06 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 9/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จงอย่าก้าวตามคนนำทางตาบอด

 

เพราะ "คนนำทางตาบอด"

จะพาท่านที่หลับหูหลับตาก้าวตาม

เดินหลงทางไปนิพพาน

ให้ไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาแทน

ด้วยเหตุผลสำคัญดังต่อไปนี้

 

1. คนนำทางตาบอดที่ท่านกำลังก้าวตาม

มิใช่พระศาสดาตัวจริงเสียงจริง

ที่มีทั้งภูมิปัญญาและภูมิธรรมเป็นเลิศ

พวกเขามิใช่พระผู้ตรัสรู้แล้วจนรู้แจ้งแล้ว

 

แต่พวกคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

เป็นเพียงผู้ขันอาสาพระศาสดา

ท่องจำธรรมะของพระองค์

แล้วนำมากล่าวต่อบอกต่อหรือเล่าต่อ

 

พร้อมทั้งขยายความ แปลความ ตีความ

ไปตามระดับสติปัญญาของตนเองบ้าง

ไปตามความเชื่อของตนเองบ้าง

ไปตามที่ได้ยินได้ฟัง

การสืบสอนต่อๆกันมาเป็นทอดๆบ้าง

 

ถ้าอาศัยแต่ความเชื่อความชอบ

แล้วก้าวตาม ปฏิบัติตาม โดยไม่คิดตาม

ท่านก็จะเป็นคนงมงายเพราะไม่คิดก่อนเชื่อ

ท่านก็จะเป็นคนหลงทิศหลงทาง

เพราะเขาจะพาท่านไปผิดทางโดยไม่รู้ตัว

ทั้งคนนำทางและคนก้าวตามต่างก็ไม่รู้ตัว

 

คนนำทางไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นมิใช่พระศาสดา

จึงทำตัวเหมือนว่าตนเป็นพระศาสดาเสียเอง

ด้วยการสอนให้เชื่อแทนที่จะสอนให้คิดตาม

ด้วยการสอนให้ทำตามแทนที่จะสอนให้คิดเอง

ด้วยการสอนให้กราบคนนำทางเองและบูชาวัตถุ

แทนที่จะสอนให้ผู้ตามรู้จักกราบไหว้ตนเอง

เพราะคนนำทางเหล่านี้ไร้สติจึง "ตาบอด"

 

ส่วนคนก้าวตามเองก็ไม่รู้ตัวว่า

คนนำทางที่ตนกำลังก้าวตามอยู่มิใช่ศาสดา

จึงเชื่อตามทุกอย่างรับฟังทุกสิ่ง

โดยไม่กล้าสงสัยไม่ติดใจจะคิดแย้ง

 

เพราะถูกหลอกถูกปลูกฝังเอาไว้ว่า

ถ้าเห็นต่างคิดต่างจากคนนำทางพวกนี้แล้ว

จะถือเป็นการผิดบาปต่อองค์พระศาสดา

ทั้งๆที่พระศาสดาทรงเป็น "พุทธะ"

อันหมายถึงผู้นิยมการใช้ปัญญาเพื่อการคิดรู้

พระศาสดาไม่เคยห้ามใครมิให้คิดต่าง

พระศาสดามิเคยห้ามใครไม่ให้คิดตาม

 

โดยทรงกล่าวย้ำเอาไว้ด้วยซ้ำไปว่า

ใครฟังธรรมะแล้วเชื่อตามหรือปฏิเสธทันที

คนๆนั้นคือผู้ที่งมงายไร้สาระ

จะถูกชักจูงไปในทางผิดๆได้ง่าย

 

2. คนนำทางตาบอดที่ท่านกำลังก้าวตาม

กล่าวสอนให้ท่านทั้งหลายเชื่อตาม

ทำตาม "ความเชื่อ" ของพวกเขาเป็นสำคัญ

ซึ่งข้อธรรมะหลายเรื่องหลายสิ่ง

ยังเป็นสิ่งชวนเคลือบแคลงว่าไม่น่าจะถูกต้อง

 

ตัวอย่างเช่น

 

การนำเอาพระรูปของพระศาสดา

ที่ถูกกระทำก้าวล่วงอย่างทุกข์ทรมาน

ซึ่งกำลังอยู่ในพระอาการชวนเศร้าสลด

อันเป็นภาพที่ไม่งดงามไม่สร้างสรรค์ไม่น่าดู

นำมาทำเป็นสัญลักษณ์แล้วประกาศไปทั่วหล้า

โดยไม่รู้สำนึกว่าตนกำลังเทอดทูนพระองค์ท่าน

หรือกำลัง "ประจาน" กำลังหมิ่นพระองค์กันแน่

 

ขนาดศพของพ่อแม่ญาติพี่น้องตนเอง

ที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุจนกายสังขารชำรุด

ก็ยังต้องให้ช่างตกแต่งเสริมสวยให้เรียบร้อย

จนแลดูไม่อุจาดตาแก่คณาญาติวันรดน้ำศพ

 

แล้วใยพระรูปของพระศาสดา

ที่ปากก็กล่าวว่าเคารพรักศรัทธากันนักหนา

หากจะนำมาประกาศพระบารมีทั่วหล้าแล้ว

ทำไมไม่เลือกเอาอิริยาบถที่แลดูน่าศรัทธา

เหมือนพระรูปปั้นอันงามสง่า

ที่กรุงริโอเดอจาเนโรในประเทศบราซิล

แทนที่จะเลือกให้แลดูน่าหดหู่อยู่บนไม้ประหาร

 

ทั้งๆที่พวกท่านไม่เคยเห็นตัวจริง

ขององค์พระศาสดากันมาก่อนเลย

ที่แกะที่ปั้นที่วาดกันขึ้นมา

ล้วนได้มาจากจินตนาการกันทั้งนั้นมิใช่หรือ

 

การกระทำเช่นนี้ติดต่อกันมานานนับพันปี

น่าเคลือบแคลงว่าขาดสติโดยไม่มีใครฉุกคิด

จะมิให้ถูกมองว่าคนชั้นผู้นำเหล่านี้

เป็น "คนนำทางตาบอด" ได้อย่างไรกัน

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ขนาดเรื่องละเอียดอ่อนพวกเขายังมองข้าม

ยังพาผู้ตามให้หลงทางหลงผิดได้

แล้วสัจธรรมคำสอนอื่นๆที่ลึกซึ้งแยบยล

ที่ถูกเล่าความขยายความตามๆกันมา

ด้วยการคิดแบบจิตมนุษย์ล่ะ

มันน่าเคลือบแคลงว่าจะมีผิดพลาดอีกหรือไม่

 

เพราะพระคำ พระวจนะ พระโอวาท

ทั้งของพระบิดาและพระศาสดาที่กล่าวไว้

ล้วนเป็นอุปมาอุปไมยให้ต้องใช้ปัญญาทั้งสิ้น

เป็นการให้ทั้งธรรมะและปัญญาไปพร้อมๆกัน

 

ดังนั้น

ถ้าคนนำทางบกพร่องทางปัญญา

คนก้าวตามเองก็ไม่ยอมใช้ปัญญา

ได้แต่เชื่อตามพวกเขาไป

จะมีใครกลับคืนสวรรค์นิรันดรได้หรือเปล่า

 

3. คนนำทางตาบอดที่ท่านกำลังก้าวตาม

เขาพาท่านเชื่อตามที่พวกเขาเชื่อว่า

พระศาสดาตรัสรู้เรื่องอริยสัจและอริยมรรค

ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิเสธความทุกข์

เป็นเรื่องของการวุ่นวายอยู่กับเรื่องทุกข์

เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องการหนีทุกข์ให้พ้นทุกข์

โดยสรุปว่าไม่ควรมาเกิดเป็นคนบนโลกนี้อีก

เพราะการเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

เพราะพวกเขาเชื่อผิดเข้าใจผิด

จึงสร้างทางเบี่ยงไปเกิดเป็นเทพพรหม

ซึ่งเป็นแดนสวรรค์มายาที่พระบิดามิได้สร้าง

แล้วก็ชักชวนพวกท่านให้ก้าวตามไปทางนั้น

โดยนิยามเอาเองเออเองว่านิพพานแล้ว

ทั้งๆที่เป็นการหลงผิดหลงทางแท้ๆ

 

เพราะพวกเขาเชื่อผิดเข้าใจผิด

จึงคลั่งกับการบ้าบุญหนุนนำให้ไปสวรรค์มายา

ด้วยการชวนท่านสร้างสิ่งก่อสร้างกับวัตถุมายา

มากกว่าการเน้นปฏิบัติธรรมชำระจิตที่อยู่ข้างใน

 

ด้วยการชวนท่านให้เชื่อในพิธีกรรมว่าศักดิ์สิทธิ์

แทนที่จะสะกิดให้ใช้ปัญญาก่อนจะเชื่อไม่เชื่อ

 

พวกเขาจึงชวนท่าน

ให้พาจิตวิญญาณหลงไปทางนั้นกับพวกเขา

แต่ปรากฏว่าจิตวิญญาณของผู้ตามเช่นท่าน

ยังต้องกลับมาเกิดใหม่ดุจเดิม

เพราะก้าวตามคนนำทางไปสวรรค์มายาไม่ได้

เนื่องจากวิธีปฏิบัติตามคนนำทางเหล่านี้

มันเป็นมรรควิถีของนักบวชมิใช่วิธีฆราวาส

การปฏิบัติหลายอย่างจึงมีข้อจำกัด

ที่ฆราวาสทั้งหลายทำตามนักบวชทั้งหมดไม่ได้

ทำได้แค่ครึ่งๆกลางๆได้บ้างไม่ได้บ้าง

 

เพราะนักบวชโสดหรือสันโดดอิสระ

ขณะที่ชาวบ้านยังมีสังคมมีครอบครัว

โดยเฉพาะท่านที่เป็นสตรีเพศ

ยิ่งมีข้อจำกัดที่ติดขัดมากมายกว่าบุรุษ

ยิ่งเป็นอุปสรรคจนมิอาจปฏิบัติตามนักบวชได้

จึงเลือกเอาการชวนให้หมั่นทำบุญสุนทาน

เลือกเอาการหมั่นนั่งกรรมฐานสมาธิ

เลือกเอาการมีสติถือศีลครองธรรมแค่บางข้อ

แต่จิตวิญญาณก็ยังพ้นทุกข์ไปจากโลกไม่ได้

ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างเดิม

 

4. เพราะคนนำทางตาบอดที่ท่านกำลังก้าวตาม

เขาเข้าใจผิดคิดว่าพระศาสดา

ทรงตรัสรู้เรื่องอริยสัจและอริยมรรค

จึงพาพวกท่านเน้นเรื่อง "ทุกข์" เป็นการใหญ่

ทั้งๆที่แท้จริงแล้วพระองค์ตรัสรู้

เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" ต่างหาก

 

คนนำทางตาบอดทั้งหลาย

จึงไม่รู้เรื่องการหมุนธรรมจักร

เพราะหลงผิดเข้าใจผิดและคิดไม่ถึง

พวกเขาจึงไม่เคยสอนพวกท่านเลยว่า

กฎเกณฑ์การหมุนธรรมจักรคืออะไรอย่างไร

 

พวกเขาจึงไม่เคยบอกท่านทั้งหลายว่า

มนุษย์ทุกคนโดยจิตวิญญาณที่มา่เกิดบนโลก

จะต้องช่วยกันหมุนธรรมจักรทุกวันเวลา

เพื่อให้พลังงานในการหมุนรอบตัวเองแก่โลก

ทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง

ด้วยอัตราเร็วในการหมุนคงที่ตลอดไป

ซึ่งมันจะทำให้โลกมีความสมดุลตลอดกาล

 

พวกเขาไม่เคยบอกว่า

มนุษย์ต้องเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

ที่จะช่วยให้โลกหมุนได้นั้น

ทุกท่านต้องหมุนธรรมจักรร่วมกัน

ด้วยการใช้ "ความรักเพื่อให้" เป็นรักบริสุทธิ์

สั่นสะเทือนผ่านจิตสำนึกให้แก่กันและกัน

ตามคำกล่าวของพระศาสดาที่ว่า

"เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

เราคือโลก โลกคือเรา" นั่นเอง

 

ที่พวกเขาไม่เคยบอกเพราะพวกเขาไม่รู้

เมื่อไม่รู้จึงพาท่านเดินทางผิดหรือหลงทาง

จึงพากันวนไปเวียนมาหาทางหลุดพ้นไม่เจอ

เมื่ออธิบายไม่ได้ว่ากำลังพากันไปทางไหน

สิ่งสมมติเรื่องเขาวงกตกับเขาพระสุเมรุ

เพื่อหาทางออกปลอบใจตนเองกันจึงบังเกิด

แล้วก็พาพวกท่าน "จนมุม" ลอยค้างอยู่บนนั้น

ด้วยสถานการณ์นิพพานเทียมเท็จ

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราขอเอาอนาคตแห่งจิตวิญญาณของเรา

เดิมพันอย่างมั่นใจต่อท่านทั้งหลายว่า

ที่เรากล่าวว่าอย่าเดินตามคนนำทางตาบอด

ด้วยเหตุผลบางประการที่แสดงไว้ในที่นี้นั้น

เรากล่าวตามความจริงที่พระบิดาเมตตา

เรามิได้มีเจตนาจะกล่าวก้าวล่วงใคร

 

ผู้ที่มีปัญญาอันประเสริฐอยู่แก่ตน

ก็จงพิจารณาคิดตามคำกล่าวของเราเถิด

ท่านจะได้เกิดสติลืมตาขึ้นมาใช้ปัญญา

แทนการเชื่อตามใครต่อใครอย่างงมงาย

เราเชื่อมั่นว่าท่านจะพบมหัศจรรย์ทางปัญญา

ที่มีอยู่ในตนเองได้ทันทีที่ท่านคิดเป็น

 

ท่านรู้รึไม่ว่า

มหันตภัยพิบัติโลกที่ผ่านมา

และที่กำลังจะมาให้ท่านผจญภัย

นอกจากจะเป็นแผนการชำระโลกครั้งที่สี่แล้ว

ภัยพิบัติทั้งหลายเหล่านั้น

เกิดจากมนุษย์ไม่เคยสนใจหมุนธรรมจักร

ด้วยความรักเพื่อให้ที่เป็นรักบริสุทธิ์

ได้แต่หมุนกรรมจักรร่วมกันเสียมากกว่า

 

สัจธรรมความจริงที่เรากล่าวนี้

เป็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรม

ซึ่งศาสดาที่เกิดจากโลกเองมิอาจรู้

จึงเป็นดั่งใบไม้นอกกำมือของพระองค์

มีเพียงพระบุตรเอกที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น

ที่สามารถสื่อสารกับพระองค์ได้ที่จะรู้

 

ดังนั้น

เมื่อคนนำทางตาบอดเหล่านี้

ยึดติดแต่พระศาสดาที่เกิดจากโลก

แค่เพียงพระองค์เดียว

พวกเขายึดติดคัมภีร์แค่เพียงเล่มเดียว

จึงไม่มีภูมิมากพอที่จะนำพาท่านทั้งหลาย

ให้หลุดพ้นทางจิตวิญญาณ

ด้วยการนิพพานอย่างแท้จริงได้

 

นี่คือที่มาของการกล่าวเตือนสติพวกท่าน

ตามที่เรากล่าวไว้ในย่อหน้าแรกๆ

ของบทเรียนบทนี้นั่นเอง

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

9-12-2019