12 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 12/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

มนุษย์ถูก “ล้างสมอง” ให้ปฏิเสธ #พระเจ้า ตลอดมา

ทั้ง ๆที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกชนชาติทุกเผ่า

รวมทั้งจิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกทุกตัวด้วย

โดยมีการล้างสมองด้วยวิธีที่ 2 ก็คือ

 

2.#สอนให้คิดแบบจิตมนุษย์ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง

 

ถ้าพระองค์ทรงมีตัวตนอยู่จริงแล้วไหนล่ะพระองค์?

หากพระเจ้าทรงมีอยู่จริงมนุษย์ทุกคนก็ต้องมองเห็นสิ

บางคนกล่าวกับเราว่าถ้าจะให้เชื่อว่าทรงมีอยู่จริงแล้ว

ช่วยบอกให้ท่านปรากฏพระองค์ให้ฉันเห็นก่อนสิ”

การกล่าวทำนองนี้คือ #การคิดแบบจิตมนุษย์ นั่นเอง

 

มนุษย์จะยึดติดการเชื่ออายตนะภายนอกทั้งห้ามาก

เชื่อจนกลายเป็นยึดติดว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

แถมเชื่อว่า “สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำ” อีกด้วย

ในขณะที่บางทีตนเองก็กลับไปเชื่อตามคนเขาเล่าว่า

เพียงใช้แค่สองรูหูอย่างเดียวก็ “เชื่อตาม” คนอื่นแล้ว

โดยที่ตาทั้งสองข้างและอายตนะอื่นยังไม่ได้ใช้เลย

จึงถูกกล่าวหาว่า #หูเบา คือฟังปุ๊บเชื่อปั๊บกันนั่นแหละ

ซึ่งพิจารณาดูแล้วคนพวกนี้ล้วนมีความสับสนในตนเอง

จนมองหา #มาตรฐาน ในการดำเนินชีวิตไม่ได้เลย

 

สาเหตุที่คนส่วนมากเหล่านี้ไม่มีมาตรฐานเรื่องการเชื่อ

เพราะขาด #หลักการ และขาด #วิธีการคิดด้วยสมอง

เนื่องจาก “เชื่อ-ไม่เชื่อ” เป็นความรู้สึก คือ #กิเลส

คอยปิดกั้น “พลังจิต” ให้สั่นสะเทือนเซลล์สมองได้ยาก

ถ้าเซลล์ประสาทสมองสั่นสะเทือนได้ไม่สูงมากพอ

ความฉลาดทางปัญญาอันเป็นอำนาจในการคิดก็จะต่ำ

เมื่อจิตหยาบเข้าถึงสมองด้วยคลื่นความถี่ในระดับต่ำ

จะทำให้ความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองคุณต่ำด้วย

นี่คือที่มาของความฉลาดทางปัญญาของสมองที่ตกต่ำ

เพราะมีกิเลสที่เป็นมารภายในเป็นอุปสรรคอยู่นั่นแหละ

ยังผลให้คิดไม่ออกบอกไม่ได้จนต้องทำตามกิเลสไป

ผลที่ออกมาจึงได้จาก #ความเชื่อหรือไม่เชื่อ เท่านั้น

มิใช่ได้มาจากการใช้วิจารณญาณจากการคิดตัดสินใจ

ด้วยหลักการและเหตุผลตามกระบวนการในการคิดรู้

ด้วยอำนาจแท้จริงที่ตนและทุกคนมีอยู่แต่อย่างใด

นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #กิเลสเป็นสาเหตุให้ขาดสติ

เมื่อขาดสติก็เข้าถึงการคิดด้วยปัญญาของสมองไม่ได้

เพราะสมองซีกซ้ายจะคิดให้คุณได้ต่อเมื่อมีสติเท่านั้น

 

คำว่า #มีสติ หมายถึง

คุณต้องฉลาดในการใช้จิตออกคำสั่งให้สมองคิด

การใช้จิตกำหนดสั่งให้สมองคิดพระบิดาเรียกว่า #นึก

การนึกหมายถึง #การตั้งคำถามตัวเอง ตามที่อยากรู้

 

ถ้าคุณตั้งคำถามตนเองไม่ตรงกับที่อยากรู้แล้ว

สมองของคุณมันก็จะคิดพิจารณาหาคำตอบให้ไม่ได้

ถ้าคุณตั้งคำถามผิดประเด็นจากที่คุณต้องการจะรู้

สมองของคุณก็จะหาคำตอบมาให้ไม่ตรงตามต้องการ

 

ถ้าคุณตั้งคำถามตนเองทีเดียวหลายๆคำถาม

นั่นคือนึกโน่นนึกนั่นนึกนี่แบบคนขี้สับสนสงสัย

ซึ่งเป็นการสั่งให้สมองของคุณคิดพร้อมกันหลายเรื่อง

คุณก็จะเกิดอาการ “ประสาทเครียด” ปวดหัวคลื่นไส้

เพราะสมองของคุณมันเกิดอาการ “เอ๋อเหรอ (Error)”

 

คุณต้องจำเอาไว้ว่า

จิตหยาบของคุณมันจะทำงานได้ดีมีประสิทธิผล

มันจะสั่นสะเทือนเพื่อการทำงานได้ทีละเรื่องทีละอย่าง

ลักษณะเดียวกันกับสายกีตาร์ที่มันจะสั่นได้ทีละตัวโน้ต

คุณนึกดูสิมีสายกีตาร์เส้นไหนบ้างที่คุณกดแล้วดีดมัน

ทำให้เกิดเสียงตัวโน้ตออกมามากกว่าหนึ่งเสียงได้

มันไม่เคยมีและเป็นไปไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้นนั่นแหละคุณ

 

ที่มันทำงานได้ทีละอย่างในที่นี้ก็คือ #สมอง

ขณะที่จิตหยาบของคุณนั้นมันจะมีนิสัยซนเหมือนลิง

เดี๋ยวก็นึกนั่นเดี๋ยวก็นึกโน่นเดี๋ยวก็นึกนี่นึกไปเรื่อย ๆ

เพราะจิตหยาบมนุษย์มันมีตั้ง #สามนึก คือจิตสามนึก

ประกอบด้วย #นึกออก #นึกเอา และ #นึกเอง

ถ้าคุณไม่กำกับควบคุมการนึกของตนไว้ด้วย #มหาสติ

การนึกด้วยจิตเพื่อคิดด้วยสมองก็จะสะเปะสะปะเสมอ

อีกทั้งถ้าคุณยิ่งปล่อยให้จิตมันนึกไปตามกิเลสมาร

โดยสวมแว่นเลนส์สีมิใช่เลนส์ใสในการมองโลกแล้ว

คุณก็จะกลายเป็นคนมองโลก “เพี้ยน” ไปคือไม่ปกติ

เนื่องจากคุณมองโลกด้วยกิเลสมิใช่ปัญญาคือตาที่สาม

 

เพราะไม่เคยเห็น “พระเจ้า” จึงไม่เชื่อว่ามีจริง

ทั้ง ๆที่มีพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบุตรเอก

สละตนเองเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อฉุดช่วย

ด้วยการเข้ามาสื่อพระโอวาทจากพระองค์ให้รับรู้รับฟัง

โดยเฉพาะพระอนุตรธรรมที่มนุษย์เองเข้าถึงเองไม่ได้

ต้องใช้สมองคิดตามพระบุตรเอกที่กล่าวให้ฟังเท่านั้น

เนื่องจากสมองสองซีกของมนุษย์มีขีดจำกัดในการใช้

พระองค์จึงต้องมีบัญชาให้พระบุตรเอกเสด็จมาฉุดช่วย

 

โดยคนที่ไม่เชื่อเพราะไม่เคยเห็นตัวตนของพระเจ้า

มีความตีบตันทางปัญญาซึ่งเรียกว่าใช้ตาที่สามไม่เป็น

จนไม่อาจคิดรู้เองได้ว่าพระโอวาทที่พระบุตรเอกสื่อมา

เป็นสัจธรรมความจริงระดับอนุตรธรรมทั้งหลายนั้น

ไม่ต่างจาก “เงาของพระเจ้า” หรือพระฉายของพระองค์

หากไม่มีพระเจ้าแล้วจะมี #อนุตรธรรม ได้อย่างไรกัน

พระบุตรเอกทุกรูปธรรมที่พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา

จึงกล่าวต่อพวกคุณว่าพระองค์สื่อพระโอวาทจากพระเจ้า

มิได้ทรงเป็นครูผู้สอนเองแต่ทรงเป็น #ผู้สื่อสอน เท่านั้น

 

หน้าที่ของมนุษย์มีแค่เพียงรับรู้รับฟังพระโอวาทนั้น

แล้วนำสาระธรรมมาขบคิดพิจารณาเพื่อการเรียนรู้ให้เข้าใจ

แล้วนำไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เข้าถึงแก่นอนุตรธรรมนั้น

เพื่อพิสูจน์ในเบื้องปลายว่าเป็นอนุตรธรรมแท้จริงหรือไม่

ถ้าค้นพบว่าเป็นความจริงที่ไม่มีผู้ใดในโลกจะกล่าวได้

จึงค่อยสรุปว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีอยู่จริง

นี่คือการเห็นพระเจ้าด้วยปัญญามิใช่หลงยึดติดแต่อายตนะ

 

คุณเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจที่มันอวดแสดงฤทธิ์ให้ประจักษ์

โดยมีร่างทรงบ้างตัวแทนของพวกมันบ้างเป็นผู้สำแดง

ซึ่งมันคือการใช้ “มายา” ล่อลวงให้คุณหลงผิดเห็นผิด

ขณะที่คุณไม่รู้ว่าเบื้องหลังของมายาที่ปราฏมันคืออะไร

ขณะที่อนุตรธรรมของพระบิดาจากพระโอวาทที่สื่อมาให้

มนุษย์ทุกคนต้องเป็นผู้แสดงเองกระทำตามด้วยตนเอง

เพื่อประจักษ์แจ้งในความจริงทั้งหลายที่ทรงสื่อสอนมา

ตามที่ชาวพุทธทั้งหลายเรียกว่าเป็น #ปัจจัตตัง

ความหมายแท้จริงคือสัจธรรมทุกสิ่งต้องรู้ได้ด้วยตนเอง

นั่นคือต้องนำเอาคำสอนนั้นๆไปปฏิบัติในชีวิตจริงนั่นเอง

จะท่องจำแล้วทำตามที่จำเขามาโดยไม่เข้าใจนั้นไม่ได้

 

เพราะเคยเห็นรูปปั้นของเทพเจ้าที่ผีโสโครกสร้างขึ้น

เพราะเคยเห็นจิตวิญญาณผีโสโครกมาเข้าร่างสั่นทรง

เพราะเคยเห็นร่างทรงแทงแก้มแทงปากทำร้ายตนเอง

จนเกิดบาดแผลโลหิตไหลหยดแดงฉานเหมือนไม่ปวด

เพราะเคยเห็นว่าเขาใบ้หวยให้มนุษย์หลายคนรวยได้

 

เพราะเคยเห็นเขาขับไล่ภูตผีปีศาจร้ายได้

เพราะเคยเห็นว่าเขาช่วยคนป่วยคนพิการให้ดีขึ้นได้

เพราะเคยรู้เห็นว่าเขาทำนายโชคชะตาได้แม่นยำ

เพราะเคยรู้เห็นว่าเขาสามารถอ่านจิตคนได้

ฯลฯ

 

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้มันมีทั้งเรื่องจริงและเท็จ

ตามที่พวกคุณคุ้นเคยกันว่า #ในจริงมีเท็จในเท็จมีจริง

พวกผีโสโครกที่อยู่เบื้องหลังมายาเหล่านี้นั้น

ต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณสิ้นเปลืองไปค่อนข้างมาก

เพื่อจูงใจให้พวกคุณเชื่อตามตามที่ตาเห็นนั้น

แต่นานวันเข้าพลังทางจิตวิญญาณด้านฤทธิ์อภิญญา

ก็ตกต่ำจาก 6D จนเหลือ 5D เพราะใช้มากเกิน

โดยใช้จนเพลินไปกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องใช้ทำสิ่งที่ไม่ควร

พระบิดาหรือพระเจ้าจึงทรงริบรับเอากลับคืนไป

เหวี่ยงออกมาเท่าไหร่จะถูกเอากลับคืนเท่านั้น

เมื่อพวกเขารู้ตัวจึงต้องมีรายการเท็จเสริมจริงบ้าง

 

ดังนั้น

จงเชื่อตามพระพุทธเจ้าของคุณเถอะ

ที่ทรงตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”

เพราะโลกียะธรรมต่างๆที่พระองค์ได้ตรัสสอนไว้

รวมทั้งสิ้น 84,000 พระธรรมขันธ์เหล่านั้น

ถ้าใครเข้าใจและเข้าถึงได้แสดงว่าผู้นั้น “เห็นธรรม”

เมื่อใครเห็นธรรมก็เท่ากับว่าผู้นั้น “เห็นพระองค์” แล้ว

 

อนุตรธรรมจากพระโอวาทที่เราสื่อมาจากพระเจ้า

ที่เราถวายพระนามต่อพระองค์ว่า #จิตจักรวาล นี้นั้น

พวกคุณก็จะต้องใช้ตาที่สามคือดวงตาแห่งปัญญา

มองเห็นพระองค์จริงของพระเจ้าด้วยจิตปัญญาให้ได้

มิใช่หน้าที่ของพระองค์จะต้องทำอะไรมากไปกว่านี้

เพื่อให้คุณง่ายต่อการยอมรับพระองค์ด้วยอัตตามายา

เหมือนพวกผีโสโครกที่เป็นมารตัวร้ายทั้งหลายใช้กัน

 

คุณจงจำไว้ว่า

ถ้าคุณอยากรู้อยากเห็นอยากสัมผัสกับ “ต้นมะพร้าว”

ก็ต้องเดินทางไปยังต้นมะพร้าวสักต้นหนึ่งที่ไปถึงได้

ไม่มีมะพร้าวต้นไหนที่คุณอยากรู้จักเดินทางมาหาคุณ

 

ถ้าคุณอยากพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่

ก็ต้องนำพระโอวาทที่ทรงสื่อผ่านมาทางพระบุตรเอก

ไปปฏิบัติทำในชีวิตจริงของคุณให้เป็นรูปธรรมให้ได้

เพราะพระโอวาทที่เป็นอนุตรธรรมคำสอนของพระองค์

ล้วนเป็นแผนที่เดินทางสำหรับจิตวิญญาณของคุณ

ที่จิตหยาบต้องรู้และต้องปฏิบัติตามให้ถูกตรงครบถ้วน

จะได้ไม่ตกบ่อย่ำองุ่นจนหลุดพ้นกลับบ้านไม่ได้

หรือตกไปในบึงไฟจนเสียเวลางานหรือกลับบ้านช้า

การหลุดพ้นกลับบ้านมีสถานเดียวที่จะได้พบพระองค์

 

(ยังมีตอนต่อไป)

 

เอเมน สาธุ

ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล

โดย #ปัญญาวิสุทธิ์

12/12/2566