05 พฤษภาคม 2565

ตอบคำถาม Pun Punna 5/05/2022

1.ถ้าจิตวิญญาณที่อยู่ในเมอคาบา
คือตัวตนที่แท้จริงของเรา แปลว่า
จริงๆแล้ว เรามีตัวตนใช่ไหมคะ
 
2.เพราะสับสนกับที่ทางพุทธ สอนว่า
"อย่าหลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนของเรา"
หรือ "ให้ละอุปาทานในขันธ์ 5"
เพราะตัวเราแค่เป็นธาตุดินน้ำลมไฟอากาศมารวมกัน
เมื่อตายดินน้ำลมไฟอากาศก็แยกกลับคืนสู่ธรรมชาติ
คือ เราเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน
 
ซึ่งตรงนี้หนูก็รู้สึกขัดแย้งตรงที่
หนูมีความรู้สึกว่ามีตัวตนข้างในอยู่ตลอดเวลา
อยากขอความกรุณาให้ท่านอ.ช่วยอธิบายตรงนี้ว่า
หนูเข้าใจถูกผิดอย่างไรคะ
 
Answer:
1.ท่านเข้าใจถูกต้องแล้วว่า
#จิตวิญญาณ ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์ทุกคน
เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติเป็น "อนัตตา"
คือสั่นสะเทือนภายในเป็นคลื่นความถี่หลายย่านความถี่
ซึ่งลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ข้างในรูปธรรมนั้น
จนเกิดเป็นรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุมขึ้น
โดยจะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง
ซึ่ง "คุณสมบัติ" ของจิตวิญญาณที่เรากล่าวให้รู้นี้
คือคุณสมบัติของจิตวิญญาณที่เป็น #อนัตตา นั่นเอง
 
แต่เนื่องจากว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
หรือที่เป็นรูปธรรมใดรูปลักษณ์ใดในมิติใดก็ตาม
ต่างล้วนเป็น #สรรพสิ่งหนึ่ง ซึ่งพระบิดา
คือองค์จิตจักรวาลทรงเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง "สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น" จักต้องมีตัวตนเสมอ
หากไม่มี #ตัวตน อยู่จริงจะต้องไม่มีสิ่งใดถูกสร้างขึ้น
 
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้น
ไม่ว่าจะอยู่ในมิติทางพลังงานหรือมิติทางกายภาพ
หรือเป็นสรรพสิ่งที่อยู่ในสองมิติในเวลาเดียวกัน
ย่อมต้องมีตัวตนที่พวกท่านเรียกว่า "อัตตา" ทั้งสิ้น
 
เราจึงขอกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
สรรพสิ่งใดก็ตามแม้มีคุณสมบัติเป็นอนัตตา
สรรพสิ่งนั้นก็มีอัตตาตัวตนมายารูปลักษณ์ทั้งสิ้น
 
"อัตตาตัวตน" เป็นเครื่องชี้ว่ามีสิ่งนั้นอยู่จริงในจักรวาล
"มายารูปลักษณ์" เป็นเครื่องกำหนดคุณสมบัติของสิ่งนั้น
ซึ่งมายารูปลักษณ์เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ
เพราะมันเป็น "เงา" ของตัวตนแก่นแท้ที่อยู่ข้างในนั่นเอง
เมื่อเงามายาของสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงได้ไม่คงรูปไม่คงที่
สรรพสิ่งที่เป็นเงามายานั้นจึงมีคุณสมบัติเป็น "อนัตตา"
 
ตัวอย่างเช่น
เมื่อท่านกำหมัดแล้วชูขึ้นต่อพระพักตร์พระสุริยะเทพ
เงาของมือของท่านก็จะเป็นรูปลักษณ์ที่กำหมัดอยู่
แต่เมื่อใดที่ท่าน "แบมือ" เงามายาแต่เดิมก็จะเปลี่ยนไป
ถ้ามือคือตัวตนที่แท้จริงแล้วมือเท่านั้นที่สร้างเงาได้
และมายารูปลักษณ์ของเงาก็จะเปลี่ยนถ้ามือเปลี่ยนท่า
"เงามายา" ที่เกิดขึ้นจากทุุกสิ่งจึงเป็นอนัตตาทั้งสิ้น
 
นี่จึงเป็นคำตอบว่า
จิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้
เป็นตัวตนที่แท้จริงมีตัวตนจริงอย่างที่ท่านเข้าใจ
 
2.ท่านถามเรามาอีกว่า...
ท่านสับสนกับที่ทางพุทธ สอนว่า
"อย่าหลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนของเรา"
หรือ "ให้ละอุปาทานในขันธ์ 5" เพราะตัวเรา
แค่เป็นธาตุดินน้ำลมไฟอากาศมารวมกัน
เมื่อตายดินน้ำลมไฟอากาศก็แยกกลับคืนสู่ธรรมชาติ
คือ เราเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน
 
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านและนักเรียนคนอื่นๆว่า
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งซึ่ง #คนนำทางของศาสนาตาบอด
จึงให้คำอธิบายขยายความที่ผิดพลาดคือไม่ถูกต้อง
จนยังผลให้พระวจนะของพระศาสดาถูกบิดเบือนไป
ดังตัวอย่างที่ท่านผู้นี้ถามเรามา
 
สิ่งที่เป็นเหตุให้บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์
ก็ตรงที่ผู้สอนไม่เข้าใจความหมายของคำสองคำ
คือ อัตตา กับ อนัตตา แล้วให้คำอธิบายผิดพลาด
จนทำให้ท่านผู้นี้เข้าใจผิดและเกิดความสับสน
 
ดังนั้น
เราจึงได้อธิบายความหมายของทั้งสองคำนี้
เอาไว้ในคำตอบที่ (1) แล้ว
ขอให้พวกท่านย้อนกลับขึ้นไปอ่านอีกครั้งนะ
 
สิ่งที่คนนำทางของศาสนาที่ตาบอดสอนท่าน
เป็นเพราะเขาไปเข้าใจว่า "อัตตา" แปลว่ามีตัวตน
ซึ่งก็พอที่จะทนรับฟังกันได้อยู่บ้างหรอกนะ
แต่ยอมรับไม่ได้ก็ตรงที่แปล "อนัตตา" ว่าไม่มีตัวตน
เพราะคำว่าอนัตตามันเป็น #คุณสมบัติของสรรพสิ่ง
ไม่ต่างจากการมองว่าคนที่มีชีวิตอยู่แสดงว่ามีอัตตาอยู่
แต่พอคนนั้นตายแล้วนำไปเผาก็ว่าเขาเป็นอนัตตาแล้ว
อันหมายถึง "ไม่มีตัวตนแล้ว"
 
คนนำทางตาบอดก็ตรงที่สรุปกันแบบนี้
ทั้งๆที่กายสังขารมันเป็นมายาของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างใน
จะรูปสวยรูปงามจะขี้เหร่มากน้อยอย่างไร
ล้วนเป็นมายาอันเกิดจากการปรุงแต่งของแก่นแท้
มนุษย์แต่ละคนจึงมีตัวตนรูปลักษณ์แตกต่างกัน
 
พอให้คำสอนคำอธิบายที่ผิดบิดเบือนไป
ย่อมนำความสับสนสงสัยให้แก่ผู้ทรงภูมิปัญญา
ซึ่งปัญหาเหล่านี้เองที่บวชนานแล้วนิพพานไม่ได้
ทำให้เกิดความเสื่อมของพระวจนะมาตลอด
แต่สาเหตุสำคัญก็คือความบิดเบือนที่เกิดขึ้น
ที่เกี่ยวกับพระวจนะของพระศาสดาทุกศาสนานั้น
ล้วนเกิดจากแผนการแทรกแซงของมอดมาร
ที่ต้องการหลอกมนุษย์ให้หลงทางนิพพาน
ต้องการทำให้ทุกศาสนาเกิดความเสื่อมโทรม
เช่น ลวงให้นักบวชทำทุศีลเยอะๆจนคนรับไม่ได้
จูงใจให้นักบวชหันมาใช้วิชามอดมารด้านมืดดำ
ชักพานำผู้คนให้หลงงมงายขายกิเลส เป็นต้น
 
เมื่อมนุษย์เลิกนับถือศาสนาเสื่อมศรัทธาในศาสดา
พวกตนก็จะสร้างลัทธิใหม่ขึ้นมาให้มีศาสนาเดียวแทน
คือศาสนาของเอเลี่ยนส์ที่หลอกว่าตนคือพระเจ้า
ที่เรากล่าวมาเป็นความจริงทุกประการ
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5/05/2022