#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สำหรับมนุษย์โลกซึ่งโลกเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีนี้
มีหน้าที่จะต้องคนสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้
ด้วยวิธีการ #หมุนธรรมจักรในตนเอง ให้เป็นผลสำเร็จ
โดยใช้ความรักเพื่อให้ที่เป็นความรักอันบริสุทธิ์สะอาด
ทำการสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็นกระบวนการ
5 ขั้นตอน
ที่พระศาสดาทรงเรียกว่า “ขันธ์ 5” อันประกอบด้วย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาณขันธ์ตามลำดับ
โดยจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของคุณจะต้องสั่นสะเทือน
เพื่อการทำงานร่วมกันกับกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
ทันทีที่จิตมีการ #รับรู้ ข้อมูลการสัมผัสสิ่งเร้าภายนอก
ที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งเพื่อ
#การเรียนรู้
ให้รู้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้นมันคืออะไรอย่างไรทำไม
เพื่อทำความไม่รู้แต่เดิมนั้นให้ได้รู้กระจ่างสว่างกมล
แน่นอนว่า
ถ้าต้องการเรียนรู้โลกหรือทุกสิ่งในมิติทางกายภาพนั้น
ความสามารถในการเป็นคนช่างสังเกตด้วยอายตนะทั้ง
5
กับความสามารถในการใช้ #จิตตปัญญา ทั้งสองเรื่องนี้
พวกคุณจักต้องฝึกทักษะในการใช้งานกันให้ชำนาญด้วย
ตัวอย่างเช่น
ต้องฝึกตาให้ไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
ต้องฝึกหูให้ไวต่อสิ่งที่ได้ยิน
ต้องฝึกทักษะในการควบคุมจิตให้เข้าถึงความว่าง
ต้องฝึกทักษะในการกำหนดนึกเพื่อให้สมองคิด
ต้องฝึกทักษะในการรับรู้เพื่อการคิดรู้
ต้องฝึกทักษะในการคิดรู้อย่างมีหลักการและเหตุผล
ถ้าคุณสามารถเข้าถึงคุณสมบัติทั้ง
6 ที่ว่านี้ได้
จึงจะถูกเรียกว่าเป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ
เพราะคุณจะเป็นพหูสูตเป็นปราชญ์เมธีหรือบัณฑิต
ซึ่งมากด้วยภูมิรู้และภูมิปัญญาอย่างเต็มล้นกับเขาได้
โดยจะไม่รู้สึกว่าตนเสียชาติเกิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ยิ่งถ้าคุณเป็น “อัจฉริยะบุคคล”
ได้แล้ว
ยังสามารถนำเอาภูมิรู้กับภูมิปัญญาของตนที่มีอยู่
ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่องานและเพื่อสังคมได้
คุณก็จะมี #ภูมิทำ เป็นคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาได้ด้วย
มันยิ่งจะทำให้คุณเป็นผู้มีพลังอำนาจในมิติโลกสูงสุด
คือมีภูมิรู้ภูมิปัญญาและภูมิทำที่จะทำให้มั่งคั่งมั่นคง
ตราบชั่วชีวิตนี้กันเลยทีเดียว
ภารกิจของจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของคุณ
ซึ่งรับบทบาทหน้าที่เป็นคนสองมิติแทนจิตวิญญาณ
มิได้มีแค่การพัฒนาจิตตปัญญาให้เป็นอัจฉริยะเท่านั้น
พวกคุณยังต้องยกระดับสู่การเป็น #อริยะบุคคล ด้วย
โดยคุณสมบัติของอริยะบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วย
ทั้ง 4 ภูมิดังต่อไปนี้ คือ
1.มีภูมิรู้ที่ได้จาก
การเป็นคนชอบเรียนรู้
2.มีภูมิปัญญาที่ได้จาก
การเป็นคนชอบคิดช่างคิด
3.มีภูมิทำที่ได้จาก
การเป็นคนชอบปฏิบัติชอบทำ
4.มีภูมิธรรมที่ได้จาก
การเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม
ถ้าคุณต้องการสร้างคุณสมบัติของคนชอบธรรม
คุณก็จะต้องเพิ่ม “ภูมิธรรม”
ในตนเองให้ได้ด้วย
โดยการเพิ่มภูมิธรรมนี้จะทำได้ด้วย
3 วิธีคือ
1.#ด้วยการอ่านพระคัมภีร์หรือพระไตรปิฎก
ที่มีผู้หยิบยกเอาพระวจนธรรมคำสอนของศาสดา
มาจดจารบันทึกไว้เป็นหลักธรรมคำสอนสืบเนื่องมา
ซึ่งผู้อ่านจักต้องรอบครอบระมัดระวังในการอ่านด้วย
เพราะพระศาสดามิได้ทรงบันทึกคำสอนนั้นด้วยตนเอง
จึงมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือบิดเบือนแฝงอยู่
คุณจึงต้องอ่านแล้วคิดตามให้เข้าใจควบคู่กันไปด้วย
จงอย่าเชื่อตามทันทีที่ได้อ่านเพราะว่าคุณรู้สึกชอบ
จงอย่าปฏิเสธทันทีที่ได้อ่านเพราะคุณรู้สึกว่าไม่ชอบ
โดยที่คุณยังไม่เข้าใจในคำสอนนั้นๆเลยว่าคืออะไร
โดยที่คุณยังไม่เข้าใจในคำสอนนั้นๆเลยว่าคืออย่างไร
ซึ่งเป็นลักษณะของคนโง่ง่ายจนงมงายทั้งสิ้น
จงอย่าเชื่อในทันทีที่คุณได้อ่าน
เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่เขาเชื่อกันมาแต่โบราณแล้ว
ตนจึงตัดสินใจแห่ตามหรือเชื่อตามคนโบราณไป
โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาก่อนตัดสินใจเชื่อตาม
จงอย่าปฏิเสธในทันทีที่คุณได้อ่าน
เพราะเห็นว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนั้นมานานแล้ว
ตนจึงตัดสินใจแห่ตามหรือไม่เชื่อตามคนพวกนั้นไป
โดยมิได้ใช้สติปัญญาก่อนตัดสินใจว่าไม่เชื่อตาม
คนประเภทดังกล่าวนี้เป็นคนที่เรียกว่า
#เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง นั่นเอง
2.#ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านผู้รู้จริง
เนื่องจาก “ผู้รู้จริง”
ในสัจธรรมทั้งหลายนั้นหายากมาก
เพราะต้องเป็นทั้งนักบวชนักเรียนและนักปฏิบัติแท้จริง
ซึ่งพวกคุณไม่อาจพิจารณาจากมายาภายนอกที่เห็นได้
นอกจากฉลาดฟังฉลาดรับรู้และฉลาดเรียนรู้กันเท่านั้น
เนื่องจาก “มายาภายนอก”
สามารถหลอกลวงกันได้
แต่สาระธรรมที่เขาบอกไม่สามารถจะหลอกคนฉลาดได้
ถ้าคุณใช้ปัญญาของสมองสองซีกซ้ายและขวาเป็น
3.#ด้วยวิธีฝึกทักษะการใช้สมองซีกขวาของตนเอง
โดยนำเอาสาระธรรมที่คุณฟังอยู่อ่านอยู่และเห็นอยู่
มา #สังเคราะห์ ด้วย #ปัญญาญาณของสมองซีกขวา
เพื่อทำความเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นก่อนนำไปปฏิบัติ
ให้เห็นจริงและเห็นแจ้งในชีวิตจริงของตนต่อไป
ทั้งสามประการนี้คือการเพิ่มภูมิธรรมให้ตนเอง
บนเส้นทางแห่งการเป็น #อริยะบุคคล โดยแท้
โปรดติดตามตอนต่อไป
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
27/12/2566