08 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 8/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

จงอย่าสงสัยเลยว่าผู้คนที่ผ่านเข้ามา

ในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา

รวมทั้งผู้ผ่านเข้ามาศึกษามรรควิถี #จิตจักรวาล

ด้วยการติดตามรับฟังสื่อพระโอวาททุกเดือน

เคยเข้าอบรมเพื่อการชำระจิตตปัญญา

ด้วยกระบวนการ #PsychoShow เดือนละครั้งนั้น

พวกเขาทั้งหลายหายไปไหน

ทำไมพวกเขาจึงห่างหายไป

 

สาเหตุนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ ดังนี้

 

1. พวกเขาเข้ามาตามกระแสสังคมในยุคต้น

เพราะเห็นข่าวสาร "จิตจักรวาล" มาแรงมาก

จึงเข้ามาศึกษาตามกระแส

 

แต่พอได้รับโอกาสให้เข้ามาศีกษาเรียนรู้

ได้มีโอกาสรับฟังพระโอวาทพระบิดา

ที่ทรงสื่อผ่านมาทางเราเป็นประจำทุกเดือน

จึงพบว่าตัวเองเมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ

ไม่รู้ว่า "จิตจักรวาล" สอนอะไร

เพราะฟังคำสอนแล้วดูบางทีก็เหมือนพุทธ

บางทีก็มีคำว่า "พระบิดา" หรือพระผู้เป็นเจ้า

เลยไม่รู้ว่า "จิตจักรวาล" เป็นศาสนาอะไรแน่

 

ทั้งๆที่ "เรา" บอกเสมอว่า

มรรควิถีจิตจักรวาลนี้

มิใช่ลัทธิใหม่หรือศาสนาใหม่

แต่เป็นเส้นทางสายใหม่ที่จะพาพวกท่านกลับบ้าน

เพราะทางสายเดิมที่พวกท่านเดินกันอยู่

เป็นเส้นทางที่ "คนนำทางตาบอด" พาเดิน

และพวกเขาพาพวกท่านหลงทางเวียนวนอยู่

นับเวลาได้เป็นพันๆปีที่ผ่านมาจนบัดนี้

บวชเรียนกันมานานก็ยัง "นิพพาน" แท้ไม่ได้

 

บ้างก็หลุดลอยไปติดอยู่ชั้นเทพพรหม

ซึ่งเป็นแดนสวรรค์มายามิใช่แดนนิพพาน

โดยมันเป็นแค่นิพพานเทียมเท็จเท่านั้น

บ้างก็หลุดหล่นวนเวียนระหว่างนรกกับโลก

ติดอยู่ในสังสารวัฏมานานนับพันปีเช่นกัน

 

พอเราให้สติทางวิญญาณดังกล่าว

ก็รีบชิงก้าวล่วงทันทีแทนที่จะคิดตามให้เข้าใจ

พร้อมทั้งเถียงว่าพระพุทธเจ้ามิได้สอน

โดยลืมที่พระองค์เตือนว่ายังมีใบไม้นอกกำมือ

ที่พระองค์มิได้หยิบฉวยนำมาสอนอยู่อีกมาก

พอขาดสติคนพวกนี้ก็ปฏิเสธพระบิดาและเรา

โดยกล่าวหาว่าเป็นลัทธิใหม่ศาสนาใหม่

แล้วพวกเขาก็พากันตีจากเราไป...ง่ายๆ

 

2. พวกเขาขาดปัญญาในการคิดรู้

เป็นพวกเจ้าสาวที่ถือตะเกียงที่ไม่มีน้ำมัน

 

หมายถึงมีสมองแต่ใช้ปัญญาของสมองไม่ได้

เพราะทุกภพชาติที่ได้โอกาสเกิดเป็นมนุษย์

พวกเขาถูกเสี้ยมสอนให้เชื่อตาม คล้อยตาม

ถูกสอนให้บันทึกจดจำทุกสิ่งไว้เพื่อทำตาม

ถูกสอนให้ก้าวตามคนส่วนใหญ่ว่าไงว่าตามกัน

จนขาดความเป็นผู้นำในตนเอง

ไม่เคยสอนให้มีทักษะการคิดด้วยสมองเลย

ได้่แต่สอนให้เชื่อตามทำตามอย่างงมงายเท่านั้น

 

ดังนั้น

คนพวกนี้จึงจำเก่ง ท่องธรรมะได้คล่องมาก

แต่น่าเสียดายที่ทำธรรมะไม่เป็น

นั่นคือจำข้อธรรมะได้แต่ปฏิบัติตามที่จำไว้ไม่ได้

เนื่องจากขาดความเข้าใจเพราะคิดไม่เป็น

 

เพราะมีสมองแต่ใช้ปัญญาไม่เป็นนี่แหละ

คนพวกนี้จึงไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่า

สัจธรรมที่แท้จริงนั้นมีด้วยกัน 3 ระดับ คือ

โลกิยธรรม โลกุตรธรรม และอนุตรธรรม

จึงไม่รู้ว่าสัจธรรมแต่ละระดับมันต่างกันอย่างไร

จึงไม่สามารถใช้ปัญญาคิดตามคำสื่อสอน

ให้เข้าใจว่าพระบิดาทรงเมตตาสอนอะไร

 

พอตนเองฟังแล้วไม่เข้าใจเพราะขาดปัญญา

ก็สรุปเอาเองว่าคนสอนนั้นสอนไม่รู้เรื่อง

ทั้งๆที่ตนเองฟังไม่รู้เรื่องฟังไม่เข้าใจต่างหาก

แล้วคนพวกนี้ก็ตีจากเราไป...อีกพวกหนึ่ง

 

3. พวกเขาเข้ามาหาเรามิได้ต้องการองค์ธรรม

ที่จะนำจิตวิญญาณของพวกเขา "กลับบ้าน"

กลับคืนสู่แดนสุญตาที่พวกเขาจากมานาน

ในสภาวะแห่งการ "หลุดพ้น" แต่อย่างใด

 

พวกเขาไม่ต้องการกินขนมปังพระบิดา

ที่ใครได้กินแล้วจะไม่ต้องตายอีกตลอดกาล

คือไม่ต้องกลับมาเกิดบนโลกเสรีนี้อีกแล้ว

เพราะสามารถหลุดพ้นกลับบ้านได้นั่นเอง

 

พวกเขาสนใจกันแต่เรื่อง "ภัยพิบัติ"

อยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่

อยากจะรู้ว่าตัวเองจะรอดตายจะปลอดภัยมั้ย

อยากจะรู้ว่าเราสามารถช่วยให้รอดตายได้มั้ย

 

ทั้งๆที่เราบอกความจริงเสมอว่า

ถ้าใครปฏิบัติตามพระโอวาทพระบิดา

พระองค์ก็จะทรงประทานความรอดให้เอง

 

ซึ่งเราก็กล่าวย้ำเตือนอยู่เสมอว่า

ต่อให้รู้ข่าวสารล่วงหน้า

ว่าจะเกิดภัยพิบัติที่ไหนเมื่อไหร่

หากเป็นปลาที่ถูกคัดทิ้งปลาตัวนั้นก็ไม่รอด

แต่ถ้าเป็นปลาที่ถูกคัดไว้

ต่อให้ตกน้ำจมน้ำไปปลาตัวนั้นก็ไม่ตาย

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจะรู้ล่วงหน้ากันไปทำไม

 

เราจึงกล่าวถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นน้อยลง

แต่เน้นสื่อสอนมรรควิถีจิตจักรวาล

ที่จะช่วยท่านทั้งหลายให้รอดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อพวกเขาเหล่านี้

พบว่าเราไม่มีข่าวสารพยากรณ์

เรื่องภัยพิบัติอะไรให้รู้ล่วงหน้าอีก

พวกเขาเหล่านี้ก็ผิดหวัง

 

ในที่สุดคนพวกนี้ก็ตีจากเราไป...อีกพวกหนึ่ง

 

4. พวกเขาเข้ามาหาเรา

ด้วยเรื่องของภัยพิบัติเช่นกัน

 

เนื่องจาก

กว่าสามสิบปีที่เราได้กล่าวประกาศว่า

โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว

โลกกับมนุษย์จะถูกชำระด้วยมหันตภัยพิบัติ

เพื่อสร้างสมดุลโลกในระดับที่สูงกว่าเดิม

ก่อนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

 

โลกและมนุษย์

จะต้องเผชิญสถานการณ์เลวร้ายจากภัยพิบัติ

ชนิดที่จะทำให้แผ่นดินจมหาย

จะมีประชากรโลกต้องตายนับไม่ถ้วน

ซึ่งเราได้เขียนแผนที่โลกยุคพลังงานใหม่ขึ้นไว้

ระบุว่าแผ่นดินไหนจมหายแผ่นดินไหนเหลืออยู่

ตามที่พระบิดาทรงเมตตาให้เปิดเผย

 

โดยเราได้ประกาศให้รู้ไว้ล่วงหน้า

เมื่อเกือบสามสิบปีที่ผ่านมาแล้ว

แต่พวกเขา...ทนรอไม่ได้

รอภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเองไม่ไหว

เพราะรอมานานโดยไม่เห็นจะเกิดอะไรขึ้นสักที

ทั้งๆที่ภัยพิบัติได้เกิดขึ้นบนโลกนี้นานแล้ว

โดยเกิดถี่ขึ้นแรงขึ้นเกิดทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ตัวเองไม่ฉลาดสังเกตเอง

จึงสรุปเอาเองว่าเรากล่าวเท็จ

 

คนพวกนี้ก็ตีจากเราไป...อีกพวกหนึ่ง

เพราะรอให้เกิดภัยพิบัติตามที่เรากล่าวไม่ไหว

โดยไม่ดีใจเลยสักนิดที่ตนรอดตายมาได้

เพราะภัยพิบัติมันยังไม่เกิด

เนื่องจากถูกพระบิดาชลอเวลาเอาไว้

ช่างเท็คนิกซึ่งเป็นฑูตสวรรค์ทั้งหลายจึงรามือ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ถ้าใช้ปัญญากันสักนิดน่าจะคิดได้ว่า

การประกาศข่าวสารด้านภัยพิบัติ

ที่มันจะเกิดขึ้นตามแผนชำระโลกนั้น

 

ทุกครั้งที่เรากล่าวประกาศ

จะมีการบันทึกแถบภาพแถบเสียงเอาไว้

เพื่อเป็นประวัติศาสตร์โลก

 

บางครั้งที่เราประกาศ

เราก็ได้บันทึกข่าวสารไว้เป็นพระคัมภีร์

โดยจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ทั่วไปด้วย

 

ถ้าทั้งหมดที่เรากล่าวไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นการกล่าวเองมิใช่สื่อมาจากพระบิดา

ท่านทั้งหลายคิดว่าเราจะกล้าทำเช่นว่านี้หรือ

เราจะหลอกลวงพวกท่านไปทำไมกัน

 

ที่ภัยพิบัติมันยังไม่เกิดรุนแรง

เพราะพระองค์เมตตา "เลื่อน" ออกไป

มิใช่ "เลิก" ภารกิจทั้งหมด

อย่างน้อยเมื่อไม่กี่วันมานี้

เหตุการณ์ที่นาง "เบี้ย" ทำแผนการพังพินาศ

ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระบิดาทรงรอคอย

ให้เกิดกำหนดกาลที่ "ม้า" อาคันตุกะมาเยือน

ซึ่งกว่าจะลงตัวได้ต้องใช้เวลากว่าสามสิบปี

แล้วยังมีเงื่อนไขอื่นๆที่พวกท่านไม่รู้อีกมาก

 

ถ้าพระองค์ไม่ทรงเมตตาพวกท่าน

ป่านนี้การชำระโลกอย่างเต็มรูปแบบ

มันจะเกิดขึ้นให้ได้สะใจกันทั้งโลกไปนานแล้ว

 

5. พวกเขาเข้ามาหาเรา

เพราะคิดว่าเราเป็นผู้วิเศษ

มีฤทธิ์มีเดชที่จะเป็นที่พึ่งของเขาได้

เช่น ช่วยให้รวย และช่วยให้รอด

 

เมื่อเข้ามาสัมผัสเรา

กลับไม่พบในสิ่งที่เขาต้องการจะได้

พวกเขาพบแต่สัจธรรมคำสอน

พวกเขาพบแต่คำเตือนให้พึ่งตนเอง

พบแต่คำสอนว่าอย่างมงาย

ให้คิดก่อนพูดคิดก่อนทำทุกสิ่งในชีวิต

 

นอกจากนั้น

พวกเขาเห็นเราเชิญชวนสนับสนุนปัจจัย

ในการสร้างจิตจักรวาลสถานธรรม

เป็น "บาบิโลนใหม่" บนโลกด้านตะวันออก

ที่จะเป็นศูนย์กลางของโลก

ในการติดต่อกับ "จิตจักรวาล"

ที่จะเป็นบ้านหลังสุดท้ายของผู้เหลือรอด

 

พวกเขาไม่เชื่อว่าเรากล่าวความจริง

พวกเขากล่าวว่าเราหลอกขายฝัน

สถานธรรมที่ว่านั้นเป็นสิ่งหลอกลวง

โดยใช้จิตฝ่ายต่ำคิดลบมองลบ

 

เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองคาดหวัง

เมื่อรอพิสูจน์ความจริงกันไม่ไหว

คนพวกนี้ก็ตีจากเราไป...อีกพวกหนึ่ง

 

6. พวกสุดท้ายคือพวกที่มาหาเรา

เพื่อแสวงหาผลประโยชน์แอบแฝง

 

ทั้งเรื่องธุรกิจเครือข่าย

ทั้งเรื่องทางการเมือง

เพราะเห็นว่ากลุ่มจิตจักรวาลเป็นกลุ่มใหญ่

เห็นว่ากลุ่มจิตจักรวาลมีอนาคตเติบโตแน่

ตัวเลขของจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น

เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนา

 

แต่เนื่องจากเราไม่เปิดโอกาสให้

เพราะพระบิดามิทรงอนุญาต

เมื่อเห็นว่ามิได้ประโยชน์แน่แล้ว

คนพวกนี้ก็ตีจากเราไป...อีกพวกหนึ่ง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เมื่อท่านรู้ความจริงพอสังเขปแล้ว

ท่านยังคิดจะกวักมือเรียกพวกเขาเหล่านี้

ให้กลับมาเข้าคอกกันอีกหรือ

 

ให้ท่านหันมามองตนเองดีกว่าว่า

แม้ท่านจะยังอยู่กับพระบิดาผ่านมา 7 ปี

แต่ท่านช่วยให้ตนเองมีความก้าวหน้า

จากการศึกษาพระโอวาท

ให้คุ้มค่ากับโอกาสของตนเองกันหรือยัง

 

ระหว่างช่วยคนอื่นกับช่วยตนเอง

ไหนสมควรจะทำก่อนกัน?

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

8-12-2019