#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มนุษย์ถูก “ล้างสมอง” ให้ปฏิเสธ #พระเจ้า ตลอดมา
ทั้ง
ๆที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกชนชาติทุกเผ่า
รวมทั้งจิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกทุกตัวด้วย
โดยมีการล้างสมองด้วยวิธีที่ 2
ก็คือ
2.#สอนให้คิดแบบจิตมนุษย์ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง
ถ้าพระองค์ทรงมีตัวตนอยู่จริงแล้วไหนล่ะพระองค์?
หากพระเจ้าทรงมีอยู่จริงมนุษย์ทุกคนก็ต้องมองเห็นสิ
บางคนกล่าวกับเราว่าถ้าจะให้เชื่อว่าทรงมีอยู่จริงแล้ว
“ช่วยบอกให้ท่านปรากฏพระองค์ให้ฉันเห็นก่อนสิ”
การกล่าวทำนองนี้คือ #การคิดแบบจิตมนุษย์ นั่นเอง
มนุษย์จะยึดติดการเชื่ออายตนะภายนอกทั้งห้ามาก
เชื่อจนกลายเป็นยึดติดว่า
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”
แถมเชื่อว่า “สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำ”
อีกด้วย
ในขณะที่บางทีตนเองก็กลับไปเชื่อตามคนเขาเล่าว่า
เพียงใช้แค่สองรูหูอย่างเดียวก็
“เชื่อตาม” คนอื่นแล้ว
โดยที่ตาทั้งสองข้างและอายตนะอื่นยังไม่ได้ใช้เลย
จึงถูกกล่าวหาว่า #หูเบา คือฟังปุ๊บเชื่อปั๊บกันนั่นแหละ
ซึ่งพิจารณาดูแล้วคนพวกนี้ล้วนมีความสับสนในตนเอง
จนมองหา #มาตรฐาน ในการดำเนินชีวิตไม่ได้เลย
สาเหตุที่คนส่วนมากเหล่านี้ไม่มีมาตรฐานเรื่องการเชื่อ
เพราะขาด #หลักการ และขาด #วิธีการคิดด้วยสมอง
เนื่องจาก “เชื่อ-ไม่เชื่อ”
เป็นความรู้สึก คือ #กิเลส
คอยปิดกั้น “พลังจิต”
ให้สั่นสะเทือนเซลล์สมองได้ยาก
ถ้าเซลล์ประสาทสมองสั่นสะเทือนได้ไม่สูงมากพอ
ความฉลาดทางปัญญาอันเป็นอำนาจในการคิดก็จะต่ำ
เมื่อจิตหยาบเข้าถึงสมองด้วยคลื่นความถี่ในระดับต่ำ
จะทำให้ความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองคุณต่ำด้วย
นี่คือที่มาของความฉลาดทางปัญญาของสมองที่ตกต่ำ
เพราะมีกิเลสที่เป็นมารภายในเป็นอุปสรรคอยู่นั่นแหละ
ยังผลให้คิดไม่ออกบอกไม่ได้จนต้องทำตามกิเลสไป
ผลที่ออกมาจึงได้จาก #ความเชื่อหรือไม่เชื่อ เท่านั้น
มิใช่ได้มาจากการใช้วิจารณญาณจากการคิดตัดสินใจ
ด้วยหลักการและเหตุผลตามกระบวนการในการคิดรู้
ด้วยอำนาจแท้จริงที่ตนและทุกคนมีอยู่แต่อย่างใด
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #กิเลสเป็นสาเหตุให้ขาดสติ
เมื่อขาดสติก็เข้าถึงการคิดด้วยปัญญาของสมองไม่ได้
เพราะสมองซีกซ้ายจะคิดให้คุณได้ต่อเมื่อมีสติเท่านั้น
คำว่า #มีสติ หมายถึง
คุณต้องฉลาดในการใช้จิตออกคำสั่งให้สมองคิด
การใช้จิตกำหนดสั่งให้สมองคิดพระบิดาเรียกว่า
#นึก
การนึกหมายถึง #การตั้งคำถามตัวเอง ตามที่อยากรู้
ถ้าคุณตั้งคำถามตนเองไม่ตรงกับที่อยากรู้แล้ว
สมองของคุณมันก็จะคิดพิจารณาหาคำตอบให้ไม่ได้
ถ้าคุณตั้งคำถามผิดประเด็นจากที่คุณต้องการจะรู้
สมองของคุณก็จะหาคำตอบมาให้ไม่ตรงตามต้องการ
ถ้าคุณตั้งคำถามตนเองทีเดียวหลายๆคำถาม
นั่นคือนึกโน่นนึกนั่นนึกนี่แบบคนขี้สับสนสงสัย
ซึ่งเป็นการสั่งให้สมองของคุณคิดพร้อมกันหลายเรื่อง
คุณก็จะเกิดอาการ “ประสาทเครียด”
ปวดหัวคลื่นไส้
เพราะสมองของคุณมันเกิดอาการ “เอ๋อเหรอ (Error)”
คุณต้องจำเอาไว้ว่า
จิตหยาบของคุณมันจะทำงานได้ดีมีประสิทธิผล
มันจะสั่นสะเทือนเพื่อการทำงานได้ทีละเรื่องทีละอย่าง
ลักษณะเดียวกันกับสายกีตาร์ที่มันจะสั่นได้ทีละตัวโน้ต
คุณนึกดูสิมีสายกีตาร์เส้นไหนบ้างที่คุณกดแล้วดีดมัน
ทำให้เกิดเสียงตัวโน้ตออกมามากกว่าหนึ่งเสียงได้
มันไม่เคยมีและเป็นไปไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้นนั่นแหละคุณ
ที่มันทำงานได้ทีละอย่างในที่นี้ก็คือ #สมอง
ขณะที่จิตหยาบของคุณนั้นมันจะมีนิสัยซนเหมือนลิง
เดี๋ยวก็นึกนั่นเดี๋ยวก็นึกโน่นเดี๋ยวก็นึกนี่นึกไปเรื่อย
ๆ
เพราะจิตหยาบมนุษย์มันมีตั้ง #สามนึก คือจิตสามนึก
ประกอบด้วย #นึกออก #นึกเอา และ #นึกเอง
ถ้าคุณไม่กำกับควบคุมการนึกของตนไว้ด้วย #มหาสติ
การนึกด้วยจิตเพื่อคิดด้วยสมองก็จะสะเปะสะปะเสมอ
อีกทั้งถ้าคุณยิ่งปล่อยให้จิตมันนึกไปตามกิเลสมาร
โดยสวมแว่นเลนส์สีมิใช่เลนส์ใสในการมองโลกแล้ว
คุณก็จะกลายเป็นคนมองโลก “เพี้ยน”
ไปคือไม่ปกติ
เนื่องจากคุณมองโลกด้วยกิเลสมิใช่ปัญญาคือตาที่สาม
เพราะไม่เคยเห็น “พระเจ้า”
จึงไม่เชื่อว่ามีจริง
ทั้ง
ๆที่มีพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบุตรเอก
สละตนเองเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อฉุดช่วย
ด้วยการเข้ามาสื่อพระโอวาทจากพระองค์ให้รับรู้รับฟัง
โดยเฉพาะพระอนุตรธรรมที่มนุษย์เองเข้าถึงเองไม่ได้
ต้องใช้สมองคิดตามพระบุตรเอกที่กล่าวให้ฟังเท่านั้น
เนื่องจากสมองสองซีกของมนุษย์มีขีดจำกัดในการใช้
พระองค์จึงต้องมีบัญชาให้พระบุตรเอกเสด็จมาฉุดช่วย
โดยคนที่ไม่เชื่อเพราะไม่เคยเห็นตัวตนของพระเจ้า
มีความตีบตันทางปัญญาซึ่งเรียกว่าใช้ตาที่สามไม่เป็น
จนไม่อาจคิดรู้เองได้ว่าพระโอวาทที่พระบุตรเอกสื่อมา
เป็นสัจธรรมความจริงระดับอนุตรธรรมทั้งหลายนั้น
ไม่ต่างจาก “เงาของพระเจ้า”
หรือพระฉายของพระองค์
หากไม่มีพระเจ้าแล้วจะมี #อนุตรธรรม ได้อย่างไรกัน
พระบุตรเอกทุกรูปธรรมที่พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา
จึงกล่าวต่อพวกคุณว่าพระองค์สื่อพระโอวาทจากพระเจ้า
มิได้ทรงเป็นครูผู้สอนเองแต่ทรงเป็น #ผู้สื่อสอน เท่านั้น
หน้าที่ของมนุษย์มีแค่เพียงรับรู้รับฟังพระโอวาทนั้น
แล้วนำสาระธรรมมาขบคิดพิจารณาเพื่อการเรียนรู้ให้เข้าใจ
แล้วนำไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เข้าถึงแก่นอนุตรธรรมนั้น
เพื่อพิสูจน์ในเบื้องปลายว่าเป็นอนุตรธรรมแท้จริงหรือไม่
ถ้าค้นพบว่าเป็นความจริงที่ไม่มีผู้ใดในโลกจะกล่าวได้
จึงค่อยสรุปว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีอยู่จริง
นี่คือการเห็นพระเจ้าด้วยปัญญามิใช่หลงยึดติดแต่อายตนะ
คุณเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจที่มันอวดแสดงฤทธิ์ให้ประจักษ์
โดยมีร่างทรงบ้างตัวแทนของพวกมันบ้างเป็นผู้สำแดง
ซึ่งมันคือการใช้ “มายา”
ล่อลวงให้คุณหลงผิดเห็นผิด
ขณะที่คุณไม่รู้ว่าเบื้องหลังของมายาที่ปราฏมันคืออะไร
ขณะที่อนุตรธรรมของพระบิดาจากพระโอวาทที่สื่อมาให้
มนุษย์ทุกคนต้องเป็นผู้แสดงเองกระทำตามด้วยตนเอง
เพื่อประจักษ์แจ้งในความจริงทั้งหลายที่ทรงสื่อสอนมา
ตามที่ชาวพุทธทั้งหลายเรียกว่าเป็น #ปัจจัตตัง
ความหมายแท้จริงคือสัจธรรมทุกสิ่งต้องรู้ได้ด้วยตนเอง
นั่นคือต้องนำเอาคำสอนนั้นๆไปปฏิบัติในชีวิตจริงนั่นเอง
จะท่องจำแล้วทำตามที่จำเขามาโดยไม่เข้าใจนั้นไม่ได้
เพราะเคยเห็นรูปปั้นของเทพเจ้าที่ผีโสโครกสร้างขึ้น
เพราะเคยเห็นจิตวิญญาณผีโสโครกมาเข้าร่างสั่นทรง
เพราะเคยเห็นร่างทรงแทงแก้มแทงปากทำร้ายตนเอง
จนเกิดบาดแผลโลหิตไหลหยดแดงฉานเหมือนไม่ปวด
เพราะเคยเห็นว่าเขาใบ้หวยให้มนุษย์หลายคนรวยได้
เพราะเคยเห็นเขาขับไล่ภูตผีปีศาจร้ายได้
เพราะเคยเห็นว่าเขาช่วยคนป่วยคนพิการให้ดีขึ้นได้
เพราะเคยรู้เห็นว่าเขาทำนายโชคชะตาได้แม่นยำ
เพราะเคยรู้เห็นว่าเขาสามารถอ่านจิตคนได้
ฯลฯ
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้มันมีทั้งเรื่องจริงและเท็จ
ตามที่พวกคุณคุ้นเคยกันว่า #ในจริงมีเท็จในเท็จมีจริง
พวกผีโสโครกที่อยู่เบื้องหลังมายาเหล่านี้นั้น
ต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณสิ้นเปลืองไปค่อนข้างมาก
เพื่อจูงใจให้พวกคุณเชื่อตามตามที่ตาเห็นนั้น
แต่นานวันเข้าพลังทางจิตวิญญาณด้านฤทธิ์อภิญญา
ก็ตกต่ำจาก 6D
จนเหลือ 5D เพราะใช้มากเกิน
โดยใช้จนเพลินไปกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องใช้ทำสิ่งที่ไม่ควร
พระบิดาหรือพระเจ้าจึงทรงริบรับเอากลับคืนไป
เหวี่ยงออกมาเท่าไหร่จะถูกเอากลับคืนเท่านั้น
เมื่อพวกเขารู้ตัวจึงต้องมีรายการเท็จเสริมจริงบ้าง
ดังนั้น
จงเชื่อตามพระพุทธเจ้าของคุณเถอะ
ที่ทรงตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเรา”
เพราะโลกียะธรรมต่างๆที่พระองค์ได้ตรัสสอนไว้
รวมทั้งสิ้น 84,000
พระธรรมขันธ์เหล่านั้น
ถ้าใครเข้าใจและเข้าถึงได้แสดงว่าผู้นั้น
“เห็นธรรม”
เมื่อใครเห็นธรรมก็เท่ากับว่าผู้นั้น
“เห็นพระองค์” แล้ว
อนุตรธรรมจากพระโอวาทที่เราสื่อมาจากพระเจ้า
ที่เราถวายพระนามต่อพระองค์ว่า #จิตจักรวาล นี้นั้น
พวกคุณก็จะต้องใช้ตาที่สามคือดวงตาแห่งปัญญา
มองเห็นพระองค์จริงของพระเจ้าด้วยจิตปัญญาให้ได้
มิใช่หน้าที่ของพระองค์จะต้องทำอะไรมากไปกว่านี้
เพื่อให้คุณง่ายต่อการยอมรับพระองค์ด้วยอัตตามายา
เหมือนพวกผีโสโครกที่เป็นมารตัวร้ายทั้งหลายใช้กัน
คุณจงจำไว้ว่า
ถ้าคุณอยากรู้อยากเห็นอยากสัมผัสกับ
“ต้นมะพร้าว”
ก็ต้องเดินทางไปยังต้นมะพร้าวสักต้นหนึ่งที่ไปถึงได้
ไม่มีมะพร้าวต้นไหนที่คุณอยากรู้จักเดินทางมาหาคุณ
ถ้าคุณอยากพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่
ก็ต้องนำพระโอวาทที่ทรงสื่อผ่านมาทางพระบุตรเอก
ไปปฏิบัติทำในชีวิตจริงของคุณให้เป็นรูปธรรมให้ได้
เพราะพระโอวาทที่เป็นอนุตรธรรมคำสอนของพระองค์
ล้วนเป็นแผนที่เดินทางสำหรับจิตวิญญาณของคุณ
ที่จิตหยาบต้องรู้และต้องปฏิบัติตามให้ถูกตรงครบถ้วน
จะได้ไม่ตกบ่อย่ำองุ่นจนหลุดพ้นกลับบ้านไม่ได้
หรือตกไปในบึงไฟจนเสียเวลางานหรือกลับบ้านช้า
การหลุดพ้นกลับบ้านมีสถานเดียวที่จะได้พบพระองค์
(ยังมีตอนต่อไป)
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
12/12/2566