17 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/05/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เส้นทางการปฏิบัติธรรมของมนุษย์โลกทุกคนนั้น
แท้จริงแล้วจะมีอยู่เพียง 2 ทางเลือก คือ
 
1.เส้นทางของ #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
 
ในที่นี้ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” เราหมายถึงชาวบ้าน
ที่เป็นผู้ครองเรือน มีครอบครัว มีบุตรบริวาร มีงานทำ
ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมซึ่งมีสิ่งแวดล้อมที่ตนควบคุมมิได้
โดยสิ่งแวดล้อมที่ตนควบคุมมิได้หมายถึง #อุปนิสัย
ในการดำเนินชีวิตของคนรอบข้างที่ต่างกันออกไป
บางคนก็ดีบางทีก็ร้ายบางคนคุ้มดีคุ้มร้ายวุ่นวายตลอด
 
แต่เนื่องจากจิตวิญญาณพวกท่านผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ต้องมีหน้าที่ช่วยกันมอบพลังงานความรัก #ค้ำจุนโลก
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพวกท่านจะมอบความรักให้แก่กันได้
อย่างไร้เงื่อนไขและไม่หวังสิ่งใดตอบแทนได้อย่างไร
ถ้าคนรอบข้างท่านมีทั้งผู้ที่ทำตัวดีและทำตัวร้าย
 
ดังนั้น
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า
จึงทรงประทานโอกาสให้แก่บุตรมนุษย์ทั้งหลาย
เรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อกันให้ถูกต้องด้วย 2 รูปแบบดังนี้
 
#แบบแรก
ทรงอนุญาตให้พวกท่านใช้วิธีเรียนรู้ด้วยตนเอง
แบบ “ลองผิดลองถูก” (Learn to Do Right by Wrong)
โดยเรียนรู้ที่จะทำให้ถูกต้องโดยลองทำผิดก่อน
แล้วให้ถือว่าความผิดนั้นเป็น “ครู” ครั้งหน้าอย่าทำอีก
การมีสำนึกเสียใจในการกระทำผิดบาปของท่าน
มันคือจิตหยาบที่สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยความเมตตา
ที่มีต่อตัวตนของคนที่ถูกท่านกระทำผิดบาปต่อเขา
เท่ากับว่าท่านกำลังหมุนธรรมจักรในตนเองแล้ว
เมื่อท่านร้องขออภัยในความผิดบาปที่กระทำต่อเขา
ก็เท่ากับว่าท่านชวนให้เขาหมุนธรรมจักรไปกับท่าน
ตัวเขาก็จะมีความสุขมีอารมณ์ดีพร้อมปฏิบัติดีกับท่าน
 
ที่เรากล่าวมานี้
เป็นการออกแบบ #ธรรมจักรกัปวัตนสูตร” ของพระเจ้า
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
แล้วนำมาตรัสเป็นปฐมเทศนาแก่มนุษย์ห้าคนนั่นเอง
 
นอกจากนั้น
เมื่อท่านค้นพบว่าการกระทำผิดบาปเป็นอย่างไร
โดยท่านจะไม่กระทำเช่นว่านั้นอีกตลอดชีวิต
และท่านยืนยันที่จะกระทำแต่สิ่งที่ดีงามต่อคนรอบข้าง
มันจึงเป็นการเรียนรู้ที่นำท่านสู่การรู้แจ้งด้วยจิตปัญญา
จากประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน
ทั้งในมุมของผู้ที่กระทำและในมุมของผู้ถูกกระทำ
สลับคละเคล้ากันไปในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม
 
การเจริญเติบโตทั้งอายุขัยของกายสังขาร
กับการก้าวหน้าทางจิตปัญญาและจิตวิญญาณ
จะนำท่านและคนรอบข้างสู่การเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบไว้
ให้พวกท่านปฏิบัติธรรมในบริบท “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง”
แบบต่อยอดความก้าวหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องตาย
 
น่าเสียดายยิ่งนักที่คนส่วนใหญ่
ไม่ปฏิบัติธรรมตามแบบที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
โดยเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้งกันไม่ได้เป็นได้แต่ “ตัวร้าย”
นั่นคือ ใครดีมาข้าจะดีตอบใครร้ายมาข้าจะยิ่งร้ายตอบ
 
#แบบสอง
ทรงอนุญาตให้พวกท่านใช้วิธีเรียนรู้
จากประสบการณ์ผ่านบุคคลอื่นหรือคนรอบข้าง
โดยท่านต้องเป็นคนช่างสังเกตและฉลาดเรียนรู้
พฤติกรรมหรือการกระทำใดๆของคนรอบข้าง
ทั้งที่พวกเขากระทำต่อกันและกันให้ท่านรู้เห็น
และพฤติกรรมที่พวกเขาแต่ละคนกระทำต่อท่าน
วิธีการเรียนรู้ผ่านบุคคลอื่นนี้เรียกว่า Modelling
 
โดยเรียนรู้ว่า “พฤติกรรมนั้น” คืออย่างไร
ผลลัพธ์จากการ “ถูกกระทำ” เป็นอย่างไร
มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่อย่างไร
พวกท่านก็จะใช้ประสบการณ์อ้อมนั้นเป็นสาระวิชา
เพื่อหยิบฉวยนำมาเป็นบทเรียนของตนเองกันต่อไป
การเรียนรู้ด้วยวิธีนี้พระบิดาทรงเรียกว่า #Modelling
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
การปฏิบัติธรรมด้วยวิธีพึ่งตนเองทั้งสองแบบ
ในบทบาทของ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” ที่เรากล่าวมานี้
ท่านทั้งหลายจักต้องสร้างคุณสมบัติสำคัญของตนด้วย
จึงจะเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้งแบบงองูมาก่อนฉอฉิ่งได้
คุณสมบัติที่ว่านั้นก็คือ
 
1.ต้องมีความต้องการคบมิตรสูง
2.ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
3.ต้องรู้หน้าที่ของจิตวิญญาณ
4.ต้องไม่ปลีกหนีสังคมเพื่อหนีทุกข์
5.ต้องยอมรับธรรมชาติที่แตกต่างกัน
6.ต้องฉลาดทางปัญญาและอารมณ์
 
2.ปฏิบัติธรรมตามเส้นทาง
ของ #นักรบแห่งแสงสว่าง
 
คำว่า “แสงสว่าง” ในที่นี้หมายถึงสติปัญญา
ซึ่งเป็น #ความฉลาด ของสมองทั้งสองซีกนั่นเอง
สำหรับเส้นทางของนักรบแห่งแสงสว่างนี้
เป็นเส้นทางพิเศษซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเสรี
ที่มนุษย์โลกสามารถเลือกที่จะปฏิบัติธรรมกันได้
ซึ่งในอดีตทางสายนี้จะเป็นทางเลือกของนักบวช
เพราะพระศาสดาทรงดำเนินเป็นแบบอย่างไว้
 
เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมเส้นทางนักบวชก็คือ
ต้องการบรรลุเป้าหมายในการยกระดับสติปัญญา
ด้วยวิธีการพัฒนาที่พลังอำนาจจิตของตนเอง
โดยกระทำผ่านวิธีการ #กรรมฐานสมาธิ แบบวิเวก
ตามแนวทางที่พระศาสดาทรงปฏิบัติไว้เป็นต้นแบบ
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ
 
#ขั้นตอนแรก
จะเน้นที่การสร้างพลังอำนาจของจิตก่อน
วิธีการนี้พระศาสดาทรงเรียกว่า #สมถะกรรมฐาน
ซึ่งเป็นขั้นตอนการฝึกกำหนดจิตให้อยู่ในความสงบ
ให้ว่างเป็นเวลายาวนานที่สุดเท่าที่ตนจะปฏิบัติได้
เพราะการฝึกจิตให้สงบว่างเป็นเวลายาวนานนี่เอง
ภายหลังจึงเรียกวิธีการนี้ว่า #สมถะกรรมฐานสมาธิ
โดยเป้าหมายของสมถะกรรมฐานก็คือสร้างพลังจิต
หน่วยวัดพลังจิตอันเกิดจากความสงบก็คือ #ฌาน
เมื่อจิตยกระดับฌานได้สูงขึ้นถึงระดับ 3 ขึ้นไปแล้ว
นักบวชก็จะฝึกทักษะขั้นต่อไป
 
#ขั้นตอนที่สอง
เมื่อสร้างพลังอำนาจจิตจนเกิดฌานได้แล้ว
นักบวชก็จะใช้พลังอำนาจของฌานที่ฝึกได้
มาปฏิบัติธรรมในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป
 
วิธีปฏิบัติในขั้นตอนนี้เรียกว่า #วิปัสสนากรรมฐาน
ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการทำงานของจิตร่วมกับสมอง
ถ้าจิตมีพลังฌานสูงสมองก็จะมีพลังปัญญาสูงตาม
หมายความว่ายิ่งจิตมีอำนาจสูงก็จะยิ่งฉลาดสูงด้วย
โดยจิตมีหน้าที่ “นึก” เพื่อกำหนดให้ “สมอง” คิด
 
มันยากสำหรับนักบวชที่ต้องทำตัวเป็นนักนึกนักคิด
ก็ตรงที่ต้องค้นหาเรื่องที่จะนึกเพื่อให้สมองคิดกันเอง
ขณะที่ฆราวาสหรือชาวบ้านผู้ก้าวตามวิถีจิตจักรวาล
จะมีคนรอบข้างในสังคมสร้างเงื่อนไขให้นึกให้คิด
ในรูปแบบของปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันนั่นเอง
โดยที่ชาวบ้านจะใช้ #ธรรมชาติสมาธิ คือ “มหาสติ”
ในการยกระดับพลังแห่ง #จิตปัญญา ไปด้วยกัน
ขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยไม่ต้องปลีกวิเวก
 
การที่นักบวชต้องเข้าให้ถึงแสงสว่างทางปัญญา
ก็เพื่อจะใช้สร้างจิตสามนึกด้านบวกให้ตนเอง
ในการจัดการกับขยะจำพวกกิเลสตัณหาราคะจริต
ที่มันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ซึ่งเป็นอุปสรรคของจิต
ที่จะเข้าถึงความรักของพระเจ้าในจิตวิญญาณได้
 
เพราะมนุษย์มีมอดมารผจญกันมายาวนาน
เมื่อพระศาสดาทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
การปฏิบัติกรรมฐานสมาธิในแนวทางเดิมที่เราว่ามา
ก็ถูกคนนำทางตาบอดที่ไปหลงทางมารเข้าให้
ลวงให้ใช้กรรมฐานสมาธิเพิ่มพลังจิตเพื่อสร้างฤทธิ์
แทนการฝึกกรรมฐานสมาธิเพื่อยกระดับจิตปัญญา
ที่เคยเรียกว่า “นักรบแห่งแสงสว่าง” แนวทางเดิมไป
ซึ่งเป็นแผนของมอดมารเพื่อยั่วให้นักบวชเกิดกิเลส
จากเวทย์มนต์จากอิทธิฤทธิ์สาระพัดที่คนอื่นทำไม่ได้
อันเป็นสาเหตุให้เกิดการ “หลงทางนิพพาน” นั่นเอง
 
ที่สำคัญก็คือ “เท็คนิกสมาธิ” ที่ผิดเพี้ยนไปนี่แหละ
มอดมารหลอกลวงให้พวกท่านใช้พลังจิตจากสมาธิ
ขับเคลื่อนมันออกมานอกร่างกายในรูปของพลังกิเลส
เพื่อสั่งจิตให้ไปเอาทรัพย์กับความรวยจากอากาศมาให้
ทั้งๆที่สิ่งนั้นมันมิได้มีอยู่จริงในอวกาศแต่อย่างใด
ทุกครั้งก็สั่งให้ใช้พลังจิตที่เป็นพลังกิเลสเหวี่ยงออกมา
เพื่อกระทำบางสิ่งตามที่จิตติดกิเลสมันปรารถนา
ขณะที่มอดมารตัวร้ายจะคอย “ดักดูด” พลังงานกิเลส
ที่มนุษย์ผู้งมงายเพราะโง่ง่ายพากันเหวี่ยงมันออกมา
ตามที่เจ้าลัทธิมอดมารสำนักนั้นๆจูงใจไว้ให้ทำ
 
นี่คืออนุตรธรรมความจริงที่มนุษย์ไม่รู้ว่าไม่รู้
จนนำความเสื่อมมาสู่จิตวิญญาณตนเองอย่างไร้สติ
จนสร้างความเสียสมดุลให้แก่ระบบโลกอย่างมาก
เพราะโลกมีแต่พลังงานขยะจากกิเลสเต็มไปหมด
จากการปฏิบัติเท็คนิกสมาธินอกแนวทางพระศาสดา
จนพลังงานความรักความเมตตาแบบที่โลกต้องการ
แทบจะไม่มีผู้ใดใส่ใจใยดีเพราะคนนำทางเป็นเหตุ
 
โอววว...ดาวเคราะห์โลกที่น่าสงสาร
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/05/2022