17 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/12/2019

#สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สาเหตุสำคัญที่คนนำทางตาบอดทั้งหลาย

มิอาจช่วยนำพาจิตวิญญาณของท่าน

"หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาลนี้ได้

ทั้งๆที่ใช้เวลาในการเดินทางกันนับพันปีแล้ว

สาเหตุหนึ่งก็คือ

 

เพราะพวกเขาเข้าใจผิดว่า

มรรคผลสูงสุดของมนุษย์เมื่อตายแล้วนั้น

จิตวิญญาณต้องไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

จึงได้สร้างทางเบี่ยงพาตนเองหลุดลอย

ขึ้นไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาแทน

 

โดยหลีกเลี่ยงที่จะก่อกรรมใหม่

ด้วยการเลือกที่จะปลีกวิเวก

พาตนเองและจิตวิญญาณออกจากสังคม

เลือกที่จะถือครองสันโดดละอาสวกิเลส

ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับใคร

 

จึงยังผลให้ทั้งคนนำทางตาบอดเอง

และผู้คนมากมายที่หลงเดินก้าวตาม

ที่สามารถหยุดการก่อกรรมใหม่ได้จริงๆ

ก็จะมีน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณ

เบากว่าหรือน้อยกว่าของคนส่วนใหญ่

ที่ใช้ชีวิตติดกรรมอยู่ในสังคม

ซึ่งวันๆได้แต่หมุนกรรมจักรทำให้น้ำหนักเพิ่ม

เพราะมีรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กที่เป็นประจุลบ

ถูกสร้างขึ้นให้เป็นภาระของจิตวิญญาณเรื่อยๆ

 

ดังนั้น

พวกคนนำทางตาบอดผู้เคร่งครัดในศีลธรรม

แถมยังปลีกวิเวกครองสันโดดอีกต่างหาก

จึงเป็นพวกที่ "ไม่ก่อกรรมใหม่" อย่างชัดเจน

จิตวิญญาณของคนเหล่านี้จึงมีน้ำหนักตัวคงที่

เมื่อแรกมาเกิดในภพชาตินี้หนักเท่าใด

น้ำหนักตัวก็จะไม่ค่อยเพิ่มขึ้นเท่าใดนัก

จึงยังผลให้พวกคนนำทางตาบอดเหล่านี้

มีน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณเบากว่าคนทั่วไป

 

แต่เนื่องจากว่าคนนำทางตาบอดเหล่านี้

เน้นแต่การไม่ก่อกรรมใหม่

ในอันที่จะไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

โดย "ลืม" ไปว่าจิตวิญญาณของตน

ได้ถือเอา "ผลกรรมอดีต" จากภพชาติที่ผ่านมา

ติดตัวมากับจิตวิญญาณมาเกิดในภพชาตินี้ด้วย

 

ด้วยเหตุนี้เอง

แม้ไม่ก่อกรรมใหม่ที่จะทำให้หนักมากขึ้น

แต่วิธีการของคนนำทางตาบอดเช่นนี้

จิตวิญญาณพวกเขาก็ยังมีน้ำหนักกรรมเก่า

ถ่วงรั้งให้มีน้ำหนักมวลมากเกิน 30 มิลลิกรัม

ซึ่งมากกว่าภพชาติแรกที่เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์

จิตวิญญาณพวกเขาจึงไม่อาจกลับมาเกิด

ในภพภูมิโลกเสรีนี้ได้เหมือนคนทั่วไปอีกแล้ว

เหตุเพราะน้ำนักตัวเบากว่าคนทั่วไปนั่นเอง

 

จิตวิญญาณพวกเขาจึงต้อง "หลุดลอย"

ไปติดค้างอยู่ในอวกาศหรือสวรรค์มายาแทน

ซึ่งไม่ต่างจากก้อนเมฆที่ท่านแลเห็นกันนี่แหละ

 

ถ้าเป็นเมฆสีดำหรือเมฆฝนที่มีน้ำหนักมวลมาก

เมฆประเภทนี้ก็จะลอยอยู่ในระดับต่ำๆ

เพราะโลกออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้มาก

ขณะที่เมฆขาวๆฝอยๆที่มีน้ำหนักมวลน้อย

ก็จะลอยอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป

เพราะโลกออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้น้อยกว่า

 

จากความจริงกรณีก้อนเมฆลอยต่ำหรือสูงนี้

จึงไม่ต่างกันกับจิตวิญญาณของผู้หลุดลอย

บางรายตายไปแล้วลอยสูงกว่าคนอื่น

เพราะมีผลกรรมติดตัวอยู่น้อยกว่าคนอื่น

บางรายตายแล้วลอยต่ำกว่าคนอื่นๆ

เพราะมีผลกรรมติดตัวมากกว่าคนอื่น

ที่เป็นพวก "หลุดลอย" ด้วยกันเอง

 

นี่จึงเป็นที่มาของสวรรค์มายาที่มีหลายชั้น

ซึ่งพวกคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

ยังหลอนตัวเองว่าเป็นเส้นทางนิพพานกันอยู่

เพราะทำให้ตนไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้แล้ว

เนื่องจากนิยามคำว่านิพพานผิดมาตั้งแต่แรก

 

จิตวิญญาณคนนำทางผู้หลุดลอยเพราะหลงทาง

จึงแบ่งกันเป็นชั้นๆตามน้ำหนักมวลที่เหลืออยู่

โดยนับจากชั้นที่ลอยใกล้โลกมากที่สุด

ไปจนถึงชั้นสูงสุดได้ 5 ชั้นดังต่อไปนี้ คือ

 

1. ชั้นเทพ

2. ชั้นเทวดา

3. ชั้นพรหม

4. ชั้นอาตมันพรหม

5. ชั้นอรูปพรหม

 

พวกที่หลุดลอยขึ้นไปอยู่ในชั้นต่ำกว่า

จะพัฒนาตนเองให้ลอยสูงขึ้นไปได้เรื่้อยๆ

ด้วยวิธี "ลดน้ำหนักมวล" ของตนเองให้ได้

โดยต้องปลดบุรพกรรมที่ติดตัวอยู่ให้ลดลง

ซึ่งตอนเป็นมนุษย์ลืมที่จะใส่ใจมัน

เพราะไปมุ่งสนใจแต่การไม่ก่อกรรมใหม่

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

การเลื่อนระดับชั้นของพวกเขาเหล่านี้

มันเป็นเรื่องที่ต้องจัดการกับตนเอง

โดยไม่มีใครช่วยเหลือใครได้เลย

เขาจะต้องทำให้กรรมแต่ละกรรมที่ติดตัวอยู่

เป็นโมฆะกรรมคือไร้คุณสมบัติกรรม

ไม่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบหรือบวกอีก

 

ถ้ากรรมใดกรรมหนึ่งถูกทำให้เป็นโมฆกรรมได้

น้ำหนักจิตวิญญาณของรูปธรรมนั้นก็จะลดลง

โลกก็จะดึงดูดเหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณนั้นน้อยลง

จิตวิญญาณนั้นจึงจะค่อยๆเลื่อนชั้นขึ้นไปได้

 

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

ปกติแล้วกรรมเก่าทั้งหลายที่ถือติดตัวกันมา

จะต้องอาศัยคู่เวรคู่กรรมหรือเพื่อนมนุษย์

ที่เคยเกี่ยวกรรมกันมาจากอดีตชาติ

ช่วยสร้างเงื่อนไขบททดสอบจิตสามนึกให้

เพื่อให้ท่านเกิดการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ

เกิดการสำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ

แล้วมันก็จะทำให้กรรมจากอดีตเป็นโมฆะได้

 

แต่เมื่อมีการสร้างทางเบี่ยงหลุดลอยขึ้นไป

อยู่กับความวิเวกและความเดียวดาย

จึงยังผลให้ไม่มีใครช่วยหยิบยื่นเงื่อนไขให้

แต่ละรูปธรรมจึงต้องพึ่งตนเองสถานเดียว

โดยใช้เครื่องมือชิ้นเดียวที่ตนมีอยู่ถนัดอยู่

คือปฎิบัติกรรมฐานสมาธิเพื่อเข้าฌานสมาบัติ

ซึ่งมันมิใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

ท่านทั้งหลายจึงเห็นได้ว่า

สวรรค์มายาแต่ละชั้นของพวกหลงทางนี้

ต้องใช้เวลาเสวยทุกข์กันนานนับแสนล้านปี

กว่าจะยกระดับชั้นลอยตัวกันสูงขึ้นไปได้

 

แต่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า

เพราะเส้นทางสายหลุดลอยที่ว่านี้

มิใช่เส้นทางนิพพานที่แท้จริง

มันเป็นนิพพานเทียมเท็จ

ที่คนนำทางตาบอดอุตริให้นิยามกันเอง

โดยที่พระศาสดาของพวกเขา

มิได้เคยเสี้ยมสอนเอาไว้เช่นนั้นเลย

 

พวกเขาเหล่านี้จึงเป็นคนนำทางตาบอด

ที่นำพาจิตวิญญาณของพี่ๆน้องๆ

ที่หลงเดินก้าวตามต้องหลงทางนิพพาน

โดยหลงทางกันมานานนับพันปี

จนพระบิดามีพระบัญชาให้เรากลับมา

เร่งสร้างสติทางวิญญาณให้ท่านทั้งหลาย

เกิดการตื่นรู้โดยเร็วที่สุด

ก่อนการชำระโลกคาบสุดท้าย

ช่วง 56 วัน 8 ราตรีจะมาถึงประตูบ้านท่าน

 

เพราะการดำเนินทางหลุดลอยนี้

ต่อให้ลอยสูงขึ้นไปอย่างไร

พวกเขาก็จะไม่มีวันเจอประตูมิติ

ที่จะผ่านออกไปจากอนันตจักรวาลนี้ได้

เพราะการพยายามจะปีนรั้วเข้าคอกแบบโจร

ตามเส้นทางสวรรค์มายาที่ว่านี้

แทนที่จะเดินผ่านเข้ามาทางประตูคอก

ที่เราเป็นผู้เฝ้าประตูและคอยดูแลอยู่

มันจะยังผลให้คนนำทางตาบอด

รวมทั้งทุกคนที่หลับหูหลับตาก้าวตาม

ไม่สามารถ "หลุดพ้น" กันได้เลย

ต่อให้ใช้เวลาอีกกี่สิบล้านปีก็เป็นจริงไม่ได้

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

17-12-2019