#สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ผู้ที่ถูกเรียกว่า
"คนนำทางตาบอด"
ไม่ว่าพวกเขาจะยึดถือพระศาสดาองค์ไหน
ไม่ว่าพวกเขาจะยึดติดพระคัมภีร์เล่มใด
จะมีคุณสมบัติและลักษณะนิสัยไม่ต่างกัน
ซึ่งสามารถจำแนกแยกแยะได้ไม่ยากนัก
โดยส่วนใหญ่จะสังเกตพฤติกรรมได้ดังนี้
1. จะ "ยกย่อง"
ศาสนาและศาสดาที่ตนเชื่อ
แล้ว "ย่ำยี"
ศาสนาและศาสดาพระองค์อื่น
คนนำทาง
"ตาบอด" พวกนี้
จะล้างสมองผู้ที่หลงก้าวตามตนเองว่า
ศาสนาที่พวกตนเชื่อและชอบอยู่นั้น
เป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก
ทั้งๆที่คนนำทางตาบอดพวกนี้
ยังไม่เคยศึกษาเรียนรู้คำสอนศาสนาอื่น
อย่างลึกซึ้งจริงจังและแตกฉานเลย
แถมบางคนที่ตาบอดนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
พระไตรปิฎกปกสีอะไร
พระคัมภีร์ศาสนาอื่นมีคำสอนทั้งหมดกี่บท
นอกจากนั้น
คนนำทางตาบอดพวกนี้
ยังอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่า
ศาสนาที่ตนยอมรับนับถืออยู่นั้น
"ดีที่สุด"
คือดีกว่าศาสนาอื่นใดในโลกนี้ที่ตรงไหน
ทั้งๆที่พระศาสดาแต่ละพระองค์
ไม่เคยมีพระองค์ใดลงมาจุติยุคเดียวกัน
ไม่มียุคใดมีศาสดามากกว่า
1 พระองค์
คนนำทางตาบอดพวกนี้ไร้สติจนไม่รู้ว่า
พระศาสดาแต่ละพระองค์ล้วนสำคัญเท่ากัน
เพราะต่างเสด็จมาฉุดช่วยมนุษย์และโลก
ด้วยความฉลาด
ความรอบรู้ ความรัก
และความกล้าหาญเสมอกันทั้งสิ้น
พระศาสดาของโลกในแต่ละยุค
จึงเป็นสิ่งที่ศาสนิกชนทุกคน
#ไม่ต้องเลือก
เพราะยุคเดียวมีพระศาสดาให้พระองค์เดียว
ดังนั้น
สาเหตุที่พวกคนนำทางตาบอดในเรื่องนี้
จึงเป็นเพราะว่าพวกเขามาเกิดทีหลัง
แล้วได้เรียนรู้มาว่าโลกนี้มีหลายศาสนา
โลกนี้ได้มีพระศาสดามาแล้วหลายพระองค์
พวกเขาจึงใช้ตะเกียงที่ไร้น้ำมันที่ตนถืออยู่
มองผิดหลงผิดเพราะจิตปัญญามืดบอด
ไปนำเอาศาสดาและศาสนาทั้งหมด
ที่เคยมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์โลก
มาตัดสินใจเลือกศาสดาไว้แค่องค์เดียว
เหมือนตัดสินใจเลือก
"แกง" ชนิดที่อยากกิน
เพียงหนึ่งอย่างจากแกงร้อยหม้อมาราดข้าว
เพราะสตางค์ในกระเป๋ามีจำกัด
ทั้งๆที่การยอมรับนับถือพระศาสดาทุกพระองค์
กับการเรียนรู้สัจธรรมคำสอนของศาสดาต่างๆ
ไม่ต้องใช้สตางค์ไม่ต้องลงทุนรอนอะไรเลย
แล้วจะมิให้เรากล่าวติติงพวกเขาว่า
เป็นคนนำทาง
"ตาบอด" ได้อย่างไร
2.
ประดาคนนำทางตาบอด
ที่ตัวท่านปิดอายตนะหลับหูหลับตาก้าวตามอยู่
จะกล่าวหาว่าท่าน
"โง่" ทันที
หากรู้ว่าท่านฟังพระโอวาทที่ทรงสื่อผ่านเรามา
หากรู้ว่าท่านอ่านพระคัมภีร์จิตจักรวาล
ที่เรานิพนธ์ขึ้นมาตามพระบัญชาของพระองค์
เขาจะกล่าวหาว่าท่านโง่ท่านหลงทาง
แล้วพวกเขาก็จะห้ามท่านว่าจงอย่าเชื่อ
"เรา"
ด้วยเหตุผลว่าเราสื่อกับพระเจ้าไม่จริง
เป็นแค่นำเอาศาสตร์ด้านจิตวิทยาที่เรียนมา
บวกกับความฉลาดทางปัญญาอ่านมากรู้มาก
มาสร้างตำราทางศาสนาเองแล้วอ้างพระเจ้า
เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตนเองเท่านั้น
*เราจึงขอฝากถามท่านคนนำทางตาบอด
ที่ก้าวล่วงเราในกรณีนี้เป็นประการแรกว่า
ปรมาจารย์ด้านจิตวิทยาที่เก่งๆในยุคนี้นั้น
มีอยู่เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ทำไมคุรุเหล่านั้นจึงไม่ทำเช่นที่เราทำ
ตามที่ท่านกล่าวหลอกลวงผู้ก้าวตามอยู่ล่ะ
ถ้าหากว่าใครมีคุณสมบัติพร้อมที่จะทำได้จริง
คงต้องมีคนอื่นหรือคนอื่นๆทำไปนานแล้ว
พวกท่านสะกดคำว่า
"เอกะทัคคะ" เป็นมั้ย
*เราจึงขอฝากถามท่านคนนำทางตาบอด
ที่ก้าวล่วงเราในกรณีนี้เป็นประการที่สองว่า
ตัวคนนำทางตาบอดเอง
เคยอ่านพระคัมภีร์จิตจักรวาล
เคยฟังพระโอวาทจากพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านเรามา
ให้เป็นมงคลแก่จิตวิญญาณของท่านบ้างหรือยัง
ทั้งๆที่ท่านยังไม่เคยศึกษาเรียนรู้เลยสักนิด
ท่านยังกล้า
"หลอก" คนที่เขาก้าวตามท่านว่า
อย่าไปเชื่ออย่าไปศึกษาเรียนรู้จิตจักรวาล
เพราะเราสื่อสารกับพระเจ้าไม่จริง
การหลอกลวงนี่ถือเป็นการผิดสัจจะหรือไม่
ท่านรักพระศาสดาและก้าวตามพระองค์แน่หรือ
นี่ก็เพิ่งพ้นผ่านวันคริสต์มาสไปหยกๆ
จำไม่ได้หรือว่าเพราะรักษาสัจจะด้วยชีวิต
พระองค์จึงต้องสิ้นพระชนม์เพราะคนชั่ว
ท่านสำแดงตนว่ารักพระเจ้ารักพระผู้ไถ่บาป
ใยจึงไร้สติไม่รู้ตัวเลยหรือว่าท่านกำลังผิดบาป
จากการ "หลอกลวง"
ให้คนอื่นเชื่อตามท่าน
ทั้งๆที่ท่านยังมิได้รู้ข้อเท็จจริงอะไรเลยสักนิด
พฤติกรรมของพวกท่านในกรณีไร้สัจจะ
ก้าวล่วงพระบิดาและข้อหาสบประมาทเรา
สาเหตุเพราะในตะเกียงไม่มีน้ำมัน
กรรมนี้จะส่งจิตวิญญาณท่านลงไปสู่ไฟชำระ
แทนการขึ้นไปสู่ประตูสวรรค์นิรันดร
3.
ประดาคนนำทางตาบอด
ที่ตัวท่านหลับหูหลับตาก้าวตามอยู่
พวกเขาก็จะห้ามท่านว่าจงอย่าเชื่อ
"เรา"
ด้วยเหตุผลว่าเราสื่อกับพระเจ้าไม่จริง
โดยพวกเขาจะยืนหยัดยืนยันกับท่านว่า
ในโลกนี้จะมีมนุษย์ผู้สื่อกับพระเจ้าได้
แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นไม่มีใครอื่น
คือพระศาสดาที่ตนยอมรับนั่นเอง
แต่ถ้าท่านถามพวกเขากลับไปบ้างว่า
"ทำไม"
เขาจึงเชื่อเช่นนั้น
คำถามของท่านก็จะจางหายไปกับสายลม
เพราะพวกเขาจะตอบคำถามนี้ไม่ได้
นอกจากจะบอกว่าเชื่อฉันสิเชื่อฉันเถอะ
ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเธอนะ
ฉันอาวุโสกว่าเธอไง
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
พระศาสดาที่เป็นพระบุตรเอกนั้น
ก็คือผู้ที่พระบิดามีพระบัญชา
ให้ลงมาจุติเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
เพื่อกล่าวพระโอวาทตามพระประสงค์
ต่อพี่ๆน้องๆในพระนามแห่งพระองค์
ในยามใดยุคใดที่มนุษย์และโลกมีปัญหา
โดยพระบุตรเอกจะนำเครื่องมือสื่อสาร
ที่ใช้เป็นช่องทางติดต่อกับพระเจ้า
ติดตัวมากับจิตวิญญาณด้วย
ซึ่งจิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์ทั่วไปจะไม่มี
เพราะไม่มีหน้าที่พิเศษนั่นเอง
ซึ่งมีพระบุตรเอกอย่างน้อยสองพระองค์แล้ว
ที่เข้ามาจุติเพื่อสื่อสารกับพระเจ้า
ในการกล่าวพระโอวาทต่อมนุษย์โลกมิใช่หรือ
นอกจากนั้นคนนำทางตาบอด
ที่หลอกท่านว่าอย่าเชื่อเรานั้น
พวกเขาก็ยังไม่รู้ความจริงอีกด้วยว่า
กระบวนการสื่อสารทางจิตที่เราใช้นั้น
เป็นการสื่อสารทางจิตที่ถาวร
ด้วยระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง(Vertical
Telepathy)
โดยใช้จักระที่เจ็ดเป็นศูนย์กลางการสั่นสะเทือน
ทำสามเหลี่ยมกันกับดาวพฤหัสและพระสุริยะ
ซึ่งมนุษย์ทั่วไปจักระที่เจ็ดจะถูกปิดมิติไว้
จึงเชื่อมต่อกับดาวพฤหัสและพระสุริยะมิได้
เพราะคนนำทางของท่าน
ไม่รู้ความจริงเหล่านี้
โดยไม่ยอมเปิดจิตตปัญญาศึกษาเรียนรู้
จึงพิพากษาเราและก้าวล่วงภารกิจพระบิดา
ด้วยตะเกียงที่ไร้น้ำมันและงมงายเยี่ยงนี้
จะมิให้เรากล่าวว่าพวกเขา
คือ "คนนำทางตาบอด"
ได้อย่างไร
ในที่นี้
"ตาบอด"
หมายถึงการมีกลไกอายตนะที่มืดบอด
มีตาก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดมอง
มีหูก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดรับฟัง
มีปากก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดที่จะถาม
มีจิตก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดที่จะอยากรู้
มีสมองก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดที่จะคิด
ท่านโชคร้ายมาก
หากไปหลงก้าวตามคนนำทางตาบอด
ที่มีคุณลักษณะตามที่เราเล่ามา
เอเมน
สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา