11 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11/05/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
สิ่งมีชีวิตเผ่าดาวอื่นๆในเอกภพหรืออนันตจักรวาล
ซึ่งองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ทรงกำหนดสร้างขึ้นนั้น
ล้วนเป็นสิ่งที่ทรงทดลองสร้างขึ้นแล้วพัฒนามาเรื่อยๆ
เพื่อค้นหารูปแบบของเครื่องยนต์แห่งกรรม 2 มิติ
ที่เหมาะสมต่อการทำงานเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
โดยมีจิตวิญญาณที่พระองค์จะส่งเข้ามาจากแดนสุญตา
ซึ่งเป็นพระนิเวศน์ของพระองค์ที่อยู่นอกระบบเอกภพ
เข้ามาปฏิสนธิกับเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ทรงสร้างขึ้น
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์นั้นให้มีชีวิตอมตะ
จนสามารถผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
จากพลังจิตที่สั่นสะเทือนด้วยความรักเพื่อให้อย่างยั่งยืน
 
กว่าพระองค์จะทรงค้นพบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ในแบบที่ทรงต้องการส่งมาทำหน้าที่ประจำดาวโลก
ที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิงนี้
ทรงต้องใช้เวลาในการพัฒนารูปแบบกันอย่างยาวนาน
โดยต้องคัดเลือกดาวดวงที่มีภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ใกล้เคียงกับดาวโลกให้มากที่สุดเป็น “ห้องทดลอง”
 
สาเหตุที่พระองค์ต้องทรงพิถีพิถันในการสร้างมนุษย์
ก็เพราะว่าทรงออกแบบให้ “ดาวโลก” ทำหน้าที่สำคัญ
ในการช่วยค้ำจุนความสมดุลของห้องทดลองให้มั่นคง
เพื่อให้ทุกสิ่งดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลตลอดกาล
เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติที่จะทรงนำมาใช้งานที่โลก
จึงต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่ได้ตามพระประสงค์
และมีประสิทธิภาพสูงสุดสอดคล้องกับภารกิจนั่นเอง
 
ดังนั้น
รูปธรรมที่มีชีวิตจึงมีอยู่บนดวงดาวต่างๆมากมาย
ภายในห้องทดลองของพระองค์ที่เรียกว่า #เอกภพ นี้
รวมทั้งรูปแบบสิ่งมีชีวิตบนดาวต่างๆก็แตกต่างกันไป
โดยสิ่งมีชีวิตบางเผ่าดาวจะมีรูปลักษณ์เป็นสัตว์
บางเผ่าดาวก็มีรูปลักษณ์เป็นแบบสัตว์เลื้อยคลาน
บางเผ่าดาวจะมีรูปลักษณ์เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์
บางเผ่าดาวจะมีรูปลักษณ์คล้ายกับมนุษย์โลก
บางเผ่าดาวจะมีรูปลักษณ์เหมือนกับมนุษย์โลก
 
แต่สิ่งที่รูปธรรมมีชีวิตในต่างเผ่าดาวทั้งหลาย
มีความแตกต่างห่างชั้นกันกับมนุษย์โลกก็คือ
 
1.มนุษย์มีจิตวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิกับกายสังขาร
แต่สามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น #จิตหยาบ
ช่วยทำหน้าที่เป็น “คนสองมิติ” แทนจิตวิญญาณ
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เพื่อป้องกันการถูกทำร้ายโดย “ศัตรู” จากต่างดาว
#มาเฟียแห่งจักรวาล ซึ่งเป็นมารทั้งภายนอกภายใน
 
แต่กลุ่มสิ่งมีชีวิตในต่างเผ่าดาวนั้น
เกือบทั้งหมดจะไม่มี “จิตหยาบ” เหมือนในมนุษย์โลก
พวกเขามีแต่จิตวิญญาณขับเคลื่อนกายหยาบเท่านั้น
เนื่องจากในยุคแรกสร้าง #สิ่งทดลอง ของพระองค์
จิตวิญญาณจากแดนสุญตาที่ทดลองส่งมาทำหน้าที่
ยังไม่มี #ศัตรู ผู้ประพฤติตนเป็นมาเฟียแห่งจักรวาล
การต้องมี “ตัวแทน” จึงไม่จำเป็นแต่อย่างใด
 
2.สมองมนุษย์เป็นสมองที่ได้รับการพัฒนาแล้ว
โดยทรงออกแบบให้เป็นสมองสองซีกในก้อนเดียว
ซึ่งถูกกำหนดให้ทำงานได้โดยใช้จิตหยาบกระตุ้น
หลังจากที่จิตหยาบรับรู้เงื่อนไขสิ่งเร้าภายนอก
จากกลไกอายตนะภายนอกหนึ่งในห้าช่องทางแล้ว
กระบวนการขันธ์ 5 ระหว่างจิตกับสมองก็จะทำงาน
เพื่อหมุนธรรมจักรสร้างพลังงานความรักให้โลก
 
ดังนั้น
มนุษย์โลกที่กลไกสมองได้รับการพัฒนาแล้ว
จึงมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ว่าสมองสองซีกใช้งานอย่างไร
จึงมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ว่าจะใช้จิตหยาบของตน
ทำงานร่วมกับสมองอย่างไรจึงเกิดประสิทธิผล
โดยมนุษย์จะใช้จิตตปัญญาไปตามธรรมชาติไม่ได้
เพราะความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งสองซีกนั้น
จิตหยาบจะใช้วิธีสั่งการเพื่อใช้ปัญญาแตกต่างกัน
 
คนที่ใช้จิตทำงานร่วมกับสมองไม่ได้หรือใช้ไม่เป็น
จะเข้าถึงความรักและปัญญาแบบที่โลกต้องการไม่ได้
จึงถือเป็นการเสียชาติเกิดไปหนึ่งภพชาติทันที
 
สำหรับสิ่งมีชีวิตในต่างเผ่าดาวส่วนใหญ่
ผู้มีสมองก้อนเดียวทำงานร่วมกับจิตวิญญาณนั้น
จะมีความซับซ้อนในกระบวนการใช้จิตปัญญาน้อยกว่า
เพราะพระบิดาทรงกำหนดติดตั้งให้พวกเขา
ใช้จิตสัญชาตญาณตรงก้านสมองบริเวณท้ายทอย
ทำหน้าที่ให้ความฉลาดทางปัญญาและอารมณ์
ซึ่งภายหลังพระองค์สร้างจิตหยาบไว้แทนในมนุษย์
แล้วลดหน้าที่ของก้านสมองในแบบต่างดาวลง
โดยให้จิตวิญญาณมนุษย์คอยส่งสัญชาตญาณ
การหิว การหาว การโหย การกระหาย การเหนื่อย
การกลัวตาย การหนีภัย การมีนิมิตมีลางสังหร
ในรูปของสัญชาตญาณเพื่อการมีชีวิตรอดแทน
 
3.มนุษย์โลกจะเข้าถึงความฉลาดทางปัญญาได้
จะต้องมีกระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นตอน
จะต้องมีความฉลาดในการ “กดปุ่ม” ใช้งาน
พระบิดาจึงต้องอนุญาตให้มนุษย์ลองผิดลองถูกได้
นี่คือที่มาของคำว่า “ดาวแห่งทางเลือกเสรี”
แต่ถ้าท่านเลือกทำสิ่งที่ผิดท่านต้องยอมรับกรรมนั้น
เพื่อเป็นบทเรียนว่า “ทีหลังอย่าทำผิด” แบบนั้นอีก
 
แต่สิ่งมีชีวิตในต่างเผ่าดาวผู้มีสมองก้อนเดียวนั้น
พวกเขาสามารถนึกคิดเพื่อใช้จิตกับสมองได้เลย
โดยไม่ต้องมีกฎแห่งกรรมไม่ต้องมีสวรรค์นรก
เพราะพวกเขาเป็นแค่ “สิ่งทดลอง” ของพระองค์
ยังมิได้รับการแก้ไขพัฒนามาเป็นมนุษย์อย่างท่าน
 
เมื่อใช้สัญชาตญาณของสัตว์ที่เป็นด้านลบ
โดยขาดการสำนึกรู้คือสติในการดำเนินชีวิต
มันจะยังผลให้พวกเขามีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวจนเคยตัว
เดิมจิตวิญญาณของพวกเขาที่มีหกเหลี่ยมมุม 6D
ก็จะตกต่ำลงจนเหลือห้าเหลี่ยมมุมหรือมิติที่ห้า
เพราะจิตสัญชาตญาณแบบสัตว์มันจะสั่นไปทางลบ
ทำให้ดีเอ็นเอพวกเขาคุ้นชินกับการเสพพลังงานลบ
จนกลายเป็น “ดีเอ็นเอของสัตว์ร้าย” ไปในที่สุด
 
ถ้าเผ่าดาวใดสามารถใช้สัญชาตญาณด้านบวก
ขับเคลื่อนการคิดการกระทำด้วยความรักจนเป็นนิสัย
สิ่งมีชีวิตบนเผ่าดาวนั้นก็นับว่าโชคดีตลอดไป
เพราะการเริ่มต้นนิสัยแบบสัตว์ร้ายก็จะเป็นผู้ร้ายตลอด
ถ้าเริ่มต้นสร้างนิสัยที่ดีก็จะเป็นผู้ดีตลอดกาล
จะไม่สามารถเปลี่ยนดีเป็นชั่วเปลี่ยนชั่วเป็นดีได้
ซึ่งเราหมายถึงพวกเขาจะ “ไม่มีเสรี” เหมือนมนุษย์
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
จงรู้จักพี่ๆร่วมอนันตจักรวาลของพวกท่านไว้บ้าง
ซึ่งมันยังมีอีกหลายประการที่เรายังจะไม่กล่าวถึง
แต่ที่เรานำมากล่าวความจริงบางสิ่งส่วนไว้ในที่นี้
ก็เพื่อให้ท่านที่ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการเป็นมนุษย์
เกิดสติทางวิญญาณเอาไว้บ้างว่าการโง่ง่าย
หลงใหลผู้ที่อยู่ในแดนอันแสนไกลที่ท่านไม่คุ้นเคย
แล้วคอยทำตัวเป็นมอดแฝงอยู่ในความมืดของโลก
มันจะทำให้โลกและมนุษย์โลกหายนะได้
 
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
พวกเขาเหนือกว่ามนุษย์แค่เพราะไม่เคยตาย
จึงดูเหมือนฉลาดกว่าเพราะสมองพัฒนามาต่อเนื่อง
ไม่ต้องตายแล้วกลับมาเกิดชาติใหม่เหมือนมนุษย์โลก
เพราะมนุษย์เมื่อเกิดใหม่จะต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่
ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดเพราะต้องใช้จิตหยาบดวงใหม่
 
พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมีนิสัยของสัตว์ร้าย
ชอบเสพกิเลสเป็นอาหารนั่นคือพลังงานลบ
 
การชอบกินเลือดเนื้อของสัตว์เป็นอาหาร
การเป็นคนโวยวายใจร้ายเจ้าอารมณ์
การเป็นคนหมุนกรรมจักรแทนธรรมจักร
การที่พวกท่านต้องตายต้องมีภพชาติ
การที่นักบวชกระทำทุศีลมากขึ้น
การมีลัทธิอุตริอวิชาแปลกประหลาดมากขึ้น
การหลอกลวงด้วยวิชามารกันมากขึ้น
การฆ่ากันตายแม้ในครอบครัวตัวเองที่มีมากขึ้น
ล้วนอยู่ในแผนการของมอดมารศัตรูมนุษย์ทั้งสิ้น
 
การหลอกลวงว่าตนเป็นพระบิดาผู้สร้างทุกสิ่ง
แต่ชวนมนุษย์กินอุจจาระปัสสาวะเสมหะน้ำหนอง
นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟ้องชัดเจนว่ามันมาจากสัตว์ร้าย
ที่ชอบเสพสิ่งสกปรกเป็นอาหาร
และต้องการทำลายศาสนาทุกศาสนาให้เสื่อม
ทำให้มนุษย์ที่โง่ง่ายใช้คำว่า “พระบิดา” มาล้อเลียน
จนเข้าทางมอดมารในแผนการทำลายทุกศาสนา
 
เพราะมอดมารฝ่ายชั่วพวกนี้รู้ดีว่า
ถ้าทำลายสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์คือศาสนาได้
การจะหลอกลวงมนุษย์ให้เป็นทาสแรงงานของตน
เพื่อช่วยกันผลิตพลังลบจากกิเลสตัณหาให้ตนเสพ
แทนที่จะใช้ขันธ์ห้าผลิตพลังงานความรักให้โลก
ก็จะไร้ซึ่งอุปสรรคทั้งหมดทั้งปวง
 
ไม่รู้เหมือนกันว่า
เราจะต้องกล่าวพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ให้มนุษย์โลกเกิดจิตสามนึกและเกิดสติทางวิญญาณ
กันอีกสักกี่ครั้ง...อีกสักนานเท่าใดจึงจะเกิดผล
 
ในวาระที่โลกมืดนานติดต่อกัน 56 วันหรือ 8 ราตรี
ผู้ใดที่ทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาเป็นและทำได้
ผู้ที่มีมหาสติ กฤตสติ และปณิธานแห่งนิพพาน
 
ท่านผู้นั้นเองที่จะได้รับความรอดจากภัยพิบัติ
ทั้งนี้ไม่ว่าจิตหยาบของท่านจะยกระดับถึงมิติใดอยู่
คำพิพากษาก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/05/2022