อยู่ในเส้นทางนั้น

เพราะถูกสอนให้รังเกียจโลกกลัวตกนรกอยากไปสวรรค์

 

พระบิดาจึงทรงมีพระเมตตาให้เรากล่าวต่อพวกคุณว่า

#อยู่กับทุกข์ก็สุขได้ หากไม่ปฏิเสธมันโดยอยู่กับมันให้ได้

เปรียบดั่งการที่พวกคุณมีมือมีเท้าตามที่พระเจ้าสร้างให้

พวกคุณจึงรู้สึกเฉยชินไม่ทุกข์อะไรจนไม่รู้สึกอยากตัดทิ้ง

ไม่ต่างจากลิงที่มีหางยาวๆมันก็อยู่กับหางของมันได้

โดยมันจะอยู่กับหางของมันได้ทั้งชีวิตอย่างไม่เกิดทุกข์

เพราะลิงมองว่า “หางยาวๆ” เป็นสมบัติของมัน

ที่ใช้ประโยชน์เพื่อเอาไว้เกี่ยวเหนี่ยวกิ่งไม้ในบางครั้ง

ที่สองมือสองเท้ายังยึดเหนี่ยวเกี่ยวไว้กันตกไม่เพียงพอ

แถมหางยาวยังช่วยถ่วงดุลขณะวิ่งเดินห้อยโหนได้ด้วย

 

พวกทายาทของผีโสโครกที่ทำตนเป็นกูรู

จึงยกเอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพระพุทธเจ้า

มาบิดเบือนคำสอนจนทำให้คนโง่ง่ายใช้ปัญญาไม่เป็น

พากันหลงเชื่อตามถลำลึกโดยเชื่อว่ากิเลสมิใช่ปัญหา

โดยอ้างว่าหลักแห่งอนิจจังนั้นทุกสิ่งมัน #ไม่เที่ยงแท้

คำว่า “ไม่เที่ยงแท้” หมายถึง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

กิเลสก็เหมือนกันเมื่อมันเกิดได้พักหนึ่งเดี๋ยวก็ดับเอง

มิใช่ปัญหาพวกคุณจึงอย่าไปวิตกกังวลสนใจมันเลย

 

ไม่รู้ว่ากูรูตนนี้จะรู้สึก “ปวดแสบสีข้าง” กันบ้างไหม

เพราะปิดท้ายคำสอนท่อนนี้ไว้ว่า “ถ้าอยากหลุดพ้น”

ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ค่อนข้างจะคลุมเครือไม่ชัดเจนว่า

อยากหลุดพ้นจากอะไรหลุดพ้นแบบไหนและอย่างไร

 

ใครอยากรู้ตอนต่อไปให้ยกมือขึ้น!!!

 

เอเมน สาธุ

ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล

โดย #ปัญญาวิสุทธิ์

1/12/2566