31 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 31/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ในการขันอาสามาเกิดเป็น "คน"

บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั้น

จิตวิญญาณผู้ขันอาสาทุกรูปธรรม

มิได้เขียนบทละครกำกับเอาไว้หรอกว่า

 

เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดในระบบโลกแล้ว

จักต้องเลือกศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นหลัก

แล้วให้ปฏิเสธศาสนาอื่นทั้งหมด

จักต้องเลือกศาสดาแค่เพียงพระองค์เดียว

แล้วให้ปฏิเสธศาสดาพระองค์อื่นทั้งหมดนั้น

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ผู้อนุญาตให้พวกท่านมาเกิดบนโลกเสรีนี้

มิได้ทรงกำหนดไว้เช่นนั้นเลย

#คนนำทางตาบอด นำคิดผิดเพี้ยนเองทั้งสิ้น

 

พวกท่านจะเลือกรับศาสดาองค์เดียวไม่ได้

ต้องยอมรับให้ครบทุกพระองค์

พระศาสดาแต่ละพระองค์มิได้เสด็จลงมา

จุติพร้อมกันในยุคเดียวกัน

แต่ละพระองค์ล้วนเป็นเอกในยุคนั้นอยู่แล้ว

คนในแต่ละยุคจึงไม่จำเป็นต้องเลือกศาสดา

เพราะหนึ่งยุคมีศาสดาหนึ่งพระองค์นั่นเอง

สำหรับโลกจากอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน

มีพระศาสดาผ่านมาแล้วรวม 24 พระองค์

อันหมายถึงผ่านมาแล้ว 24 ยุค

 

ที่ผ่านมาประดาคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

กลับพยายามชี้นำให้คนที่ก้าวตามพวกตน

แบ่งแยกพระศาสดาออกจากการเป็นหนึ่งเดียว

ด้วยการเลือกให้ยกย่องอยู่พระองค์เดียว

แล้วปฏิเสธหรือต่อต้านศาสดาพระองค์อื่นๆ

 

ซึ่งการทำเช่นนี้แทนที่จะเทอดพระเกียรติ

กลับเป็นการทำลายเกียรติพระศาสดา

ด้วยการนำพระองค์ลงมาเสมือนเป็นเจ้าลัทธิ

 

ไม่ต่างจากประเทศหนึ่ง

ที่มีกษัตริย์ขึ้นครองราชหลายพระองค์มาแล้ว

ใครจะรณรงค์ให้รักกษัตริย์แค่องค์ใดองค์หนึ่ง

แล้วปฏิเสธกษัตริย์พระองค์อื่นๆนั้นไม่ได้

เพราะทุกพระองค์สำคัญต่อชาติบ้านเมือง

และประชาชนเท่าเทียมกันทั้งสิ้นฉันใดก็ฉันนั้น

 

เพราะเหตุที่คนนำทางตาบอด

พาพี่ๆน้องๆเดินหลงทางกันในเรื่องนี้นี่แหละ

สงครามศาสนาบ้าคลั่งลัทธิ์จึงเกิดขึ้น

ใครไม่เข้ารีตกับพวกตนก็ถือว่ามิใช่พวกตน

 

รวมทั้งความงมงายที่ว่า

ศาสดาของข้าใครอย่าแตะ

ศาสดาของข้าเหนือกว่าศาสดาของแก

ศาสนาของข้าดีกว่าศาสนาของแก

ศาสนาของแกนั้นแย่กว่า

ฯลฯ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า

 

พระศาสดาทุกพระองค์นั้นล้วนสำคัญต่อโลก

ไม่มีพระองค์ใดเป็นสัพพัญญููเหนือใครหรอก

ถ้าไม่เป็นสัพพัญญูหรือรอบรู้ทั้งจักรวาล

พระองค์นั้นก็เป็น "พระศาสดา" ไม่ได้

ไม่ว่าพระศาสดาที่เกิดจากโลก

หรือพระบุตรเอกที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า

ล้วนทรงพระปรีชาญาณด้วยกันทั้งนั้น

โดยที่แต่ละพระองค์จะประกาศสัจธรรม

ที่สำคัญสำหรับยุคสมัยนั้นๆเป็นหลักใหญ่

แต่ละพระองค์ไม่จำเป็นต้องกล่าว

สัจธรรมทั้งหมดที่ทรงรอบรู้อยู่ก็ได้

 

ยกเว้นพระศาสดาที่เป็น #พระบุตรเอก

จะกล่าวเน้นเฉพาะ #อนุตรธรรม เป็นพิเศษ

เพราะเป็นสัจธรรมที่ศาสดาผู้เกิดจากโลก

ทุกพระองค์ไม่สามารถหยั่งรู้ด้วยตนเองได้

แต่ที่บุตรเอกกล่าวได้เพราะรับสื่อจากพระบิดา

ด้วยวิธีสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิต

ซึ่งเป็นช่องทางพิเศษในแนวดิ่ง

ที่จิตวิญญาณของพระองค์ถือติดตัวมาจุติด้วย

 

ดังนั้น

สัจธรรมที่แต่ละพระศาสดาประกาศสอน

จึงละเอียดลึกซึ้งในองค์ธรรมที่แตกต่างกันไป

โดยพระองค์จะทรงนำมากล่าวสอนไม่ซ้ำเรื่อง

ถ้าใครยึดติดรับไว้เพียงศาสดาพระองค์เดียว

ผู้นั้นก็จะได้รับธรรมะที่ขาดพร่องไม่สมบูรณ์

 

นี่จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งที่บวชนานแต่นิพพานมิได้

เพราะหลงเชื่อตามคนนำทางตาบอด

ที่พร่ำสอนให้ยึดติดศาสดาพระองค์เดียว

พร่ำสอนให้ติดยึดพระคัมภีร์เล่มเดียว

แล้วแบ่งแยกพระศาสดาและศาสนาที่เป็นสากล

ออกไปจากการเป็นหนึ่งเดียวกันตราบจนบัดนี้

 

พฤติกรรมเยี่ยงนี้

เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อการเป็นสัตว์ "สังคม"

ซึ่งคำว่า "สังคม" หมายถึงต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

จะแบ่งแยกแตกกอเพื่อเติบโตร่วมกันได้

แต่จะแบ่งแยกแตกร้าวออกจากกันไม่ได้

ความขัดแย้งแตกร้าวจึงเป็นความผิดบาป

ที่คนนำทางตาบอดชักพาผู้ก้าวตามให้ทำผิด

จนหลงทางนิพพานกันมาตั้งแต่กาลอดีต

 

นอกจากนั้น

ยังมีพฤติกรรม "ก้าวล่วง" อีกอย่างหนึ่ง

ที่คนก้าวตามคนนำทางตาบอดบางคน

ผู้ยึดติดในพระศาสดาเอกของตนแค่คนเดียว

คือการชอบใช้วาจาก้าวร้าวก้าวล่วงบุคคลอื่น

ที่เขายอมรับศาสดาอื่นและนับถือศาสนาอื่นๆ

ซึ่งแตกต่างไปจากที่ตนยอมรับนับถือ

หรือใช้วาจาก้าวร้าวก้าวล่วงคำสอนศาสนาอื่น

ที่แตกต่างไปจากที่ตนยึดติดอยู่

 

ตัวอย่างเช่น

การเชื่อฝังหัวตามคนนำทางตาบอดว่า

"อย่าคบคนพาล" เพราะมันจะทำให้ตนชั่วไปด้วย

พอพบเจอคำสอนของ "#จิตจักรวาล"

ที่สอนให้คบได้ทุกคนทั้งคนดีและคนพาล

ก็จะพากันก้าวล่วงจ้วงจาบทันที

 

แม้กระทั่งคำสอนที่ว่า

ถ้าคนพาลตบแก้มซ้ายของท่านจงอย่าตอบโต้

แต่ให้ยื่นแก้มขวาที่เหลืออีกข้างให้เขาตบด้วย

 

พวกที่ก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่เมื่อได้ฟัง

ก็จะพากันหัวเราะเยาะว่าเป็นคำสอนโง่ๆ

เพราะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ถูกตบแก้มซ้ายแล้ว

ทำวางเฉยโดยไม่คิดจะต่อสู้หรือตอบโต้

แถมยังยื่นแก้มขวาไปให้เขาตบอีกข้างหนึ่ง

 

แท้จริงแล้วคนที่กำลังหัวเราะเยาะหยันเขาอยู่นั้น

เป็นคนโง่เสียเองต่างหากใช่ใครอื่น

ที่ว่าโง่เพราะมีสติปัญญาอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้

เพียงได้ยินได้ฟังคำสอนนั้นผ่านช่องหู

ก็นึกสรุปเอาเองว่าเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง

จนกล่าวร้ายเยาะหยันก้าวล่วงสาระพัด

ซึ่งเป็นการก้าวล่วงพระศาสดาผู้ที่ทรงตรัสไว้

อย่างไร้จิตสามนึกและไร้สติ

โดยไม่รู้ตัวว่าการก้าวล่วงพระศาสดานั้น

มันจะก่อผลกรรมอะไรอย่างไร

ให้จิตวิญญาณของตนต้องผจญเผชิญบ้าง

 

ทั้งๆที่คำสอนดังกล่าว

ผู้เรียนต้องใช้สมองซีกขวาคิดสังเคราะห์ธรรม

จึงจะสามารถตีความหมายคำสอนดังกล่าวได้

แต่คนก้าวตามคนนำทางตาบอด

ยังใช้สมองซีกซ้ายเรียนรู้สัจธรรมชั้นสูงกันอยู่

จึงมิอาจเข้าถึงสัจธรรมที่สูงส่งลึกล้ำกว่าได้

 

คนตาบอดเพราะปัญญาต่ำต้อย

จึงมองว่า "โง่" ที่เขาตบแก้มซ้ายแล้ว

ยังจะสอนให้ยื่นแก้มขวาให้เขา "ตบ" อีก

ซึ่งเป็นการมองเห็นสัจธรรมด้วยอายตนะ

แต่ไม่สามารถมองเห็นสัจธรรมด้วยปัญญาได้

เพราะความหลงตนเอง หลงในศาสดา

หลงในคนนำทางตาบอดที่ตนก้าวตามอยู่

จึงใช้ความ "โง่" อันเกิดจากความไม่รู้และหลง

ตัดสินคนที่เขาฉลาดใช้ปัญญาเหนือกว่าตน

จนกลายเป็นความโง่ซ้ำสองโดยไม่รู้ตัว

 

ซึ่งองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ได้ทรงย้ำเตือนท่านทั้งหลายเสมอมาว่า

#จงอย่าพิพากษาผู้อื่นเด็ดขาด

เพราะมันอาจเป็นการก้าวล่วงผู้อื่น

จนยังผลให้จิตวิญญาณของท่านเองตกนรก

จากการที่ท่าน "เผือก" โดยไปก้าวร้าวกล่าวหา

ไปวิพากษ์วิจารณ์พระศาสดาต่างๆนานา

ทั้งๆที่สติปัญญาของท่านยังต่ำต้อย

พระองค์จึงสอนว่าถ้าไม่เชื่อก็จงอยู่เฉยๆ

อย่าไปกินเผือกชิ้นนั้นเลยเพราะเผือกมันร้อน

มันร้อนเหมือนตกนรกนั่นแหละ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความหมายของนัยแห่งคำสอนที่ว่า

 

ถ้าเขาตบแก้มซ้ายท่าน

หมายถึงใครก็ตามที่เขาล่วงเกินท่าน

ไม่ว่าด้วยกาย วาจา และจิตใจ

ขอให้ท่านจงอย่าถือสาค้าความเลย

ขอให้ท่านจงอย่าต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านเขา

เพราะท่านจะชั่วตามเขาไปด้วย

 

ท่านจะไม่สามารถใช้เงื่อนไขลบที่เขายื่นมาให้

ผลิตสร้างพลังบวกให้แก่โลก

ตามบทละครที่ท่านเขียนมาเองเล่นเองได้เลย

ท่านจึงต้องให้อภัยแก่คนไม่น่าให้อภัยให้ได้

 

ดังนั้น

การให้อภัยแก่บุคคลที่ไม่สมควรให้อภัย

จึงเป็นบทบาทของผู้ที่มีจิตใจสูงเท่านั้นที่ยอมได้

ซึ่งการอภัยให้คนไม่ดีดังกล่าวนี้

จึงไม่ต่างจากโดนเขาตบแก้มซ้ายแล้ว

ยังยอมให้เขาตบแก้มขวาด้วย

หมายความว่าในวันข้างหน้าถ้ายังคบต่อ

เขาคนนี้อาจทำร้ายท่านได้อีก

โดยการทำร้ายอีกในวันหน้าถ้าท่านคบเขาต่อ

ก็คือการยื่นแก้มอีกข้างให้เขาตบด้วยนั่นเอง

 

ท่านทั้งหลายเห็นรึยังว่า

การเที่ยวก้าวล่วงจ้วงจาบคำสอนศาสดาอื่น

ทั้งที่ปัญญาตนเองยังต่ำต้อย

จนขนาดที่ถูกหลอกให้หลับหูหลับตา

ก้าวตามคนนำทางตาบอดมาแล้วหลายศตวรรษ

แต่ก็ยังไม่เคยบรรลุมรรควิถีอันเป็นที่สุดได้

เพราะยังไม่เคยได้สติทางวิญญาณเลยนั่นเอง

 

ที่ไม่เคยได้สติทั้งๆที่ฝึกสติสมาธิเสียจนเชี่ยว

เพราะว่าจิตยังยึดติดในอัตตามายามากกว่าสาระ

เพราะว่าใจยังไม่กว้างพอต่อการรับรู้เรียนรู้

เพราะว่าอายนตนะภายนอกถูกปิดอยู่หลับอยู่

 

ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติของคน

ที่เราต้องกลับมาช่วย #แกะ ให้หลุดออก

ความเพียรของเราจะสำเร็จผลได้ก็ต่อเมื่อ

แกะทุกตัวของเราต้องมีคุณสมบัติดังนี้

 

1. ต้องไม่ดื้อรั้นดันทุรัง

2. ต้องรับฟังพระโอวาทพระบิดา

3. ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดในบทเรียนวันนี้

เรากล่าวไปตามความจริงทุกประการ

เรากล่าวในพระนามขององค์จิตจักรวาล

เรากล่าวต่อท่านด้วยความรักเพื่อให้

เราจะกล่าวต่อไปจนกว่าท่านทั้งหลาย

จะไม่ได้ยินเรา...

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

31-10-2019