09 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 9/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การเป็น #เงื่อนไข ให้คนอื่น

เกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจไปในทางต่ำ

จะเป็นการ "ผิดบาป" อย่างยิ่ง

ไม่ว่าท่านจะเจตนากระทำหรือไม่ก็ตาม

เพราะกระบวนการของ "กฎแห่งกรรม" นั้น

มันจะเริ่มต้นทันทีที่เกิด #ผลกรรม ขึ้นมา

 

ตัวอย่างเช่น

เมื่อท่านกล่าวบางสิ่งออกไปต่อคนรอบข้าง

ปรากฏว่าคนบางคนที่ได้ยินได้ฟังท่านกล่าว

เกิดอาการหงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจ

โดยที่ท่านมิได้เจตนาจะกล่าวร้ายต่อเขาเลย

แต่มันยังผลให้คนๆนั้นเสียสมดุลทางจิตใจ

นี่ก็เท่ากับว่าท่านได้กระทำ "ผิดบาป"

ตามกระบวนการของกฎแห่งกรรมที่ว่านี้แล้ว

 

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

เมื่อใดก็ตามที่ท่านหรือคนรอบข้าง

ถูกกระทำให้เกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจ

เช่น เสียอารมณ์ เสียความรู้สึก

เสียดาย เสียใจ หรือเสียหน้า ฯลฯ

มันก็จะเกิด "ผลกรรม" หรือผลจากการกระทำ

ในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณเสมอ

 

ตัว "ผลกรรม" ในมิติทางพลังงานที่ว่านี้

ก็คือประจุลบที่เป็นอิเล็คตรอนอิสระ

ซึ่งจิตของคนๆนั้นผลิตสร้างมันขึ้นมา

เมื่อถูกกระตุ้นปลุกเร้าด้วยเงื่อนไขด้านลบ

ซึ่งองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ทรงเรียกประจุลบนี้ว่า #บุรพกรรมแม่เหล็ก

 

โดยประจุลบส่วนหนึ่งเมอร์คขะบาห์

จะจัดเก็บเอาไว้ใน "จิตใต้สำนึก"

ส่วนที่เหลือจะเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกาย

เพื่อปล่อยทิ้งเอาไว้เป็น "ขยะ" อยู่ในบรรยากาศ

ซึ่งจะเห็นเป็นเมฆหมอกหรือเมฆฝนสีเทาดำ

จับกลุ่มกันลอยอยู่ในระดับต่ำๆ

ที่ทำให้เกิดความร้อนอบอ้าวของอากาศ

หรือทำให้เกิดเป็นฝนเทลงมานั่นแหละ

 

ดังนั้น

บนเส้นทาง #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

ตามมรรควิถีจิตจักรวาลสู่การหลุดพ้น

ด้วยการ #นิพพาน ทางจิตวิญญาณ

คือหลุดพ้นออกไปจาก #อนันตจักรวาล ได้นั้น

ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ก่อกรรมขึ้นมาใหม่

และแก้ไขกรรมเก่าจากอดีตหมดสิ้นแล้วเท่านั้น

 

ถ้าท่านจะไม่ก่อกรรมใหม่ขึ้นมาได้

ก็สามารถจะทำได้สองวิธีเท่านั้น คือ

 

1. ต้องไม่จิตตกเมื่อถูกเย้ายวนยั่วยุ

จากคนรอบข้างตัวท่าน

 

ด้วยการครองมหาสติเอาไว้ให้มั่นคงที่สุด

(มหาสตินะ...มิใช่ "สติ" เฉยๆ)

และต้องแสดงปณิธานแห่งการหลุดพ้นให้ชัด

 

2. ต้องไม่เป็นฝ่ายเย้ายวนหรือยั่วยุ

ด้วยเงื่อนไขใดๆต่อคนรอบข้างตัวท่าน

ทั้งกายกรรมและวจีกรรมโดยเด็ดขาด

 

ทั้งสองวิธีที่เรากล่าวนี้

เป็นเงื่อนไขให้เกิด "ผลกรรม" ใหม่ขึ้นทั้งสิ้น

 

นอกจากนั้น

จิตวิญญาณของท่านยังบริสุทธิ์ไม่ได้

ถ้ากรรมเก่ายังมิได้รับการแก้ไขหรือชำระ

 

กรรมเก่าในที่นี้หมายถึง

"ผลกรรม" ที่จิตวิญญาณของท่าน

ถือติดตัวมาจากอดีตชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย

รวมทั้งผลกรรมในชาตินี้ที่ก่อไว้ตั้งแต่สามขวบ

 

ถ้าท่านหนีเข้าป่าทิ้งสังคมไปปลีกวิเวกคนเดียว

โดยไม่ยอมเป็นสัตว์สังคมตามที่พระบิดากำหนด

มันจะทำให้ท่านปิดโอกาสการแก้ไขกรรมเก่า

ที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง

ช่วยกันรุมสร้างเงื่อนไขใหม่ให้ท่านไปนั่นเอง

 

ดังนั้น

ถ้ากรรมเก่าจากอดีตยังมีคดีติดตัวอยู่

และยังมีกรรมใหม่ที่ก่อขึ้นไว้ในแต่ละวันเพิ่มอีก

รับประกันได้เลยว่าแม้จะมีอายุขัยยืนยาวแค่ไหน

จิตวิญญาณของท่านก็จะหลุดพ้นกลับบ้าน

กลับออกไปจากโลกและอนันตจักรวาลนี้ไม่ได้แน่

 

เพราะน้ำหนักจิตวิญญาณของท่าน

จะเกินกว่าภพชาติแรกที่เข้ามาเกิดบนโลกนี้

จิตวิญญาณจะถูกโลกและอนันตจักรวาลดึงดูดไว้

จนกว่าขยะพลังงานที่ติดตัวอยู่จะถูกชำระหมด

จึงจะสามารถดีดตนเองให้หลุดพ้นออกไปได้

ไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่อีกตลอดกาล

 

ด้วยเหตุนี้เอง

จงอย่าเป็นคน "อยู่ไม่เป็นสุข" โดยเด็ดขาด

หากปรารถนาการหลุดพ้นให้ทันวันสิ้นยุค

นั่นคือหลุดพ้นให้ได้ภายในภพชาตินี้

 

ตัวอย่างเช่น

พวกเราอยู่ในห้องเรียนนี้เฉยๆ

คุณเธอก็เข้ามากล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพวกเรา

เพียงเพราะนางไม่เห็นด้วยในธรรมะของเรา

และพวกเรากับนางก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

 

นางแสดงพฤติกรรม "เสือก" และก้าวล่วงเรา

พอเราถามหาเหตุผลว่าทำไมจึงก้าวล่วงเรา

ใยจึงโต้แย้งความรู้ของเราที่พระบิดาสื่อมาให้

เผื่อจะช่วย "สอน" ให้พวกเราหายโง่ได้บ้าง

แต่นางก็ไม่มีคำตอบใดๆให้เราเลย

ทั้งๆที่ยังโต้แย้งเราว่า #ไม่จริงไม่เชื่อไม่ใช่

 

โชคดีมากที่พวกเราไม่เอาความนาง

พวกเราจึงไม่ต้องเกี่ยวกรรมจองเวรกับนาง

แต่โชคร้ายกลับเป็นของนางฝ่ายเดียว

เพราะนางได้สร้าง #ผลกรรม ของตัวเองขึ้นมา

จากการกระทำก้าวล่วงจ้วงจาบผู้อื่น

อันเป็นความผิดบาปที่จิตหยาบของนางก่อขึ้น

โดยจิตวิญญาณของนางเองต้องรับกรรมนั้นไป

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

การก่อกรรมแล้วคนรอบข้างท่านไม่เอาความ

มันเป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

มนุษย์ทุกคนเมื่อก่อกรรมขึ้นมาโดยจิตหยาบ

จิตวิญญาณก็ต้องรับผลกรรมนั้นไป

ทั้งยังจะต้องเกี่ยวกรรมกับคนอื่นๆ

เพื่อแก้ไข เพื่อแก้แค้นกัน เพื่อเรียนรู้

ที่สำคัญคือ เพื่อการชำระผลกรรมที่ติดตัวอยู่

ให้แตกสลายกลายเป็นโมฆะกรรมให้สิ้น

จึงจะสามารถหลุดพ้นทางจิตวิญญาณได้

 

ท่านจึงต้องระวังตา หูและปากของท่านให้มาก

ท่านยังต้องระวังจิตของท่านให้จงหนัก

อายตนะเหล่านี้มันว่องไวยิ่งกว่าลิง

อายตนะเหล่านี้มันมิค่อยจะอยู่นิ่งเฉยสักเท่าใด

ถ้าวันๆหนึ่งท่านทำตัวเป็นคนไม่มีวินัย

ในการใช้กลไกอายตนะเหล่านี้

ท่านจะเสี่ยงต่อการก่อกรรมและเกี่ยวกรรม

กับคนรอบข้างแวดล้อมตัวท่านได้เสมอ

 

เมื่อเราบอกความจริงแล้วว่า

ท่านจะหนีไปปลีกวิเวกคนเดียว

เพื่อไม่ต้องใช้อายตนะกับใครก็ไม่ได้

หรือท่านจะเลือกอยู่กับคนอื่นในสังคม

โดยปิดอายตนะเอาไว้ทั้งหมดดั่งคนพิการ

มันก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน

 

ทางเลือกเดียวที่ท่านต้องเลือกคือ

ไม่ทิ้งสังคม ไม่ปลีกวิเวก

โดยฝึกครองมหาสติขณะที่ไม่ปิดอายตนะ

และต้องแสดงปณิธานแห่งการหลุดพ้นให้ชัด

คือ รักได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัว

โดยไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะคนที่รักคนที่ชอบ

แต่ปฏิบัติได้กับทุกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข

 

พี่ๆน้องๆที่รัก

 

ถ้าท่านทำตัวแบบที่ว่านี้ได้

แสดงว่าท่านกำลังหมุน "ธรรมจักร"

อันเป็นภารกิจหลักของจิตวิญญาณ

ที่ถือติดตัวมาทำหน้าที่ร่วมกันกับคนอื่นๆได้แล้ว

 

ท่านก็จะพ้นไปจากความงมงาย

ที่เที่ยวเดินตามหลังคนนำทางตาบอด

จนพากันหลงทางมานานนับพันปีมาแล้วได้เสียที

ท่านจงอย่าประมาทหรือขาดสติ

ในการดำเนินชีวิตประจำวันแบบมักง่าย

ไร้วินัยกันต่อไปอีกเลย

 

ความโลภ ความโกรธ ความงมงาย

และความหลงตัวเองเป็นอุปสรรคใหญ่สุด

ที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นไม่ได้ในชาตินี้

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

9-12-2019