19 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 19/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สาเหตุสำคัญประการต่อมา

ที่ "คนนำทางตาบอด" เขาช่วยนำพา

จิตวิญญาณของท่าน "หลุดพ้น"

กลับบ้านไปกราบพระบิดาไม่ได้ก็เพราะว่า

 

พวกเขาจำบ้านเกิดที่ตนเองจากมาไม่ได้

รู้ได้อย่างเดียวว่าดำรงอยู่ในอนันตจักรวาล

ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่จะประมาณ

ทั้งยังจำผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณไม่ได้ด้วย

 

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า

ถ้าใครจำบ้านเกิดตนเองไม่ได้

และจำผู้ให้กำเนิดของตนก็ไม่ได้ด้วย

คำว่า "บ้าน" ในความคิดคำนึงจึงไม่มี

เมื่อในความคิดคำนึงไม่มีคำว่า "บ้าน"

สำนึกที่จะ "กลับบ้าน" มันจะมีได้อย่างไร

 

ดังนั้น

ประดาคนนำทางตาบอดทั้งหลายเหล่านี้

จึงไม่เคยประกาศชี้ชวนท่านให้กลับบ้าน

เพราะในจิตพวกเขาไม่มีคำว่า "บ้าน"

จึงได้แต่เน้นนำท่านไปให้พ้นจากสังสารวัฏ

อันหมายถึงดับการมาเกิดแก่เจ็บตาย

ในระบบโลกเสรีนี้เท่านั้นเอง

 

เพราะพวกเขามองเห็นความจริงด้านเดียว

คือเห็นการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเหตุแห่งทุกข์

จึงหลงผิดคิดว่าหน้าที่สำคัญของมนุษย์

ที่ทุกคนจะต้องกระทำจะต้องปฏิบัติก็คือ

จะต้อง "หนีเหตุแห่งทุกข์" ไปให้พ้น

โดยมองว่าเรื่อง "ทุกข์" เป็นเรื่องใหญ่

ทั้งๆที่พระศาสดาทรงค้นพบความจริงแล้วว่า

 

ความทุกข์ทั้งปวงมิใช่สิ่งน่ากลัว

ความทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจากปัญหา

หากสามารถจัดการปัญหานั้นๆได้

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นก็จะดับหายไป

 

นอกจากนั้น

พระองค์ยังทรงแนะนำให้ใช้ "อริยสัจ 3"

เป็นสูตรสำเร็จในการจัดการปัญหาที่เผชิญ

เพื่อดับทุกข์เข็ญที่เกิดจากปัญหานั้นๆ

ให้สงบราบคาบด้วยปฏิบัติการทางจิตปัญญา

ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ

 

1. ต้องรู้ให้ได้ว่าท่าน "ทุกข์" เพราะอะไร

เหตุที่ทำให้ท่านทุกข์นั่นแหละคือ "ปัญหา"

 

2. ต้องรู้ว่าจะจัดการกับ "ปัญหา"

อันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของท่านได้อย่างไรบ้าง

แนวทางการแก้ปัญหาที่ว่านี้แหละคือ "สมุทัย"

 

3. ต้องนำแนวทางการแก้ปัญหาที่คิดได้

ไปสู่การปฏิบัติจริงอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งพระศาสดาทรงเรียกขั้นตอนนี้ว่า "นิโรธ"

 

แต่ถ้าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ

มิได้มีเหตุแห่งทุกข์มาจากภายนอก

แต่มันเกิดทุกข์จากจิตของตนเองเป็นเหตุ

ขั้นตอนการจัดการกับปัญหาในจิต

จึงไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนเท่าใดนัก

พระศาสดาทรงเรียกปฏิบัติการนี้ว่า

การทำ "นิโรธสมาบัติ" คือการทำให้ดับทุกข์นั้น

 

เมื่อพวกคนนำทางตาบอด

ไม่รู้ว่าหน้าที่ของตน คือ "กลับบ้าน"

จึงพยายามสร้างค่านิยมผิดๆขึ้นมาแทน

ด้วยการทำตนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่อง "ทุกข์"

อวดรู้เรื่องทุกข์ อวดเก่งในเรื่องทุกข์กันเกร่อ

 

พวกเขาพยายามชักชวนชาวบ้านให้เห็นทุกข์

แล้วแนะให้ท่านทำบุญสุนทานกันมากๆ

เพื่อตายแล้วจะได้ไปเกิดบนสวรรค์

เพราะเชื่อว่าอยู่ในแดนสวรรค์มายา

จะไม่ทุกข์และมีสุขกว่าเกิดเป็นมนุษย์

 

ที่สำคัญคือคนนำทางตาบอดยังหลงผิดอีกว่า

การตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์มายา

เป็นเทพเทวดาเป็นพรหมเป็นอาตมันพรหม

มันคือการนิพพานทางจิตวิญญาณแล้ว

เพราะไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นแค่การสร้างทางเบี่ยง

จากโลกมนุษย์หลุดลอยไปเกิดในสวรรค์มายา

อันเป็นการ "ย้ายที่เกิด" เท่านั้นเอง

 

เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ขันธ์ห้าของดวงจิตธรรมญาณดวงนั้นยังอยู่ครบ

มันจึงเป็นแค่ "นิพพานเทียมเท็จ"

อันเกิดจากการ "หลอน" ตนเอง

เพราะความไม่รู้เท่านั้น

 

ดังนั้น

นิยามความหมายของคำว่า "นิพพาน"

ที่คนนำทางตาบอดเชื่อและสอนต่อๆกันมาว่า

หมายถึง "การดับการเกิดดับ" ได้อย่างสิ้นเชิง

จึงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด

เพราะมันดับหายไปจากโลกเสรี

แต่หลุดลอยไปจุติไปเกิดที่สวรรค์มายาแทน

จิตวิญญาณของท่านก็ยังคงดำรงอยู่

ภายใน #อนันตจักรวาล อันไพศาลนี้ดังเดิม

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เมื่อคนนำทางตาบอดเหล่านี้

เข้าใจผิดเรื่อง "นิพพาน" เพื่อหนีทุกข์ตั้งแต่แรก

ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาจนบัดนี้

จึงไม่สามารถนับนิ้วได้เลยสักนิ้วว่า

มีใครสักกี่รายที่สามารถ "นิพพานแท้" กันได้บ้าง

เพราะคนนำทางตาบอดเองและผู้ก้าวตาม

พากันเดินหลงทางนิพพานกันมาตลอด

 

เนื่องจากนิยามของคำว่า #นิพพานแท้

หมายถึงการนำพาจิตวิญญาณของตน

ก้าวผ่าน "ด่านนภาลัย" ประตูมิติบานใหญ่

เพื่อออกไปให้พ้นจาก #อนันตจักรวาล

ซึ่งอนันตจักรวาลเปรียบได้ดั่งกะลาคว่ำ

ที่ครอบทุกสิ่งอย่างเอาไว้ข้างใน

 

ด้วยเหตุนี้เอง

พระบิดา่แห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า

จึงทรงมีพระบัญชาให้เรารีบกลับมาฉุดช่วย

ด้วยการ "หงายกะลา" ที่คว่ำอยู่ขึ้นมา

อันเป็นการช่วยเปิดวิสัยทัศน์ให้แกะทั้งหลาย

ที่ถูกกะลาคว่ำครอบไว้มานมนาน

ได้มีโอกาสแลเห็นจักรวาลที่ไพศาลยิ่งกว่า

อันเป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้โดยแท้

 

ถ้าใครไม่ยอมเชื่อฟังเราและคิดตาม

โดยจะหลงก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่อีก

ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่ง

เนื่องจากเวลาเพื่อการสำนึกนั้นสั้นลงทุกทีแล้ว

ทุกๆท่านต้องนำจิตวิญญาณ "หลุดพ้น" ออกไป

ให้ทันก่อน 56 วัน 8 ราตรีที่มืดมิด

ซึ่งเป็นคาบสุดท้ายของปฏิบัติการชำระโลก

เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ต่อไป

 

ถ้าใครไม่สามารถเข้าถึงการหลุดพ้นได้

ก่อนกาลปิดยุคพลังงานเก่า

ด้วยการชำระกรรมตนเองให้เหลือไม่เกิน 30%

จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้น

จะสิ้นโอกาสที่จะกลับบ้านเกิดตลอดกาล

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

ล้วนเป็นความจริงที่พระบิดาทรงเมตตา

ให้เรากลับมากล่าวเตือนสติท่านทั้งหลายว่า

จงถ่อมใจถ่อมตนที่จะรับฟังแล้วคิดตามเถิด

อย่ามัวหลงทางเพราะหลงธรรม

อันเกิดจากการกลัวทุกข์จนขึ้นสมองอยู่อีกเลย

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

19-12-2019