02 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 2/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

 

ภารกิจทางจิตวิญญาณ

ที่ทุกท่านต้องทำ ไม่ทำไม่ได้

และท่านต้องเรียนรู้กันด้วยว่า

ต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุภารกิจที่ว่านี้ได้

ภายในภพชาติปัจจุบันนั้น

 

ความจริงที่เราจะกล่าวไว้ให้ท่านรู้ก็คือ

ใครยังเดินตามหลัง "คนนำทางตาบอด" อยู่

คนๆนั้นเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณแก่นแท้

จะ "หลงทาง" นิพพาน 1000 เปอร์เซ็นต์

 

เพราะ "คนนำทางตาบอด" เขาเชื่อกันว่า

ถ้าจิตหยาบสามารถนำพาจิตวิญญาณของตน

หลุดพ้นออกไปจากสังสารวัฏได้

หมายถึงเมื่อตายหรือสิ้นอายุขัยในชาตินี้แล้ว

ถ้าจิตวิญญาณไม่มาเกิดเป็นคนบนโลกนี้อีก

แสดงว่าพวกเขา "นิพพาน" ได้แล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คำสอนของคนนำทางตาบอดเช่นว่านี้

มันเป็นแค่ "ความเชื่อ" ที่มิใช่ "ความจริง"

ซึ่งท่านจะไปเชื่อตามหรือก้าวตามไม่ได้

เหตุผลของเราที่จะชวนคิดพิจารณาก็คือ

 

1. เพราะเหตุว่า "จิตวิญญาณ" ของพวกเขา

แม้ตายไปจากการเป็นคนบนโลกเสรีนี้แล้ว

แต่มันยังเป็นแค่การตายเพื่อหลีกลี้หนีหาย

ไม่ต้องกลับมาเกิดบนโลกนี้ให้ใครเห็นอีก

ด้วยการสร้างทางเบี่ยงให้ "จิตวิญญาณ"

พากันไปถือกำเนิดในที่อื่นแทนเท่านั้นเอง

 

ในเมื่อตายหรือหายไปจากโลกนี้แล้ว

แต่ยังไปจุติยังไปเกิดอยู่ในที่อื่นภพอื่น

ยังคงไปปรากฏตัวตนมายาอยู่ในที่อื่นๆ

แสดงว่าจิตวิญญาณนั้นยัง "ดับสูญ" ไม่จริง

เป็นแค่เพียง "ดับหาย" แว่บหายจากตรงนั้น

ท่านจะเรียกว่า "นิพพาน" แล้วไม่ได้

 

2. สถานที่ไปเกิดใหม่ของ "จิตวิญญาณ"

เมื่อตายไปจากโลกนี้แล้วต้องไป

คือดินแดน "สวรรค์มายา" แห่งทวยเทพเทวดา

ที่มีน้ำหนักมวลรวมของจิตวิญญาณแต่ละตน

เบากว่าน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณมนุษย์โลก

เพราะว่ามีน้ำหนัก "กรรม" ติดตัวอยู่น้อยกว่า

 

ดังนั้น

จิตวิญญาณของพวกคนนำทางตาบอด

ที่เป็นผู้ปฏิบัติดีแต่ยังมี "งมงาย" อยู่

เมื่อตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว

จึงถูกโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยแรงน้อยกว่า

เพราะจิตวิญญาณมีมวลน้อยกว่า

พวกเขาจึงต้อง "หลุดลอย" ออกไปจากโลก

ไปติดค้างในสนามพลังงานจักรวาลเหมือนว่าว

จึงไม่อาจกลับลงมาเกิดใหม่บนโลกนี้ได้อีก

 

3. เมื่อพวกเขาตายไปจากการเป็นมนุษย์

แม้จะหายตัวไปจากโลกได้ก็จริงอยู่

แต่ถ้าเขายังคงมี "ตัวตน" อยู่ในอนันตจักรวาลนี้

ไม่ว่าจะ "หลุดลอย" ออกไปอยู่นอกระบบโลก

ที่เป็นแดนสมมติว่าเป็น "สวรรค์มายา"

หรือว่า "หลุดลง" ไปตกอยู่ในแดนนรกภูมิก็ตาม

จิตวิญญาณรูปธรรมดังกล่าวนั้น

ก็จะถูกเรียกว่า "นิพพาน" แล้วยังไม่ได้

 

เพราะคำว่า #นิพพาน ที่แท้จริงนั้น

หมายถึงต้องหายตัวไปจาก #อนันตจักรวาล

มิใช่การล่องหนหายตัวแบบสาปสูญไปเฉยๆ

โดยไม่สนใจว่าจิตวิญญาณนั้นๆหายไปไหน

หรือหายตัวไปจากโลกได้แต่ไปโผล่ยังที่อื่น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การนิพพานทางจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น

ท่านจะต้องหายตัวออกไปจากอนันตจักรวาล

มิใช่การหลุดลอยหรือหลุดลงไปอยู่ที่อื่น

ที่ยังอยู่ในดินแดนอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

 

โดยจิตวิญญาณของท่านเมื่อตายไปจากโลก

จะต้องสามารถเดินทางข้ามผ่าน "ประตูมิติ"

ออกไปจากอนันตจักรวาล หรือ #เอกภพ

สู่อาณาจักรแห่ง #จิตจักรวาล ที่อยู่ข้างนอกได้

ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า #การหลุดพ้น นั่นเอง

 

4. อาณาจักรแห่ง "จิตจักรวาล"

ที่อยู่ข้างนอก "อนันตจักรวาล"

ก็คือดินแดนต้นกำเนิดหรือถิ่นเกิด

ของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย

ที่ดำรงอยู่ในระบบโลกในทุกวันนี้นี่เอง

 

ดังนั้น

การนิพพานที่แท้จริง

จึงมิใช่แค่การตายหายไปจากโลก

จนหยุดการมีสังสารวัฏในระบบโลกได้

โดยจิตวิญญาณนั้นยังต้องไปเกิดใหม่ในที่อื่น

ซึ่งที่อื่นๆนั้นอาจเป็นแดนสวรรค์มายา

ไปเกิดเป็นทวยเทพเทวดาติดคาอยู่บนนั้น

หรืออาจเป็นนรกโลกันตร์ที่ต่ำกว่าชั้น 13

ไปตกต่ำติดคาอยู่ในนั้นจนขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว

 

นิพพานตามความเชื่อของคนนำทางตาบอด

จึงเป็นได้แค่ #นิพพานเทียมเท็จ เท่านั้น

 

แต่นิพพานที่แท้จริงตามมรรควิถีจิตจักรวาล

จะเป็นสัจธรรมความจริงระดับ #อนุตรธรรม

ซึ่งมีพระบุตรเอกผู้ที่เคยสัญญาว่า

จะกลับมาฉุดมาช่วย #แกะ พวกท่านเท่านั้น

ที่รู้ความจริงขั้นสูงสุดนี้ว่าหมายถึง #การหลุดพ้น

โดยจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์ทุกคน

ผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาจุติยังโลกเสรีนี้

เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

จะต้องนำพาตนเอง "กลับบ้าน" เมื่อถึงกาลสิ้นยุค

 

คำว่า "กลับบ้าน" หมายถึง

ต้องพาตนเองออกไปจากอนันตจักรวาลได้

ไม่ใช่หายไปจากโลกที่ตนมีภารกิจต้องทำ

แล้วไปหลบเลี่ยงซ่อนตนอยู่ที่อื่น

แต่ก็ยังอยู่ในอนันตจักรวาลอยู่ดังเดิม

ที่หายไปก็เพียงแค่ย้ายที่อยู่ใหม่เท่านั้นเอง

 

ดังนั้น

เราจึงกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายตลอดมาว่า

การนิพพานในความเชื่อของคนนำทางตาบอด

จึงเป็นเพียงแค่ "นิพพานเทียมเท็จ"

จากเหตุผลทั้งหมดที่เรากล่าวมานั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ถ้าท่านทั้งหลายยังงมงายก้าวตามอยู่

โดยดื้อรั้นดันทุรังไม่ฟังเรา

มันจึงไม่ต่างจากการที่พวกท่านเป็น "แกะ"

ที่พยายามจะปีนรั้วกลับเข้าคอกหรือกลับบ้าน

เพราะหลับตาเชื่อตามคนนำทางตาบอด

ซึ่งเป็น "คนเลี้ยงแกะ" ตัวปลอมอย่างไร้สติ

 

ทั้งๆที่คนเลี้ยงแกะตัวจริงส่งเสียงร้องเรียกอยู่

ทั้งๆที่ประตูคอกแกะคือด่านนภาลัยก็เปิดอ้าอยู่

ทั้งๆที่คนเฝ้าประตูคอกแกะก็ยังยืนรอร้องเรียก

จนแทบจะเสียงแหบเสียงแห้งมานานแล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

พระโอวาทศักดิ์สิทธิ์ประการสุดท้าย

ที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามาในครั้งนี้ก็คือ

 

บัดนี้....โลกถึงกาลสิ้นยุคแล้ว

ลูกๆทั้งหลายจักต้องกลับบ้าน

 

โลกนี้มิใช่บ้านของพวกเจ้า

เมื่อหมดเวลาทำภารกิจ 6 หมื่นปีโลกแล้ว

เจ้าจะยังเกาะติดโลกจนต้อง "แกะ" อีกไม่ได้

พวกเจ้าต้องรีบกลับบ้านแดนสุญตา

ที่อยู่นอกเอกภพหรือนอก "อนันตจักรวาล"

ให้ทันก่อนวันพิพากษาให้จงได้

 

มิเช่นนั้นจิตวิญญาณของพวกเจ้าที่เหลวไหล

จะสิ้นโอกาสที่จะ "กลับบ้าน" ตลอดกาลนิรันดร

หรือหมดโอกาสที่จะ "หลุดพ้น" ออกไปได้

ซึ่งมันจะเป็นเรื่องวิปโยคที่สุดทางวิญญาณ

ที่มันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

นับแต่พระบิดาสร้างอนันตจักรวาลนี้ขึ้นมา

 

ความอวดดี อวดดื้อ ต่อพระบุตรเอก

ความโง่งมงายไม่ใช้ปัญญาตนเอง

ได้แต่หลับตาเดินตามคนนำทางตาบอด

พฤติกรรมเหล่านี้ปลายทางคือ #วิบัติ

มิใช่ #วิมุติ ทางจิตวิญญาณอย่างที่คิด

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

คำเตือนของเราผู้กลับมาตามสัญญา

ก็ใกล้จะถึง "บรรทัดสุดท้าย" เต็มทีแล้วเช่นกัน

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

2-12-2019