06 ธันวาคม 2562

ตอบคำถาม : ถ้ามนุษย์เสียชีวิตก่อนอายุขัย จิตวิญญาณจะกลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกหรือไม่ 11/12/2019

 ตอบคำถาม ‎#ChanceTee

 

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ

 

#Question 1.

ถ้ามนุษย์ที่มีกรรมเหลือน้อยกว่า 30 %

เสียชีวิตก่อนอายุขัย

จิตวิญญาณจะกลับมาเกิด

เป็นมนุษย์อีกหรือไม่ค่ะ

 

Answer:

ไม่ว่าใครคนนั้น

จะมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณแบบใด

ถ้าเสียชีวิตก่อนอายุขัยอันควรแล้ว

แสดงว่าต้องกระทำโดยประมาทต่อตนเอง

อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน

 

เพราะอายุขัยอันควรของพวกท่านนั้น

แต่ละคนได้ถูกกำหนดมาล่วงหน้าแล้ว

ตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่

ในภพชาติใหม่นั้นเสมอไม่มียกเว้น

 

ใครนึกอยากจะตายเพราะเบื่อโลก

ใครนึกอยากจะตายเพราะเซ็งชีวิต

ใครคนนั้นก็จะตายตามอยากไม่ได้

 

นอกจาก...จะทำให้ตนเองตาย

โดยอัตวินิบาตกรรมเท่านั้นแหละ

จึงจะได้ตายสมใจอยากแน่นอน

 

คนประเภทตายก่อนกำหนดที่ว่านี้

จิตวิญญาณแก่นแท้จะต้องกลับมาเกิดใหม่

ตามพลังอำนาจแห่งกรรมที่ก่อไว้เอง

โดยจะมีผลกรรมทั้งหมด

ที่ตนกระทำไว้ในภพชาติปัจจุบันนี้

เป็นพลังขับเคลื่อนจิตวิญญาณว่า

 

จะกลับมาเกิดเป็นอะไร คนหรือสัตว์

จะกลับมาเกิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่

จะมีบททดสอบจิตสามนึกแบบใดบ้าง

 

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ

รายที่มีผลกรรมติดตัวอยู่ไม่เกิน 30% นั้น

ในชีวิตปกติจะถือแก้วสองดวงไว้อย่างมั่นคง

คือมหาสติและปณิธานแห่งการหลุดพ้น

เขาจึงหมุนธรรมจักรได้อย่างชำนาญ

เขาจะไม่มีวันกระทำผิดพลาดต่อตนเอง

จนตัดรอนอายุขัยให้ตายก่อนกำหนดแน่ๆ

 

ดังนั้น

ความจริงจึงมีอยู่ว่า

ถ้าใครมีผลกรรมไม่เกิน 30% ได้จริง

ในหมู่พวกเขาก็จะไม่มีใครตายก่อนสิ้นอายุขัย

 

คำถามนี้เราจึงไม่มีคำตอบใดให้ท่านว่า

ถ้าตายแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นคน

เพื่อเรียนรู้ที่จะคนตนเองให้เป็นมนุษย์อีกมั้ย

 

#Question 2.

ถ้ามนุษย์ที่มีกรรมเหลือน้อยกว่า 30 %

เสียชีวิตก่อนถึงวันชำระโลก 56 วัน 8 ราตรี

จิตวิญญาณจะต้องกลับมาเกิด

เป็นมนุษย์อีกหรือไม่ค่ะ

 

Answer:

ถ้าใครคนนั้นสามารถชำระกรรมของตนได้

จนเหลือไม่เกิน 30%

ของผลกรรมทั้งหมดที่เคยมีอยู่

แต่ต้องจบสิ้นอายุขัยที่แท้จริงของตนไป

ก่อนจะถึงวันชำระโลกคาบสุดท้าย

ในช่วงเวลา 56 วัน 8 ราตรี

เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

 

จิตวิญญาณของมนุษย์ท่านนั้น

จะสามารถ "หลุดพ้น"

ออกไปจากอนันตจักรวาลได้ก็ต่อเมื่อ

ก่อนตายได้เข้าร่วมพิธีทำ "โมฆะกรรม"

กับองค์จิตจักรวาลผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง

เพื่อชำระกรรมที่เหลืออยู่จนหมดสิ้นแล้วเท่านั้น

 

ไม่มีจิตวิญญาณใครจะหลุดพ้นออกไปได้

ถ้าน้ำหนักมวลทางจิตวิญญาณของคนๆนั้น

มีมากกว่าเมื่อตอนเข้ามาเกิดในภพชาติแรก

เพราะจะถูกแรงดึงดูดของโลกและเอกภพ

ดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้อย่างมั่นคง

หากมีกรรมติดตัวอยู่มากน้ำหนักตัวก็มาก

จนหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาลไม่ได้

 

เมื่อชำระกรรมที่เหลือจนหมดสิ้น

คือ มีผลกรรมทั้งหมดเป็นศูนย์แล้ว

จิตวิญญาณของท่านผู้นั้น

ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับองค์จิตจักรวาล

หรือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระผู้เป็นเจ้าได้

 

ดังนั้น

ในชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ก่อนสิ้นอายุขัย

ท่านผู้นั้นก็จะมีพลังอำนาจของพระเจ้า

เพราะสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้

จึงสามารถกำหนดทางเลือกเสรีของตนเองได้

ด้วยพลังอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า

 

ทางเลือกเสรีมี 3 ทาง คือ

 

1. ทางเลือกแรก

 

คือ เลือกที่จะร้องขอต่ออายุขัยจากพระบิดา

ให้มีชีวิตรอดข้ามผ่านไปสู่ยุคพลังงานใหม่

เพื่ออาสาช่วยเก็บกวาดเศษซากปรักหักพัง

ช่วยกำจัดศพมนุษย์ที่เน่าเหม็นออกไปจากโลก

เพื่อน้อมถวายคืนสวรรค์บนดินแก่พระบิดา

 

ถ้าใครต้องการทางเลือกนี้

ขณะปฏิบัติบำเพ็ญตามมรรควิถีจิตจักรวาล

ท่านต้องหล่อเลี้ยงดูแลเครื่องยนต์แห่งกรรม

ให้มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์เอาไว้ด้วย

เพราะกายหยาบเป็นเปลือกนอกของจิตวิญญาณ

ถ้าหากกายสังขารไปไม่รอดอยู่ไม่ไหว

ขนาดช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้

แล้วจะให้มีชีวิตอยู่เพื่อช่วยโลกได้อย่างไร

 

2. ทางเลือกที่สอง

 

คือ เลือกที่จะร้องขอต่อพระบิดา

เพื่อขอละวางกายสังขารมนุษย์ของท่าน

นำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นกลับบ้าน

โดยไม่ต้องรอการจบสิ้นอายุขัยตามวาระ

 

ถ้าหากท่านมีความประสงค์เช่นว่านี้จริง

ท่านก็จะร้องขอใช้สิทธิได้ทันทีเช่นกัน

เพราะท่านมีอำนาจของพระเจ้าอยู่ในตนเอง

ที่จะร้องขอทุกสิ่งเพื่อตนเองและโลกได้แล้ว

 

3. ทางเลือกที่สาม

 

คือ เลือกที่จะขอละวางกายสังขารไป

แล้วขอย้อนกลับมาเกิดใหม่บนโลกนี้อีกครั้ง

 

ด้วยคุณสมบัติกรรมที่มีค่าเป็น "ศูนย์"

อันหมายถึงการกลับมาเริ่มต้นภพชาติแรกใหม่

พร้อมกันกับจิตวิญญาณของผู้มาจากฟ้าสีคราม

เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ผลัดใหม่ในยุคพลังงานใหม่

ในการใช้ความรักและเมตตาค้ำจุนโลก

ด้วยการ "หมุนธรรมจักรในตนเอง" ร่วมกับผู้อื่น

เพื่อช่วยกันค้ำจุนความสมดุลของโลกตลอดไป

 

#Question 3.

ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในม้วนหนังสือ

เป็นจิตวิญญาณ 144,000 ดวงนั้น

มีความแตกต่างกันอย่างไร

กับผู้ที่ขันอาสามาเกิดบนดาวโลกคะ

 

Answer:

1. รายชื่อจิตวิญญาณทั้ง 144,000 รูปธรรม

ที่บันทึกไว้ในม้วนหนังสือของพระบิดา

ที่ทรงประทานแก่เราไว้นั้น

ต่างล้วนเป็นผู้ขันอาสาพระองค์ลงมาจุติ

ในระบบดาวเคราะห์โลกเสรีนี้

ตั้งแต่รุ่นแรกด้วยกันทั้งสิ้น

 

รายชื่อทั้งหมดในม้วนหนังสือนี้

จึงเป็นรายชื่อลูกแกะของพระองค์ทุกตัว

ที่ร้องขอออกจากคอกในแดนสุญตา

เพื่อมาใช้ชีวิตเสรีอยู่ในทุ่งหญ้าที่เรียกว่าโลก

เมื่อครบ 60,000 ปีโลกแล้วต้องกลับเข้าคอก

หมายถึงจะต้องหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา

 

เหตุที่พระองค์ทรงมอบรายชื่อไว้กับเรา

เพื่อให้เราจำแกะทุกตัวของพระองค์ได้

เพื่อให้เราคอยดูแลฝูงแกะของพระองค์ไว้

เพื่อให้เราคอยเฝ้าประตูเข้าออกคอกแกะ

เพื่อให้เราร้องเรียกแกะหลงทางกลับเข้าคอก

เมื่อหมดเวลากินหญ้าตามที่ทรงอนุญาตแล้ว

 

2. สำหรับคำถามที่ว่า

ถ้าจิตวิญญาณผู้ขันอาสาลงมาจุติ

มีจำนวนแค่ 144,000 รูปธรรมเท่านั้น

แต่ปัจจุบันนี้ทำไมจึงมีประชากรโลก

นับได้กว่าเจ็ดพันล้านคนเข้าไปแล้ว

จำนวนที่เป็นส่วนเกินจากหลักแสน

พวกเขามาจากไหนกันแน่

 

คำตอบคือ

ประชากรโลกที่เป็นส่วนเกินดังกล่าว

มีที่มาพอสังเขปดังนี้

 

พวกแรก...

มาจากจำนวน 144,000 รายนี่แหละ

เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

ปรากฏว่ายังไม่ทันจะครบจำนวนหกหมื่นปีเลย

จิตวิญญาณจำนวนมากก็ตกนรกหมกไหม้

จนดูทีท่าว่าจะป่ายปีนขึ้นมาบนโลกไม่ไหว

 

จิตวิญญาณมนุษย์หลายราย

ก็ติดอยู่ในสังสารวัฏ

จนดูทีท่าว่าจะไม่มีอนาคต

เพราะไม่อาจสอบผ่านบททดสอบของตนเอง

เนื่องจากคนตนเองให้เป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ

มิหนำซ้ำจิตวิญญาณยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ

จนดูท่าว่าจะไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้

 

ด้วยเหตุผลเป็นทำนองที่กล่าวนี้

จึงยังผลให้ "ตัวตนภาคแรก" ในแดนสุญตา

ของจิตวิญญาณผู้ตกต่ำทั้งหลายเหล่านี้

ต้องร้องขอพระอนุญาตจากพระบิดา

แบ่งภาคตนเองเป็น "จิตวิญญาณ" ดวงใหม่

ส่งเข้ามาจุติเป็นคนยังโลกเสรีนี้เพิ่มขึ้นอีก

 

ด้วยหวังว่าจะได้เข้ามา "ฉุดช่วย"

จิตวิญญาณของตนเอง

ที่เดินทางเข้ามาก่อนและกำลังล้มเหลวอยู่

ให้หลุดพ้นขึ้นมาจากนรกบ้าง

ให้เกิดสติทางวิญญาณขึ้นมาบ้าง

ให้เลิกหลงทางไปนิพพานกันก็มี

 

โดยพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ก็ได้ทรงพระอนุญาตให้

ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งในแดนสุญตา

ซึ่งเป็นจิตจักรวาลดวงเล็ก หรือ "พระบุตร"

หนึ่งรูปธรรมให้แบ่งภาคออกมา

เป็นรูปธรรมจิตวิญญาณ หรือ "พระจิต"

ได้ทั้งหมด 35 รูปธรรมไม่เกินไปจากนั้น

อันหมายถึงแบ่งภาคได้ 1 ต่อ 35 นั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เมื่อทรงพระอนุญาตแล้ว

ปฏิบัติการแบ่งภาคเพิ่มจำนวนรูปธรรม

เพื่อส่งลงมาจุติยังโลกในนามของผู้ฉุดช่วย

จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์

แต่ผลลัพธ์กลับปรากฏว่ายิ่งส่งลงมายิ่งแย่

เพราะทั้งผู้ที่เข้ามาเกิดก่อนกับผู้มาฉุดช่วย

ต่างล้วนพากันตกต่ำลงโดยพร้อมหน้ากัน

 

เพราะหลายรายยังทำตัวไม่เอาไหน

เพราะหลายรายยังทำตัวไม่เอาถ่าน

เพราะหลายรายยังจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร

มาจากไหน ใครให้มา มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม

มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง เป็นต้น

 

เพราะหลายรายยังเกาะติดกับอัตตามายาโลก

โดยเกาะเสียแน่นจน "แกะ" ไม่ออก

 

เพราะหลายรายยังหลับตาก้าวตาม

คนนำทางตาบอดกันอยู่อย่างงมงาย

เพราะดันไปหลงยึดติด "คนนำทางตาบอด"

เหมือนคลั่งพระเอกนางเอกหนังคนดัง

แบบหลงรักคนหนึ่งแล้วจะปฏิเสธดาราคนอื่น

 

แล้วพากันขึ้นเขาวงกต

ลดเลี้ยวขึ้นเขาพระสุเมรุ

ชวนให้ยึดติดในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

โดยไม่มีพัฒนาการทางปัญญา

รู้จักแต่การอธิษฐานกับการร้องขอต่อพระบิดา

โดยไม่รู้ว่าหน้าที่ของตนคืออะไร

 

เมื่อสถานการณ์บนโลก

เริ่มเกิดวิกฤตทางจิตวิญญาณตามที่กล่าวนี้

ยิ่งยอมให้แบ่งภาคลงมาฉุดช่วยกันเองมากขึ้น

ดูเหมือนโลกจะวิกฤตมากยิ่งขึ้นทุกทีๆ

จนพระบิดาต้องส่ง "พระบุตรเอก"

ผู้ขันอาสาลงมาช่วยฉุดช่วย "แกะ" เสียเอง

 

เมื่อมีพระเมตตาบัญชาให้ลงมาฉุดช่วย

พระบุตรเอกก็ถูกคนที่มีปัญหาพวกนี้

จับพระองค์ทำร้ายถึงชีวิตบนไม้ประหาร

ถูกคนเหล่านี้ที่มีเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

พากันต่อต้านพากันปฏิเสธอย่างก้าวร้าว

จนกระทั่งคาบสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่านี้

คนจิตบาปหยาบช้าที่ไม่มีอนาคตทั้งหลาย

ก็ยังเหลวไหลโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

 

พวกที่สอง...

นอกจากการแบ่งภาคของ "พระบุตร"

ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นในอัตรา 1 ต่อ 35

เพื่อต้องการฉุดช่วยจิตวิญญาณของตน

จนทำให้ประชากรมนุษย์บนโลกเพิ่มขึ้นแล้ว

 

ยังมีจิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์

ซึ่งไม่มีรายชื่อบันทึกไว้ในม้วนหนังสือ

ที่องค์จิตจักรวาลในฐานะแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ได้ทรงมอบไว้กับเราอยู่อีกจำนวนไม่น้อยด้วย

 

โดยจิตวิญญาณในพวกที่สองนี้

เป็นจิตวิญญาณของพวก "มอด"

ที่แฝงตัวอยู่กับโลกมานานนับหมื่นปีแล้ว

มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับมนุษย์โบราณ

ที่ยังด้อยสติปัญญาและต่ำชั้นด้านเท็คโนโลยี

 

มนุษย์ยุคโบราณมองว่ามอดเป็น "พระเจ้า"

เพราะฉลาดกว่าตนและเก่งด้านเท็คโนโลยี

มนุษย์ยุคโบราณจึงตกเป็นทาสของมอด

ถูกพวกมอดครอบงำในการดำเนินชีวิตทุกด้าน

ทั้งทางสังคม การปกครอง ทางจิตวิญญาณ

ทางวัฒนธรรมประเพณี เป็นต้น

 

มอดทั้งหลายเหนือกว่ามนุษย์โลกทุกด้าน

จะด้อยกว่าก็เพียงด้านเดียวคือรูปลักษณ์ไม่งาม

ทางเลือกเดียวที่พวกเขาพยายามทำ

เพื่อปฏิวัติรูปลักษณ์ของตนทางกายภาพได้

นั่นคือการกระทำผ่านยีนส์และโครโมโซมมนุษย์

ด้วยเท็คโนโลยีชั้นสูงเหนือมนุษย์โลก

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ในเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา

โลกก็มีมนุษย์ที่จิตวิญญาณมิได้อยู่ในรายชื่อ

ตามที่ระบุไว้ในม้วนหนังสือเพิ่มขึ้นมาอีกมาก

ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้สืบพันธุ์ถ่ายทอดทายาท

เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในทุกยุคสมัย

 

จนแทบจะแยกไม่ออกบอกไม่ได้เลยว่า

ใครเป็นทายาทของอาดัมกับเอวา

เผ่าพันธุ์มนุษย์แท้ๆจากกลุ่มพลียะเดี้ยนส์

ผู้มาจากกลุ่มดาวลูกไก่ (พลียะดิส)

 

ใครเป็นผู้มีสายเลือดของ "มอด"

ที่มาจากนอกระบบโลก

ซึ่งแฝงตัวอยู่กับโลกและใกล้ชิดมนุษย์

มานานนับหมื่นปีแล้ว

 

เราพอจะบอกความจริงแก่ท่านได้เท่านี้

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

11-12-2019