25 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 25/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หลักการใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองนั้น

คุณจะใช้ด้วยระบบอัตโนมัติเหมือนแรกเกิดไม่ได้

โดยเฉพาะความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกซ้าย

ซึ่งเป็นด่านแรกที่คุณจะต้องสามารถเข้าถึงมันให้ได้

แล้วจากนั้นคุณจึงจะกดปุ่มเพื่อใช้สมองซีกขวาต่อไป

 

ความฉลาดของสมองซีกซ้ายในระบบอัตโนมัตินั้น

มันจะสามารถสั่นสะเทือนไปตาม “จิต 3 นึก” ได้เสมอ

เมื่อจิตเกิดอาการ นึกออก นึกเอา และ นึกเอง

ซึ่งจิตทั้งสามนึกนี้มันจะสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

 

ตัวอย่างที่ 1.

เดี๋ยวก็ #นึกออก คือจำเรื่องเก่าๆในอดีตขึ้นมาได้

บางทีก็เป็นเรื่องดีๆในชีวิตบางที่ก็เป็นเรื่องร้ายๆ

พอนึกหรือระลึกขึ้นมาได้ก็เกิดความรู้สึกคือกิเลสตามมา

ถ้านึกถึงเรื่องดีๆในอดีตจิตก็จะรู้สึกชอบหรือพึงพอใจ

ถ้านึกถึงเรื่องร้ายๆในอดีตจิตจะรู้สึกไม่ชอบไม่พึงพอใจ

 

ตัวอย่างที่ 2.

เดี๋ยวก็ #นึกเอา คือนึกขึ้นมาเฉยๆโดยไม่มีที่มาที่ไปว่า

ตัวกระตุ้นต่อมนึกของจิตคุณในขณะนั้นมันคืออะไรแน่

การนึกเอาของคุณนั้นตัวนึกจะผุดออกมาจากในจิตเอง

คล้ายดั่งดอกบัวที่จู่ ๆก็ชูดอกขึ้นมาให้เห็นเหนือน้ำ

ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นนิสัยการนึกของจิตในสัญญาขันธ์

ที่ถูกถ่ายทอดมาจากอดีตชาติจากการจำได้หมายรู้ไว้

 

ถ้านึกเรื่องดีๆขึ้นมาได้แสดงว่าเป็นนิสัยที่ดีของจิตคุณ

ถ้านึกเรื่องชั่วๆขึ้นมาแสดงว่าเป็นสันดานไม่ดีของจิตคุณ

ถ้านึกถึงเรื่องดีมากกว่าชั่วแสดงว่าเป็นคนค่อนข้างรักดี

ถ้านึกถึงเรื่องชั่วมากกว่าก็แสดงว่าเป็นคนค่อนข้างรักชั่ว

 

ตัวอย่างที่ 3.

เดี๋ยวก็ #นึกเอง คือ “การคิดแทนคนอื่น”

การคิดแทนคนอื่นจะเกิดขึ้นเมื่อเห็นพฤติกรรมของเขา

แล้วก็ทึกทักเอาเองว่าเขาต้องรู้สึกนึกคิดแบบนั้นแบบนี้

ซึ่งเป็นการเดาแบบไม่ใช่เดาก็คือเชื่อตามที่ตนทึกทักนั้น

โดยไม่มีหลักการไม่มีหลักฐานและไม่มีเหตุผลรองรับ

 

การนึกเองจากการสัมผัสรู้ดูเห็นพฤติกรรมของคนอื่นนี้

ก็มีทั้งนึกดีนึกชอบและนึกชั่วคือนึกไม่ชอบด้วยเช่นกัน

 

จากตัวอย่างทั้งสามแบบนั้น

คุณจะเห็นได้ว่ามันจะมีทั้ง “นึกบวกและนึกลบ” เสมอ

โดยถ้า “นึกบวก” อารมณ์รู้สึกนึกคิดก็จะเป็นบวก

ถ้า “นึกด้านบวก” อารมณ์รู้สึกนึกคิดก็จะเป็น #ด้านบวก

ซึ่งการนึกบวกกับนึกด้านบวกจะแตกต่างกันคือ

 

การนึกบวกหรือนึกชอบมันจะเกิดขึ้นตามอารมณ์รู้สึก

หรือเกิดขึ้นตามทัศนคติที่คุณมีต่อบุคคลนั้นเป็นสำคัญ

เช่น ถ้าคุณมี #ทัศนคติ ที่ดีต่อผู้นั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

คุณก็จะมีความรู้สึกนึกคิดที่ดีต่อเขาคนนั้นได้เสมอ

นี่คือนิยามความหมายของคำว่า “นึกบวก”

 

ส่วนการ “นึกลบ” ก็จะเกิดขึ้นตามอารมณ์รู้สึก

หรือเกิดขึ้นตามทัศนคติที่คุณมีต่อบุคคลนั้นเป็นสำคัญ

เช่น ถ้าคุณมีอคติต่อบุคคลผู้นั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ไม่ว่าใครคนนั้นจะแสดงกิริยาอาการอะไรออกมาให้เห็น

คุณก็จะมองเขาไปในทางที่ไม่ดีได้เสมอ

นี่คือนิยามความหมายของคำว่า “นึกลบ”

 

ส่วนการ “นึกด้านบวก” กับ “นึกด้านลบ” นั้น

เป็นความฉลาดในการมองโลกหรือมองผู้อื่นที่ตรงจริง

ด้วยการมองโลกหรือมองคนทั้งสองด้าน

โดยยึดหลักการและเหตุผลในการพิจารณามิใช่ทัศนคติ

เป็นการพยายามมองผู้อื่นด้วยเลนส์ใสมิใช่เลนส์สี

เป็นการมองหาความจริงก่อนจะชี้วัดตัดสินคนอื่นว่า

เป็นคนดีด้วยเหตุผลอะไรหรือเป็นคนไม่ดีเพราะอะไร

เป็นการมองโลกด้วยปัญญามิใช่กิเลสตัณหาที่เคยตัว

 

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้

เป็นคุณสมบัติของจิตหยาบที่เป็นธรรมดาของมนุษย์

ที่พวกคุณต้องรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานของมัน

เพื่อเรียนรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของจิตหยาบของตนไว้

จะได้ใชจิตสามนึกของตนให้ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์

โดยมิให้เสียชาติเกิดหรือเสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับในการใช้จิตสามนึกก็คือ

กิเลสมารจะไม่อาจเข้าแทรกแซงสภาวะจิตของคุณได้

เพราะคุณรู้โครงสร้างกระบวนการทำงานของจิตแล้ว

 

เมื่อนิสัยทางจิตโดยทั่วไปของพวกคุณเป็นดั่งว่านี้แล้ว

การ “กำหนดนึก” จึงสำคัญที่คุณต้องทำมันในขั้นต่อมา

โดยคุณจะต้องเลือกเอาสัก 1 นึกใน 3 ตัวนึกเสียก่อนว่า

ในขณะนั้นคุณจะเลือกที่จะหยิบเอานึกตัวไหนมาใช้

เพราะทุกขณะจิตเจ้าสามตัวนึกคือนึกออกนึกเอานึกเอง

มันจะสั่นสะเทือนร่วมกันอยู่ในจิตคุณที่เรียกว่าไม่อยู่นิ่ง

ซึ่งอาการไม่อยู่นิ่งของจิตสามนึกนี้ก็คือซนดั่งลิงนั่นเอง

 

ถ้าคุณปล่อยจิตของคุณให้มันซนแบบลิงคือไม่นิ่ง

มันจะทำให้พลังการคิดด้วยปัญญาของสมองอ่อนด้อย

เพราะจิตมนุษย์มันจะนึกเพื่อจะคิดได้ที่ละเรื่องที่ละอย่าง

จิตกับสมองมันจะทำงานพร้อมกันมากกว่าหนึ่งเรื่องไม่ได้

คุณจึงต้องฉลาดที่จะเลือกนึกทีละอย่างทีละเรื่อง

เพื่อกำหนดให้สมองคุณคิดแต่เรื่องนั้นเรื่องเดียวให้ได้

ยิ่งถ้านึกเพื่อคิดด้วยจิตที่ว่างจากกิเลสตัณหาอารมณ์ได้

ประสิทธิภาพของจิตที่จะเพิ่มประสิทธิผลการคิดของสมอง

มันจึงจะเป็นความจริงได้ตามต้องการ

 

#ถ้าคุณต้องการคิดรู้ด้วยสมองซีกซ้าย

กระบวนการทุกอย่างที่เราขยายความมาตั้งแต่ต้นนั้น

คุณจะต้องฝึกทักษะในการใช้จิตตปัญญาให้ได้

ด้วยการรับรู้ความจริงที่พระบิดาทรงเมตตามาข้างต้น

แล้วนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตจริงให้บังเกิดผล

ด้วยการคิดในเรื่องนั้นๆอย่างมีหลักการและมีเหตุผล

 

คำว่า “มีหลักการ” หมายถึง

1.หยิบมาคิดพิจารณาทีละเรื่อง

เมื่อได้คำตอบแล้วค่อยคิดเรื่องใหม่กันต่อไป

2.จัดลำดับก่อนหลังเรื่องที่คุณจะคิดไว้ล่วงหน้า

3.คิดอย่างต่อเนื่องหรือมีสมาธิในการคิด

4.คิดอย่างรอบครอบและคิดรอบด้าน

หมายถึงคิดทั้งด้านบวกและคิดด้านลบด้วยเสมอ

มิใช่คิดบวกหรือคิดลบตามความเคยตัวกันเท่านั้น

 

5.มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการคิดที่ชัดเจน

6.ถ้าเป็นการคิดเพื่อต้องการแก้ไขปัญหา

ให้คิดวิธีแก้ไขปัญหานั้นไว้หลายๆวิธีเท่าที่จะคิดได้

หรือเท่าที่เวลาในการคิดมีเพียงพอให้คุณคิด

เมื่อได้คำตอบเป็นวิธีคิดหลายๆวิธีแล้ว

ค่อยตัดสินใจเลือกวิธีการที่คุณเห็นว่าจะใช้ได้ผลที่สุด

เพียงแค่วิธีเดียวส่วนวิธีที่เหลือเอาไว้เป็นแผนสำรอง

 

7.ในการคิดตัดสินคนหรือตัดสินความนั้น

คุณต้องคิดด้วยจิตว่างจากอารมณ์รู้สึกที่มีต่อพวกเขา

เพื่อป้องกันการลำเอียงหรือเข้าข้างใครบางคน

จนทำให้ตัดสินคนผิดพลาดขาดความเที่ยงธรรมได้

 

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้

เป็นวิธีการและหลักคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย

โดยที่คุณจะต้องกำหนดนึกเพื่อการคิดให้ได้ทีละเรื่อง

เพราะนอกจากจะมีการนึกให้คุณต้องคิดถึง “สามนึก”

ทั้งสามนึกนั้นมันยังมีการนึกบวกนึกลบอันมิควรนึกอยู่อีก

ซึ่งคุณจะต้อง “นึกด้านบวกและนึกด้านลบ” ให้ได้เท่านั้น

ดังนั้น

ถ้าจะใช้สมองซีกซ้ายให้ได้อย่างมีประสิทธิผลแล้ว

คุณจะต้อง #นิพพานกิเลส ให้สิ้นเสียก่อนอื่นเลย

อีกทั้งยังต้องใช้ #มหาสติ ของพระบิดากำกับไว้เสมอ

เพื่อช่วยให้การคิดวิเคราะห์บังเกิดผลสมดั่งหมาย

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

25/12/2566