#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กูรูบางคนที่เป็นกรรมกรของมาร
ผู้ซึ่งไม่ปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์โลกทั้งหลาย
ไม่อยากให้พวกคุณนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ที่เป็น “บ้านเกิดของจิตวิญญาณ”
ข้างนอกเอกภพ
ซึ่งมารหรือพวก “ผีโสโครก”
ไม่อาจหลุดออกไปได้
เนื่องจากเคยเห็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์บางรูปธรรม
หลุดพ้นออกไปข้างนอกโดยหายไปจากเอกภพนี้ได้
พวกตนที่ล่องลอยอยู่จึงอยากจะตามออกไปบ้าง
แต่ตามออกไปไม่ได้ทั้งๆที่พวกตนก็มีอภิญญฤทธิ์อยู่
จึงพยายามบิดเบือนพระวจนะพระศาสดา
พาให้คนชอบธรรมหลงทำตามจนผิดทางกันมาตลอด
พยายามปิดบังสัจธรรมความจริงที่จริงแท้เอาไว้ไม่ให้รู้
หลอกให้เสพติดกิเลสจนเข้าถึงความรักกับปัญญา
ที่เป็นอำนาจสูงสุดในตนเองที่พระบิดาติดตั้งไว้ไม่ได้
ยังผลให้พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลายงมงายโง่ง่ายกันมาก
เพราะรักไม่ได้ให้อภัยไม่ได้ทำบุญก็ทำอย่างมีเงื่อนไข
วิญญาณขันธ์จึงผลิตได้แต่ #พลังงานกรรมส่วนบุคคล
ไม่อาจผลิตสร้างพลังงานสะอาดแบบที่โลกต้องการได้
ทำให้ดาวเคราะห์โลกต้องเสียสมดุลเพราะขาดพลังงาน
ถ้าโลกเสียสมดุลมากเท่าไหร่
ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองจะช้าลงไปมากเท่านั้น
สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดก็คือ “แกนหมุน”
ของโลกจะแกว่งส่าย
ก๊าซออกซิเจนในทะเลในน้ำและในอากาศจะลดน้อยลง
จนบางเวลาบางพื้นที่ออกซิเจนจะเกิดการช็อตชั่วคราว
ฝูงปลาที่ว่ายน้ำกันอยู่จะขาดอากาศหายใจแบบฉับพลัน
จนพากันลอยคอขึ้นมาหายใจด้วยเหงือกเหนือพื้นน้ำ
แต่พวกเขาก็ต้องลอยคอตายเพราะไม่มีปอดช่วยหายใจ
ฝูงนกที่บินผ่านบริเวณน่านฟ้าที่ตรงนั้นก็เหมือนกัน
เมื่อขาดออกซิเจนที่ใช้หายใจแบบฉับพลันทันใด
ฝูงนกเหล่านั้นก็จะพากันพลัดตกลงมาตายกระทันหัน
เพราะสมองพวกเขาขาดก๊าซออกซิเจนจึงทำให้มึนงง
จนเกิดการเสียสมดุลทำให้ควบคุมตนเองต่อไปไม่ได้
เมื่อตกลงมาศีรษะก็ฟาดพื้นพวกเขาจึงต้องเสียชีวิตไป
นอกจากนั้น
ถ้าโลกขาดพลังงานสะอาดจากพลังงานจิตของมนุษย์
เส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกก็จะเบี่ยงเบนจากเดิมไปด้วย
พวกคุณจะต้องรู้ว่าความโง่ความฉลาดของชาวดาวโลก
ขึ้นอยู่กับแนวเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกเป็นสำคัญด้วย
มิได้ขึ้นกับ “พันธุกรรม”
และการฝึกคิดด้วยสมองเท่านั้น
ถ้าหากเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกพาดผ่านประเทศไทย
จะยังผลให้คนไทยทุกคนฉลาดมากกว่าคนในถิ่นอื่นทันที
เพราะในอดีตนั้นเส้นแรงแม่เหล็กโลกพาดผ่านภูมิภาคอื่น
อย่างหนาแน่นและแข็งแรงกว่าประเทศไทยในภูมิภาคนี้
#คนไทยจึงเป็นคนเจ้าปัญหามากกว่าเป็นคนเจ้าปัญญา
“คนเจ้าปัญหา”
คือคิดรู้เองไม่เป็นได้แต่อยากรู้ไปเรื่อย
จนต้องเรียนตามรู้ตามเชื่อตามก้าวตามคนชาติอื่นเสมอ
เพราะไปเน้นตรง #คำตอบ ที่ตนอยากรู้มากกว่าอย่างอื่น
เห็นว่าความรู้ก็คือ “คำตอบ”
นั้นสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด
การลอกเลียนแบบหรือขโมยความรู้ของคนอื่นจึงมีให้เห็น
ถ้าตนมีความรู้สึกว่ามันใช่เพราะเห็นแล้วได้ฟังแล้วชอบ
เนื่องจากเรียนรู้ไม่เป็นคิดเองไม่ได้
ส่วน “คนเจ้าปัญญา”
คืออยากรู้อะไรก็คิดรู้ด้วยตัวเองได้
มีความเป็นผู้นำทางปัญญาเพราะว่าฉลาดในการใช้สมอง
โดยผู้คนเหล่านี้เห็นว่า #วิธีคิดหาคำตอบ สำคัญมากที่สุด
พวกนี้จึงจะเน้นตรงที่ “วิธีการคิด”
วิธีการเรียนรู้มากกว่า
ภาษาฝรั่งเขาใช้คำว่าเป็นพวกถนัดใช้ How
to นั่นแหละ
คนฉลาดพวกนี้จะมีความสามารถในการเรียบเรียงความคิด
จะมีความสามารถในการจัดลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ได้ดี
คนฉลาดพวกนี้จึงสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมาได้
คนไทยที่ไม่ถนัดทำแบบนี้จึงนิยมก้าวตามพวกเขามาตลอด
เพราะถนัดหาคำตอบหาความรู้มากกว่าการคิดรู้นั่นเอง
เรื่องของกิเลสนี่ก็เหมือนกัน
พวกกูรูที่รู้จริงบ้างไม่จริงบ้างซึ่งออกมาสอนพวกคุณ
อยู่ในโซเชี่ยลว่า“กิเลสไม่ใช่ปัญหาถ้าอยากหลุดพ้น”
ซึ่งเป็นสัจธรรมเทียมเท็จเพราะถูกบิดเบือนอย่างชัดเจน
แม้ประโยคนี้หากพิจารณาผิวเผินจะดูหรูหราเข้าท่าดีมาก
แต่มันเคลือบแฝงด้วยการอาบยาพิษเอาไว้ข้างนอก
เพราะความจริงที่จริงแท้ก็คือ
1.กิเลส คือ #ความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ
กับไม่แน่ใจว่าตนชอบหรือไม่ชอบก็คือ #ลังเล
พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า “เกิดเวทนา”
ขึ้นมานั่นเอง
2.กิเลสจะเป็นเหตุให้เกิด “ตัณหา”
คือ #ความอยากไม่อยาก กับไม่แน่ใจว่าอยากไม่อยาก
หมายถึงความลังเลหรือไม่แน่ใจตนเองว่าจะเอายังไงดี
3.ถ้าคุณปล่อยให้มันเกิดกิเลสขึ้นมาเมื่อไหร่
ตัณหามันก็จะเกิดขึ้นตามมาเหมือนเงาตามตัวในทันที
คุณก็จะห้ามความอยากไม่อยากไม่ให้มันเกิดไม่ได้แล้ว
อยากหรือไม่อยากมากเท่าไหร่จะยิ่งดับยากมากเท่านั้น
ลองพิจารณาก็ได้ว่าถ้ารถวิ่งมาแรงๆคุณจะเบรกอยู่ไหม
จิตหยาบที่เกิดกิเลสจนก่อตัณหาเป็นเงาตามมาก็เช่นกัน
คุณจึงจัดการที่ “ตัณหา” ซึ่งเป็น
“ผลของเหตุ” ไม่ได้
เราจึงแนะให้คุณ “ตัดกิเลส” คือ #ดับที่เวทนา เท่านั้น
เพราะว่ากิเลสมารเป็นเหตุให้เกิดตัณหานั่นเอง
4.จริงอยู่นะ
ตลอดวันคุณใช้อายตนะภายนอกทั้งห้ากับภายในอีกหนึ่ง
สัมผัสรู้ดูเห็นและเกิดจิตสามนึกจากสิ่งเร้านั้นตลอดเวลา
จิตหยาบคุณจะเกิดกิเลสคือความรู้สึกขึ้นมาเป็นเบื้องต้น
กิเลสก็จะนำคุณไปสู่ “ตัณหา” คือ #อยาก เป็นเบื้องกลาง
ตัณหาจะพาคุณตกลงไปในบึงไฟคืออารมณ์ขยะในที่สุด
5.จากเบื้องต้นสู่เบื้องกลางและเบื้องปลายท้ายสุดนั้น
ระหว่างทางจิตหยาบของคุณมันจะไม่สงบเพราะจิตตก
คำว่าจิตตกหมายถึงจิตเดิมจะสั่นสะเทือนเป็นความถี่สูง
เมื่อเกิดกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะจิตก็จะสั่นเป็นความถี่ต่ำ
พวกผีโสโครกหรือพวกมารจึงหลอกว่านี่คือเกิด
#ทุกข์
แล้วหลอกว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เพราะ “วางยา”
ให้พวกคุณเสพติดกิเลสเอาไว้ให้แล้วนี่
พวกคุณจึงมีคำว่า “ทุกๆคน ทุกๆวัน”
นั่นคือทุกข์ตลอด
คนชอบธรรมจึงพากันเกิดทุกข์จนขึ้นสมองเหมือนกุ้งเลย
เพราะ “อุจจาระกุ้ง”
หรือขี้กุ้งนั้นมันอยู่บนหัว
โดยคำว่า “อุจจาระ” นั้นมันหมายถึง “ขี้”
ที่ไปอยู่บนหัว
แทนที่ขี้กุ้งควรจะอยู่ในท้องในลำไส้เหมือนสัตว์อื่น
จึงนำเอาคำว่า “ขี้ขึ้นสมอง”
จากคุณลักษณ์ของกุ้ง
มาใช้กับคนที่เกลียดกลัวความทุกข์จนขึ้นสมองด้วย
เพราะคำว่า “ปลดทุกข์”
หมายถึงการถ่ายอุจจาระใช่ไหม
นี่เป็นความแยบยลของภาษาไทยที่พระบิดากำหนดไว้
เพราะถูกหลอกให้กลัวทุกข์จนขึ้นสมองนี่แหละ
พวกคุณจึงหลงทางนิพพานแบบตาลยอดด้วนตลอดมา
จนไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์อยากเกิดเป็นเทพเทวดา
ไปอยู่บนสวรรค์มายาที่พระบิดามิได้ปลูกสร้างไว้ให้อยู่
แล้วละทิ้งภารกิจจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระองค์มาทำ
เพื่อร่วมกันใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกนี้เอาไว้
หายไปจากโลกโยกย้ายแก่นแท้ไปติดค้างกันอยู่บนนั้น
ไปเป็นกรรมกรของมารที่ตนเนรมิตวิมานเท็จขึ้นมาเอง
6.ชีวิตประจำวันของพวกคุณที่ยังตัดกิเลสไม่สิ้น
จึงตกหลุมพรางของกิเลสอยู่ตลอดมาและตลอดไป
โดย #หลุมพรางของกิเลส มีอยู่ 2 แบบ คือ
คือ ตกลงไปใน “บึงไฟ” หมายถึง #ไฟอารมณ์
ซึ่งเป็นบึงไฟที่ร้อนแรงสามารถเผาจิตและกายได้
ขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ในระบบโลกนี้
โดยที่มันจะแผดเผาจิตวิญญาณคุณให้เร่าร้อน
เมื่อถึงวันที่คุณทิ้งกายสังขารจากการเป็นมนุษย์ด้วย
คือ ตกลงไปใน #บ่อย่ำองุ่น หมายถึง #สังสารวัฏ
คำว่า “สังสารวัฏ”
หรือวัฏสงสารนี้หมายถึง
การเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณอยู่ในสามภพภูมิ
อันมีโลกมนุษย์และภพภูมินรกซึ่งพระเจ้าเป็นผู้สร้างไว้
กับสวรรค์มายาที่พระองค์มิได้ทรงปลูกสร้างเอาไว้ให้
เพราะพวกคุณหลายคน
ยังต้องเกิดต้องตายวนเวียนกันอยู่ในสามภพภูมินี้
ทั้งๆที่พระองค์ให้มาเกิดกันคนละภพชาติเดียว
คือมีอายุขัยอยู่ได้ตลอดหกหมื่นปีโดยมีชีวิตเป็นอมตะ
เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ความสมดุลของโลกเสรีนี้
ด้วยการทำหน้าที่อยู่ประจำโลกไม่ต้องโยกไปที่ไหน
แม้ใครต้องตกนรกพระองค์ก็สร้างนรกไว้ในแกนโลก
อย่างน้อยก็ช่วยทำหน้าที่ถ่วงโลกให้สมดุลได้ด้วย
ขณะไปติดค้างบนสวรรค์มายาเสวยสุขเพื่อตนเองนั้น
ยังเป็น “ขยะรกโลก”
ที่รอวันจะถูกชำระทิ้งกันอีกด้วย
ในข้อหาผิดสัจจะในพันธะสัญญา 6
ไม่ยอมพิทักษ์โลก
เพราะเชื่อกรรมกรของผีโสโครกพวกคนนำทางตาบอด
ที่บิดเบือนพระวจนะและปิดบังสัจธรรมพระศาสดา
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ถ้ามองแบบมารที่สอนผ่านคนนำทางตาบอดหรือกูรูแล้ว
เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพเทวดาหรือว่าอยู่ในนรก
ก็สามารถเหมาเข่งว่า #เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ได้ทั้งสามภพ
เพราะไม่รู้ว่าถ้าไปเกิดบนสวรรค์มายาจะทุกข์เรื่องอะไร
เห็นมีกูรูสอนว่าได้อยู่วิมานเมืองแก้วแล้วกินหรูอยู่สบาย
งานการไม่ต้องทำได้แต่นั่งกรรมฐานเข้าฌานสมาบัติ
ชีวิตเทพเทวดาไม่ทุกข์ยากลำบากอะไรเลยนี่นา
จึงพากันยอมถูกหลอกแล้วไปฝักใฝ่อยู่ในเส้นทางนั้น
เพราะถูกสอนให้รังเกียจโลกกลัวตกนรกอยากไปสวรรค์
พระบิดาจึงทรงมีพระเมตตาให้เรากล่าวต่อพวกคุณว่า
#อยู่กับทุกข์ก็สุขได้ หากไม่ปฏิเสธมันโดยอยู่กับมันให้ได้
เปรียบดั่งการที่พวกคุณมีมือมีเท้าตามที่พระเจ้าสร้างให้
พวกคุณจึงรู้สึกเฉยชินไม่ทุกข์อะไรจนไม่รู้สึกอยากตัดทิ้ง
ไม่ต่างจากลิงที่มีหางยาวๆมันก็อยู่กับหางของมันได้
โดยมันจะอยู่กับหางของมันได้ทั้งชีวิตอย่างไม่เกิดทุกข์
เพราะลิงมองว่า “หางยาวๆ”
เป็นสมบัติของมัน
ที่ใช้ประโยชน์เพื่อเอาไว้เกี่ยวเหนี่ยวกิ่งไม้ในบางครั้ง
ที่สองมือสองเท้ายังยึดเหนี่ยวเกี่ยวไว้กันตกไม่เพียงพอ
แถมหางยาวยังช่วยถ่วงดุลขณะวิ่งเดินห้อยโหนได้ด้วย
พวกทายาทของผีโสโครกที่ทำตนเป็นกูรู
จึงยกเอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ของพระพุทธเจ้า
มาบิดเบือนคำสอนจนทำให้คนโง่ง่ายใช้ปัญญาไม่เป็น
พากันหลงเชื่อตามถลำลึกโดยเชื่อว่ากิเลสมิใช่ปัญหา
โดยอ้างว่าหลักแห่งอนิจจังนั้นทุกสิ่งมัน
#ไม่เที่ยงแท้
คำว่า “ไม่เที่ยงแท้” หมายถึง เกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไป
กิเลสก็เหมือนกันเมื่อมันเกิดได้พักหนึ่งเดี๋ยวก็ดับเอง
มิใช่ปัญหาพวกคุณจึงอย่าไปวิตกกังวลสนใจมันเลย
ไม่รู้ว่ากูรูตนนี้จะรู้สึก
“ปวดแสบสีข้าง” กันบ้างไหม
เพราะปิดท้ายคำสอนท่อนนี้ไว้ว่า
“ถ้าอยากหลุดพ้น”
ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ค่อนข้างจะคลุมเครือไม่ชัดเจนว่า
อยากหลุดพ้นจากอะไรหลุดพ้นแบบไหนและอย่างไร
ใครอยากรู้ตอนต่อไปให้ยกมือขึ้น!!!
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
1/12/2566