24 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 24/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

มีเพื่อนร่วมโลกของท่านรายหนึ่ง

ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น

 

เรื่อง "ถ้ายังนิพพานไม่ได้ จะเลือกไปทางใด

ระหว่างหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดา

ดำรงตนอยู่บนสวรรค์มายา

กับการหลุดหล่นลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก"

 

โดยเธอเข้ามาสำแดงความคิดเห็น

เป็นเชิงถามย้อนกลับว่า....

 

A&Q:

1. "หากได้ปฏิบัติมา /

ภาวนาเป็น ( กรรมฐาน = งานทางจิตทางใจ )

 

2. หากเกิดเป็นเทพ /เทวดา

ก็ไปต่อได้ ไม่มีร่างกายเป็นภาระ

 

3. หากได้เกิดเป็นคน

มีร่างกายเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ ก็ใช่

แต่เกิดมาแล้วไม่ได้พบพุทธศาสนา ล่ะ"

 

Answer:

เราขอตอบคำถามของเธอท่านนี้

แม้เธอจะไม่ถามพระบิดาหรือไม่ถามเรา

โดยมิได้ระบุชัดๆว่าถาม หรือเน้นว่าถามใคร

เพื่อทำหน้าที่ของเราที่อาสามาว่าดั่งนี้

 

#Answer 1.

ใครบอกท่านว่า

การปฏิบัติกรรมฐานเพื่อการฝึกจิตนั้น

มันจะนำพาจิตวิญญาณของท่าน

หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

ซึ่งเป็นการนิพพานแท้จริงได้ในบั้นปลาย

 

ถ้าใครบอกท่านเช่นนั้นจริง

แสดงว่าคนที่บอกท่าน

เป็นพวกเดียวกันกับคนนำทางตาบอด

ที่บอกให้คนเชื่อตามจนหลงทางนิพพาน

ผ่านมานานนับพันปีที่ผ่านมาจนบัดนี้แล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

การนั่งหลับตาอบรมจิตตนเองอย่างเดียว

ฝึกปฏิบัติจิตอยู่คนเดียวโดยมุ่งให้จิตสงบระงับ

ขณะหลับหูหลับตาปิดช่องทางรับรู้ของจิตไว้

ไม่ให้มีเงื่อนไขใดๆเล็ดลอดเข้าไปกระทบจิตได้

โดยฝึกจิตให้สงบระงับขณะว่างจาก "ผัสสะ"

ของอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น

 

เป็นการฝึกจิตในสถานการณ์จำลอง

เหมือนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่รายล้อมตัวท่าน

ซึ่งมันเป็นสถานการณ์เทียมเท็จ

การกระทำของท่านจึงอุตริผิดธรรมชาติ

การกระทำของท่านจึงมิใช่การปฏิบัติธรรม

ผลลัพธ์ของการปฏิบัติจึงชำระจิตให้ปภัสสรมิได้

 

เพราะกรรมฐานช่วยให้จิตถึงสงบได้

เหตุเพราะไม่มีสิ่งใดจากภายนอก

ยั่วยุเย้ายวนผ่านอายตนะภายนอกเข้าไปได้

 

ถ้าท่านแน่จริงก็อย่าเก่งแต่อยู่คนเดียวสิ

ลองทำตัวเป็นสัตว์มีสังคมดูบ้างเป็นไร

เพื่อพิสูจน์ว่าความแตกต่างอย่างหลากหลาย

ทั้งความคิดความต้องการทั้งนิสัยสันดาน

ระหว่างท่านกับคนรอบๆข้างของท่าน

ในขณะที่อายตนะทุกช่องทาง "เปิดอยู่" นั้น

กรรมฐานที่ท่านหมั่นฝึกต่อยอดมานานนั้น

มันช่วยท่านให้มีสภาวะจิตสงบระงับ

ไม่สั่นไหวไปตามการยั่วยุปลุกเร้าจากรอบข้าง

จนถึงกับจิตตกสติแตกได้จริงหรือเปล่า

 

ถ้าท่านทำตามที่เราบอก

แล้วพบว่าจิตท่านมั่นคง

ไม่สั่นไหวสติแตกไปตามการยั่วยุได้จริงๆ

ท่านก็จงเจริญกรรมฐานต่อไปอย่าชักช้า

แต่ถ้าท่านพบว่าเมื่อออกจากกรรมฐาน

กลับเข้ามาอยู่ในสังคมมนุษย์ตามปกติแล้ว

 

ยังมีสุขมีทุกข์อยู่ ยังมีชอบไม่ชอบอยู่

ยังมีกิเลสตัณหา โลภโกรธหลงคาใจอยู่

ยังมีห่วงหา ยังมีอาลัยอาวรณ์อยู่

ยังมีวิตกจริตเป็นกังวลอยู่

แสดงว่าจิตของท่านยังสอบไม่ผ่านการยั่วยุ

จากเงื่อนไขภายนอกพันเปอร์เซ็นต์

เพราะในชีวิตจริงอันเป็นธรรมะแท้นั้น

ท่านมิอาจไปควบคุมพฤติกรรมของใครๆ

มิให้เขากระทำในสิ่งที่ท่านไม่พอใจได้หรอก

 

ท่านอาจเก่งแต่การควบคุมเงื่อนไขภายในจิต

โดยการฝึกจิตควบคุมจิตตนเองเอาไว้ได้

ผ่านการฝึกปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ*

ในสถานการณ์เทียมเท็จที่ถูกสร้างขึ้น

เพื่อมิให้จิตสร้างเงื่อนไขให้ตนจิตตกสติแตก

จนท่านเชื่อว่า "กรรมฐาน" นั้น

มันช่วยให้จิตวิญญาณของท่านถึงนิพพานได้

โดยที่ท่านไม่เคยพิสูจน์บ้างว่า

ถ้าคนอื่นๆรอบข้างตัวท่านสร้างปัญหาให้

จิตของท่านมันยังจะฟุ้งซ่านหวั่นไหว

จนอยากหนีเข้าป่าไปอยู่คนเดียวอีกมั้ย

 

ที่สำคัญคือ

ท่านเชื่อได้อย่างไรว่า

การหลุดลอยไปเป็นเทพเทวดาบนสวรรค์มายา

กรรมฐานสมาธิที่ฝึกไว้และถือติดตัวไปบนนั้น

เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยประหารกิเลส

อันเกิดจากสันดานจิตของตนเป็นเหตุนั้น

มันช่วยให้พวกเขา "สิ้นทุกข์" ได้แล้วจริงๆ

ขณะที่ต้องลอยนิ่งๆอยู่บนนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์

 

#Answer 2.

การฝึกกรรมฐานด้วยการนั่งหลับตานั้น

ใครจะเป็นผู้ทดสอบสภาวะจิตให้ท่านได้ว่า

ท่านเป็นคนที่จิตเป็นอุเบกขาได้แล้ว

ท่านเป็นคนที่จิตเข้าถึงสภาวะสุญตาได้แล้ว

 

เป็นนักเรียนออกข้อสอบเอง

ทำข้อสอบเอง

แล้วตรวจข้อสอบเองได้หรือ?

 

ท่านจะฝึกจิตสอบจิตของท่านได้อย่างไร

เมื่อจิตถูกปิดอายตนะภายนอกเอาไว้ทั้งหมด

เหมือนคนตาบอดหูหนวกไม่รู้เห็นไม่ได้ยินอะไร

 

ซึ่งแท้จริงแล้วการจะทดสอบจิตว่าเจ๋งรึไม่

ท่านต้องตรวจสอบตอนที่ท่านใช้ชีวิตตามปกติ

ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมกับคนส่วนใหญ่

ให้สมกับการเกิดมาเป็น "สัตว์สังคม"

ด้วยการพิสูจน์ตนเองให้ได้ว่า

 

1. ท่านรักคนไม่น่ารักได้รึเปล่า

2. ท่านให้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยได้รึเปล่า

3. ท่านใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสันติสุข

โดยไม่ต้องหนีไปปลีกวิเวกอีกรึเปล่า

 

ที่ท่านเชื่อว่าหากเกิดเป็นเทพเทวดาแล้ว

ท่านก็สามารถไปต่อให้ถึงนิพพานได้นั้น

 

เราขอถามว่า...

ท่านศึกษามาลึกซึ้งดีพอแล้วเช่นนั้นหรือว่า

เส้นทางนิพพานไปทางสวรรค์มายาได้จริงๆ

 

ถ้าหากสามารถไปทางนั้นได้จริง

ทำไมพระพุทธเจ้าสมณโคดม

ท่านจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อดับขันธปรินิพพานตอนที่ท่านเป็นมนุษย์?

 

เราขอถามท่านว่า...

มีเทพพรหมองค์ไหนกันหนอ

ในพันในหมื่นขวบปีที่ผ่านมา

ที่สามารถหลุดพ้นนิพพานได้แล้วจริงๆ

โดยไม่ลอยค้างคว้างอยู่ในสวรรค์ 31 ชั้น

ภายใน #อนันตจักรวาล อันไพศาลนี้บ้าง

ช่วยบอกเพื่อนๆเอาบุญหน่อยได้มั้ย?

 

มีคนนำทางตาบอดคนไหน สำนักไหน

ที่บอกท่านและสอนท่านให้เชื่อว่า

ไปเกิดเป็นเทพเทวดาแล้วถึงนิพพานได้แน่ๆ

และเหตุผลที่ท่านเชื่อพวกเขาด้วยว่าคืออะไร

 

#Answer 3.

ท่านเชื่อได้อย่างไรว่า

ถ้าได้หลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแล้ว

สามารถก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

ได้ดีกว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะไม่มีกายหยาบไม่มีร่างกายเป็นอุปสรรค

 

ท่านมีเหตุผลอะไรจึงเห็นว่ากายหยาบ

เป็นปัญหาใหญ่ในการเข้าถึงนิพพานของท่าน

 

ท่านคงลืมเรื่อง

#จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ไปแล้ว

เพราะท่านมัวแต่นั่งนอนเดินกรรมฐาน

โดยใส่ใจแต่อาการทางจิตอย่างเดียวนานไป

จนลืมใส่ใจกายสังขารของท่านเอง

จนลืมสิ่งแวดล้อมรอบข้างไปเสียสนิทใจ

 

ท่านจึงมองว่า "กาย" เป็นอุปสรรคของท่าน

ถ้าตายตามๆกันไปเกิดเป็นเทพเทวดาได้

โดยไม่มีร่างกายเป็นอุปสรรคอีก

คงเหลือแต่มายาที่เป็นรูปลักษณ์สวมชฎา

มันคงจะทำให้ท่านง่ายขึ้น

ในการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อนิพพานของท่าน

 

โดยที่ท่านเองยังไม่รู้เลยว่า

สภาวะนิพพานของจิตวิญญาณคืออย่างไร

 

โดยที่ท่านยังไม่รู้เลยว่าจะนิพพานไม่ได้

ถ้าจิตไม่มีกลไกอายตนะของกายหยาบ

ร่วมหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน

 

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

คนนำทางตาบอดที่สอนท่านมาผิดๆ

หรือการที่ท่านคิดเองเออเองแบบนี้

ก็เพราะพวกท่านนี่แหละที่คิดเอาเองว่า

ตนไม่น่ามาเกิดเป็นมนุษย์เลย

เพราะเห็นว่าเกิดเป็นมนุษย์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เกิดแก่เจ็็บตายก็เป็นเหตุแห่งทุกข์

คนรอบข้างสิ่งแวดล้อมก็นำมาซึ่งความทุกข์

เพราะวันๆเต็มไปด้วยปัญหาให้ต้องเผชิญ

จึงคิดว่าหนีเข้าป่าปลีกวิเวกดีกว่า

ไม่มาเกิดเป็นคนบนโลกนี้อีกดีกว่า

 

เพราะตนเองตาต่ำจิตต่ำจึงมองว่า

ทุกปัญหานำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น

แทนที่จะใช้ตาสูงจิตสูงคือดวงตาแห่งปัญญา

มองว่าทุกปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่ง "ปัญญา"

ตามพฤติวิสัยแห่งการเป็น #พุทธะ แท้จริง

จะได้ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณอย่างสมเกียรติ

ตามที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์

 

พวกท่านจึงพากันละทิ้งหน้าที่

ตะเกียกตะกายจะหนีทุกข์ด้วยการหนีปัญหา

โดยปฏิเสธที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ทั้งๆที่จิตวิญญาณของท่านเองนั้น

ขันอาสามาเกิดเป็น "คนสองมิติ" คือ มนุษย์

มิใช่มาเกิดเพื่อจะทำตัวเป็นเทพเทวดา

ซึ่งมีเพียงมิติเดียวแต่อย่างใด

 

พวกท่านจึงเพียรพยายามดับการมีสังสารวัฏ

ด้วยสาระพัดวิธีที่จะทำกัน

เช่น ขายบุญ ล้างบาป ปลีกวิเวก สะเดาะเคราะห์

ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน

สวดมนต์ ถือศีล อธิษฐานขอ ภาวนา เป็นต้น

 

แต่ปรากฏว่าตายแล้วก็ "ดับ" ได้ไม่จริง

เพราะยังหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแทน

ยังไปทุกข์อยู่บนนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ

จึงต้องหลอกตนเองให้เชื่อว่า "นิพพาน" แล้ว

ทั้งๆที่มันเป็นแค่นิพพานเทียมเท็จเท่านั้น

 

#Answer 4.

ทำไมท่านจึงหวั่นกลัวว่า

ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ในภพชาติหน้าอีก

ท่านจะไม่สามารถต่อยอดจนถึงนิพพานได้

เพราะอาจไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว

 

ท่านไม่รู้ใช่มั้ยว่าโลกมนุษย์นี้

เขามีพระศาสดาตั้ง 24 พระองค์มาแล้วล่ะ

ทุกพระศาสดาล้วนนำพาจิตวิญญาณมนุษย์

ให้เข้าถึง "นิพพานแท้" คือ หลุดพ้นได้ทั้งสิ้น

ถ้าทำไม่ได้เขาไม่เรียกว่าพระศาสดาหรอก

เขาจะเรียกว่า #เจ้าลัทธิ เท่านั้นเอง

 

ท่านจงอย่าวิตกกังวลเลยว่า

โลกมนุษย์จะไม่มีพระศาสดาอยู่คู่โลก

หรือโลกจะว่างจากศาสดาเหมือนปลายยุคนี้

 

เพราะไม่มีใครกล้าขันอาสาลงมาทำหน้าที่

เป็นศาสดาขณะพระบิดาจะพิพากษาโลก

ด้วยอภิมหาภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในอีกไม่ช้านานนี้แล้ว

 

เพราะไม่มีใคร

กล้าอาสาลงมาเป็นศาสดาในยุคนี้

ในยุคที่จิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ

จนยากแก่การแก้ไขเยียวยากว่ายุคใดๆในอดีต

 

แต่เรา...กลับมาตามสัญญา

ดั่งนกฟีนิกซ์ในตำนานที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

เพื่อที่จะใช้หยาดเหงื่อและน้ำตา

ช่วยชุบชีวิตให้จิตวิญญาณของเจ้าสาวผู้ใฝ่ดี

ซึ่งน่าจะพอหลงเหลืออยู่บ้างบนโลกเสรีนี้

เพราะเป็น "พุทธะแท้" ที่มีปัญญาเป็นอาวุธ

มิใช่คนปลอมของปลอมเพราะเป็นทาสมาร

เนื่องจากหลับหูหลับตาเดินตามมาร

แทนที่จะก้าวเดินตามพระศาสดา

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

24-12-2019