28 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ถ้าพวกท่านยังยึดติดอยู่กับความเชื่อเดิม

ยังยึดติดอยู่กับวิธีปฏิบัติบำเพ็ญแบบเดิมๆ

โดยไม่ยอมรับฟังพระโอวาทพระบิดา

ที่ทรงเมตตาสื่อเตือนผ่านมาทางเราแล้ว

แม้จะมีเวลาต่อไปให้อีกสักกี่ร้อยภพชาติ

ท่านก็จะไม่มีวันนำพาจิตวิญญาณของท่าน

"หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาลได้

ถ้าไม่ "หลุดลอย" เพราะหลงทาง

ไปค้างเติ่งอยู่บนสวรรค์มายา

ก็หลุดหล่นลงมาเกิดเป็นคนบนโลกนี้อีก

ที่แย่กว่านั้นคือ "หลุดลง" ไปยังภพภูมินรก

โดยมีกรรมที่ตนทำเป็นผู้นำพาไปกำเนิด

 

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านทั้งหลาย

นำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นนิพพานไม่ได้

แม้จะเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วหลายภพชาติ

เป็นเพราะหลงก้าวตามคนนำทางตาบอด

อย่างเชื่อมั่นและศรัทธาที่ขาดปัญญา

โดยท่านเชื่อตามพวกเขาไปเสียทุกเรื่อง

ท่านเชื่อมั่นศรัทธาพวกเขาเหมือนกับว่า

พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็น "ศาสดา" เสียเอง

ทั้งๆที่พวกเขาเป็นแค่นักเรียนธรรมะ

เพื่อการปฏิบัติธรรมสู่การหลุดพ้นกลับบ้าน

เพื่อการปฏิบัติธรรมนำพระจิตสู่สวรรค์นิรันดร

เช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลายเท่านั้น

แต่พวกเขารู้ธรรมะมากกว่าท่าน

 

เพราะเรียนมามากกว่าฝึกปฏิบัติมามากกว่า

จึงพอจะแบ่งปันคำสอนของพระศาสดา

ให้ท่านทั้งหลายกันได้บ้างอย่างผู้รู้คนหนึ่ง

แต่ท่านทั้งหลายก็ยังต้องตระหนักรู้

ก่อนจะปักใจเชื่อตามทำตามด้วยว่า

พระธรรมคำสอนที่เขากล่าวอ้างต่อท่านนั้น

ไหนเป็นพระวจนะของพระศาสดาที่แท้จริง

ไหนเป็นพระวจนะเทียมเท็จที่แอบอ้าง

ซึ่งอุตริคิดสร้างหลักธรรมนั้นๆกันขึ้นมาเอง

ไหนเป็นสัจธรรมคำสอนที่ผิดที่ไม่ถูกต้อง

เหตุเพราะพวกเขาแปลความผิดเข้าใจผิด

เพราะพวกเขาใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวผิด

จึงสรุปความคำสอนมาถ่ายทอดต่อแบบผิดๆ

แล้วเชื่อตามกันมาปฏิบัติตามกันมาแบบผิดๆ

จนตกเป็นมรดกบาปสืบเนื่องมานานนับพันปี

ซึ่งท่านทั้งหลายที่หลับตาก้าวตามเชื่อตาม

เพราะหลงผิดเนื่องจากมีตะเกียงที่ไร้น้ำมัน

จึงมิอาจรู้จำแนกแยกแยะถูกผิดอะไรได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ถ้าท่านรู้สติและมีสติกันได้แล้วว่า

คนนำทางที่ท่านก้าวตามอยู่มิใช่พระศาสดา

พวกเขาเพียงแต่รู้ธรรมะมากกว่าท่านเท่านั้น

ซึ่งพวกเขาอาจรู้ถูกรู้ผิดจนสอนท่านผิดๆถูกๆอยู่

หากท่านเชื่อตามและทำตามพวกเขาไปทุกสิ่ง

หรือเชื่อตามทำตามพวกเขาอย่างว่าง่าย

โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว

พวกเขากลุ่มนี้ก็จะพาท่านขึ้นลงเขาวงกต

แล้วลดเลี้ยวขึ้นสู่ยอดเขาพระสุเมรุ

ขึ้นๆลงๆอยู่อย่างนี้โดยมิอาจถึงจุดหมายได้

เพราะพวกเขาและท่านทั้งหลาย

ต่างชักพากันหลงทางนิพพานนั่นเอง

โดยคนนำทางในกลุ่มนี้

พาให้ท่านเชื่อว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์

ด้วยการมีสังสารวัฏบนโลกนี้นั้น

เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

ถ้าชาตินี้ทำให้จิตวิญญาณ

ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติหน้าได้

ท่านทั้งหลายก็จะพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง

โดยอ้างว่าพระศาสดา "สอน" ไว้อย่างนั้น

นี่ก็เป็นความเชื่อของคนนำทาง "ตาบอด"

ที่หลงผิดเพราะตะเกียงไร้น้ำมันเช่นกัน

ที่เรากล่าวว่าพวกนี้มี "ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน"

เพราะเขาไม่รู้ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม

ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณพวกตนมาจากไหน

ใครเป็นผู้ให้มาเกิดและมาเกิดได้อย่างไร

ทั้งไม่รู้ว่าเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

ซึ่งล้วนเป็นความจริงในระดับ #อนุตรธรรม

ที่มีเพียง #พระบุตรเอก ผู้กล่าวพระโอวาท

ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น

ที่จะรู้และกล่าวความจริงเหล่านี้ต่อมนุษย์ได้

เหตุที่คนนำทางพวกนี้สอนท่านผิดๆ

 

พาท่าน "หนีทุกข์" ไปซุกจิตวิญญาณไว้

ด้วยการแทรกตัวอยู่บนสวรรค์มายา

จนละทิ้งหน้าที่หนีภารกิจทางจิตวิญญาณ

เพราะยึดติดพระศาสดาองค์เดียว

 

เพราะติดยึดแต่พระคัมภีร์เล่มเดียว

โดยหยัดยึดแต่ครูคนเดียวตำราเล่มเดียว

แล้วเชื่อว่าตนนั้นจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด

ทั้งที่เป็นใบไม้ในกำมือและนอกกำมือ

ของพระศาสดาองค์เดียวได้อย่างงมงาย

คนนำทางพวกนี้ "ปฏิเสธ" พระบุตรเอก

ซึ่งเป็นพระศาสดาที่มาจากพระเจ้า

และปฏิเสธผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน

โดยทำตนเป็น "บุตรกำพร้า"

รับเอาแต่พระศาสดาที่มาจากโลกเท่านั้น

จึงมิอาจรู้ความจริงขั้นสูงสุดที่ว่านี้ได้เลย

 

นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง

ที่ทำให้พวกเขาทั้งหลาย "ตาบอด"

ขณะที่ยังมี "คนนำทาง" ในบางกลุ่ม

ก็จะพาท่านตายแล้วเกิดใหม่วนๆไปเรื่อย

เพราะท่านไปหลงเชื่อตามพวกเขาว่า

ถ้าเชื่อในพระองค์และศรัทธาในพระบิดา

พระศาสดาจะ "รับบาป" แทนพวกท่านได้

ตายไปในชาตินี้แล้วจิตวิญญาณของท่าน

จะคืนกลับสู่อ้อมกอดแห่งพระองค์ได้ทันที

 

โดยจิตวิญญาณของท่านจะไม่ตาย

เพราะไม่ต้องกลับมามีภพชาติใหม่อีก

ซึ่งคนนำทางกลุ่มที่พาท่านเชื่อเช่นว่านี้

จะสอนสั่งท่านไม่ให้เชื่อเรื่องการมีภพชาติ

เพราะพวกท่านเชื่อในพระบิดา

ศรัทธาในพระบุตรเอกอย่างยิ่งยวดแล้ว

พวกท่านจึงเป็นคนไม่มีบาปแล้ว

เพราะทรงรับบาปทั้งหมดแทนท่านแล้ว

เมื่อตายไปในภพชาตินี้ก็กลับบ้านได้เลย

อันเป็นการอุตริผิดสัจจะบิดเบือนในคำสอน

จนหลงเชื่อกันผิดๆมานานอีกเช่นกัน

ทั้งๆที่พระบุตรเอกผู้มาจากพระเจ้า

มิได้เคยตรัสสอนเอาไว้เช่นนั้นเลย

เป็นเพราะคนนำทางเหล่านี้

 

ตีความคำว่า "ไถ่บาป" ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์

โดยศิษย์ผู้เคยใกล้ชิดพระองค์บันทึกไว้

ซึ่งพระบุตรเอกมิเคยกล่าวมิได้เป็นผู้บันทึก

พวกเขาแปลผิดไปจากความเป็นจริง

จึงยังผลให้พระบุตรเอกเกิดความเสื่อม

อันเกิดจากพวกเขามีตะเกียงที่ไร้น้ำมัน

เพราะถูกคนพาหลงทางเหล่านี้แอบอ้าง

แล้วยังพาให้ผู้ตามส่วนใหญ่หลงผิด

 

คิดว่าพระบุตรเอกรับผิดรับบาปแทนได้จริง

ทั้งๆที่กฎของพระบิดาที่เป็นกฎแห่งจักรวาล

เป็นกฎเดียวกันที่ใช้กับมนุษย์และทุกสิ่ง

ที่ดำรงอยู่ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพนี้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หากตราบใดที่ใครหิวกระหาย

คนนั้นยังต้องกินดื่มเอง

จะให้ใครอื่นกินดื่มแทนตนเองไม่ได้

หากตราบใดที่ใครง่วงเหงาหาวนอน

คนนั้นยังต้องหลับนอนพักผ่อนเอง

จะให้ใครอื่นหลับนอนพักผ่อนแทนไม่ได้

หากตราบใดที่ใครคนนั้นมีบาดแผล

คนนั้นยังต้องเจ็บปวดเองหาหมอเอง

จะให้ใครอื่นเจ็บปวดแทนหาหมอแทนไม่ได้

หากตราบใดที่ใครคนนั้นทำความดีงาม

คนนั้นก็ยังคงเป็นผู้รับกรรมดีที่ตนกระทำ

จะให้ใครอื่นเป็นผู้รับกรรมดีนั้นแทนไม่ได้

หากตราบใดที่ใครคนนั้นทำความชั่ว

คนนั้นก็ยังต้องเป็นผู้รับกรรมชั่วที่ตัวทำ

จะให้ใครอื่นเป็นผู้รับกรรมชั่วนั้นแทนไม่ได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เนื่องจากกรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง

ใครทำใครก็ได้รับผลกรรมนั้นเอง

ใครจะทำแทนใคร

หรือว่าใครจะรับผลกรรมแทนใคร

จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว

ถึงแม้พ่อแม่จะรักลูกอย่างไร

ถ้าลูกซุกซนปีนป่ายจนตกเก้าอี้หัวแตกหัวโน

ลูกรักของพ่อแม่คนนั้นก็ต้องบาดเจ็บเอง

จะให้พ่อแม่บาดเจ็บแผลแทนลูกไม่ได้

 

ดังนั้น

ต่อให้พระบุตรเอก

ทรงยินดีที่จะรับกรรมแทนคนทั้งโลก

เพราะทรงรักมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง

พระองค์ก็จะฝืนกฎแห่งจิตจักรวาลไม่ได้

ทรงจะแบ่งรับความผิดบาปของมนุษย์ได้

ก็จะทำได้แค่เพียง "ทรงมีพระเมตตา"

หรือมีความรักและห่วงใยว่าพวกท่าน

จะมิอาจหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา

เพื่อไปกราบพระบาทพระบิดา

ตามพันธะสัญญา 6 ได้

 

เพราะลืมพระบิดาลืมหน้าที่ของตนเอง

จำกำพืดตนเองไม่ได้ว่าตนเป็นใคร

พระองค์จะทรงทำได้แค่เพียงฟื้นคืนชีพ

ก่อกำเนิดพระองค์ขึ้นมาใหม่

 

ดั่งนกฟีนิกซ์ผู้เป็นอมตะเทพแห่งสุริยะ

ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นนกฟีนิกซ์ตัวใหม่

จากกองขี้เถ้าที่เป็นอดีตของตนเอง

โดยก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความรักเมตตา

เพื่อปรารถนาจะกลับมาช่วยฉุดช่วยแกะ

ประดาคนหลงทางกลับบ้านกลับคอก

ซึ่งพยายามตะกาย "ปีนรั้วคอก" กันอยู่

โดยไม่รู้ว่าประตูทางออกกลับบ้านอยู่ไหน

กระนั้นแล้วถ้าจะแปลคำว่า "ไถ่บาป"

เป็นดั่งการ "รับบาป" รับกรรมแทนท่านได้

น่าจะแปลความว่า

 

พระบุตรเอก "เสียสละ" ตนเอง

กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง

เพื่อฉุดช่วยมนุษย์โลกเสรี

ที่ยังคงติดค้างอยู่ในอนันตจักรวาลนี้

ให้หลุดพ้นออกไปให้หมด

ตามพันธะสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดา

ก่อนกาลเวลาพิพากษาโลกคาบสุดท้าย

ที่โลกทั้งดวงจะมืดสนิทไร้แสง

 

นาน 8 ราตรีของพระบิดา คือ 56 วันโลก

โดยจะมานำพาจิตวิญญาณของพวกท่าน

นิพพานหลุดพ้นออกไปให้หมดเท่าที่ได้

เพราะโลกสิ้นยุคพลังงานเก่ามานาน

ร่วม 800 ปีเศษแล้วนี่ต่างหาก

 

ที่น่าจะเรียกว่ากลับมา "รับกรรม" แทน

เพราะไม่ต้องเผชิญชตากรรมนี้ก็ได้

การกลับมาฉุดช่วยท่านทั้งหลายครั้งนี้

พระบุตรเอกจึงต้องกลับมาเสี่ยงเจ็บตาย

อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กันกับพวกท่าน

เนื่องจากโลกนี้ต้องเปลี่ยนผ่าน

สู่ยุคพลังงานใหม่

 

พระบิดาจึงต้องทรงบัญชาให้ฑูตสวรรค์

ปฏิบัติการชำระโลกด้วยมหันตภัยพิบัติ

ชนิดที่รุนแรงสูงสุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เพราะมนุษย์ทุกยุคที่ได้รับโอกาสมาเกิด

ต่างทำจิตสำนึกตกต่ำย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

ใช้ความรักค้ำจุนสมดุลโลกไม่ได้

โลกจึงเสียสมดุลขั้นวิกฤตทั้งสองมิติ

จึงยังผลให้พระบิดาแห่งเรา

จะต้องยอมให้สร้างภัยพิบัติขึ้นมา

เพื่อปรับสมดุลเดิมของโลก

 

ตามสมการพลังงานสามมิติที่ 3-3-3 แล้ว

ยังต้องยกระดับสมดุลโลกนี้ใหม่

เป็นสมการพลังงานสามมิติที่ 6-6-6 แทน

กาลเวลาที่โลกต้องเจอภัยพิบัติจึงยาวนาน

ความรุนแรงที่โลกจักต้องเผชิญนั้น

จึงถึงขั้นแผ่นดินจมหายคนตายนับไม่ถ้วน

ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การที่พระบุตรเอกรู้ดีว่า

หากกลับมาฉุดช่วยพี่ๆน้องๆเช่นท่านแล้ว

ตนเองต้องเผชิญกับภัยอันน่ากลัวน่าตาย

พร้อมๆกับคนที่หลงทางกลับบ้านกันอยู่

แต่ก็ยัง "กล้าหาญ" ที่จะกลับมาช่วยเหลือ

ด้วยความรักและเมตตาอันเหลือประมาณ

นัยความหมายที่เรายกมาสาธยายความนี้

น่าจะแปลความมาจากคำว่า "ไถ่บาป" ได้

โดยต้องมารับบาปรับกรรมแทนพวกท่าน

จากการที่ต้องมาเผชิญกับโลกที่เลวร้าย

อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้เพราะเด็กเส้นไม่มี

แทนที่จะมาแบกรับกรรมที่ทุกท่านก่อไว้

โดยปัดสวะทั้งหมดไปให้ทรงรับไว้แทน

ตามความคิดเชื่อของคนนำทางตาบอด

ทั้งๆที่ไม่ต้องกลับมาช่วยพวกท่านก็ได้

 

พระบิดาก็มิได้ทรงบังคับให้กลับมา

แต่เพราะรักและห่วงใยพวกท่านมาก

จึงหวั่นเกรงว่าพวกท่านจะกลับบ้านไม่ได้

จะกลับบ้านไม่ทันก่อนวันเปลี่ยนยุค

จึงกล้าหาญขันอาสากลับมาช่วยเหลือท่าน

ทั้งๆที่ถูกก้าวล่วงถูกลบหลู่อยู่เนืองๆอีกด้วย

เราก็ยังยืนหยัดที่จะใช้ "น้ำตา"

กับ "หยาดเหงื่อ" จากความยากลำบาก

ช่วยชุบชีวิตของจิตวิญญาณพวกท่าน

ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วย "ขนมปัง" พระบิดา

ที่ทรงประทานผ่านเรามามอบให้พวกท่าน

ที่กินแล้วจิตวิญญาณไม่ต้องตาย

จึงไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก

 

โดยตายแล้วจิตวิญญาณจะกลับบ้านเกิด

กลับไปกราบพระบิดาอย่างพร้อมหน้ากัน

ความหมายอันสำคัญที่เรากล่าวมา

เกี่ยวกับคำว่า #พระผู้ไถ่บาป

มันจึงน่าจะเหมาะสมกว่าถอดความเป็นเท็จ

จนทำให้พระบุตรเอกทรงเสื่อมพระเกียรติ

อย่างที่หลงผิดติดงมงายกันมายาวนาน

เพราะมีตะเกียงที่ไร้น้ำมันกันอยู่ไหมล่ะท่าน

 

ด้วยเหตุเหล่านี้

หลายท่านจงอย่าจิตตกเสียสมดุล

เมื่อได้ยินคำว่า "คนนำทางตาบอด" อีกเลย

เพราะกลุ่มคำที่เรากล่าวนี้มิใช่คำด่าทอ

มิใช่คำสบประมาทดูหมิ่นก้าวล่วงใคร

แต่เป็นคำที่พระบิดาทรงบัญญัติขึ้น

เพื่อเรียก "คนนำทาง" ที่ไร้แสงสว่าง

เพราะถือตะเกียงที่ไร้น้ำมันจึงจุดไฟไม่ติด

เลยให้แสงสว่างในความมืดไม่ได้

 

โดยวันนี้ขณะนี้

เราก็กำลังเติมน้ำมันให้พวกท่านอยู่

เพียงแค่ท่านไม่ลืมเปิดฝาถังน้ำมันออก

ด้วยการเปิดที่หัวใจของท่านนั่นแหละ

แล้วเอาตะเกียงของท่านรองรับน้ำมัน

ที่เรากำลังเทรินให้อยู่อย่างต่อเนื่อง

ก่อนที่มันจะหมดเมื่อถึงหยดสุดท้าย

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

28-12-2019