28 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ความจริงสูงสุดในระดับ #อนุตรธรรม

คือ สัจธรรมที่พระศาสดาไม่เคยสอน

 

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งเป็น

"ความจริงที่ศาสดาไม่เคยสอน"

เช่น จิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคน

ต่างต้องการให้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของตน

สั่นสะเทือนทางด้านบวกต่อทุกสถานการณ์

ในระดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถเข้าถึงได้ นั่นคือ

❤ ❤ ❤

ต้อง "รักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น

.........และไม่เห็นแก่ตัว"

❤ ❤ ❤

ไม่ว่าสถานการณ์นั้นๆจะเดินทาง

เข้าสู่ "จิตหยาบ" ของท่าน

 

เพื่อการรับรู้ผ่านกลไกอายตนะภายนอก

ในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เช่น

จะผ่านเข้ามาทาง "ตา"

จะผ่านเข้ามาทาง "หู"

จะผ่านเข้ามาทาง "จมูก"

จะผ่านเข้ามาทาง "ปากหรือลิ้น"

จะผ่านเข้ามาทาง "ร่างกาย"

แม้กระทั่งสถานการณ์นั้นๆ

 

มันเกิดขึ้นที่ภายใน "จิต" ของท่านเอง

ไม่ว่า "สถานการณ์" ที่จิตท่านรับรู้นั้น

จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกที่ท่านชอบใจ

หรือเป็นเงื่อนไขด้านลบที่ท่านไม่ชอบใจ

จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน

ต้องตอบสนองสถานเดียวเท่านั้นคือ

 

ท่านต้องรัก เมตตา สงสาร

ท่านต้องให้อภัย ต้องไม่ถือสา

ท่านต้องไม่เอาเรื่อง ไม่เอาความ เป็นต้น

 

โดยจะต่อสู้ ตอบโต้

หรือจะกระทำการต่อต้านไม่ได้เด็ดขาด

เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน

ขันอาสาพระผู้เป็นเจ้า คือ องค์จิตจักรวาล

 

เดินทางข้ามมิติจากแดนสุญตา

เข้ามาจุติเป็นมนุษย์โลกในอนันตจักรวาลนี้

เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

ผลิตสร้างพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวก

ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า #ความรัก ให้แก่โลก

โดยอย่างน้อยต้องช่วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป

ในพื้นที่ทุกๆ 33.33 ตารางกิโลเมตรบนโลก

ซึ่งจิตวิญญาณของทุกคนที่เป็นประชากรโลก

จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน "ผลิตสร้าง"

ด้วยพลังอำนาจแห่งรักเพื่อให้ในทุกรูปแบบ

เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย

หรือ เมตตา กรุณา และมุทิตา เป็นต้น

 

ซึ่งพฤติกรรมทางจิตเหล่านี้

จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดพฤติกรรมภายนอก

ที่ท่านทั้งหลายจะแสดงออกต่อผู้อื่นต่อไป

พฤติกรรมภายนอกที่เกิดขึ้นจากรักเพื่อให้

ที่ท่านทั้งหลายแสดงต่อกันได้ เช่น ให้เวลา

ให้โอกาส ให้ทรัพย์สิ่งของหรือให้ทาน

ให้ความรู้ ให้ปัญญาหรือความฉลาด

ให้ความเอื้อเฟื้อ ให้ความอนุเคราะห์

ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล

ให้การยืดหยุ่น ให้การแบ่งปัน และเสียสละ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เพียงแค่ท่านเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการ

ผลิตสร้างพลังงานความรักมอบให้โลก

โดยเริ่มจากจิตมนุษย์ข้างในตัวท่าน

หลังจากได้รับรู้สถานการณ์หรือเงื่อนไข

 

จากสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย

ผ่านอายตนะเข้าไปถึงจิตที่อยู่ข้างใน

แล้วจิตท่านก็ขับเคลื่อนการสั่นสะเทือนออกมา

เป็นพฤติกรรมแห่งรักที่เป็นพฤติกรรมภายนอก

ด้วยพฤติกรรมภายนอกที่เป็นด้านบวก

ตามที่เรายกตัวอย่างเอาไว้ข้างต้นนั้น

มันก็จะกลายเป็น "สถานการณ์"

ที่จะเป็น "เงื่อนไข" ให้คนรอบข้างตัวท่าน

เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตด้านบวกตามไปด้วย

จนถึงขั้นสูงสุดของกระบวนการนี้ก็คือ

คนรอบข้างตัวท่านก็จะหันมาก่อกรรมทำดี

 

ตอบสนองการทำดีของตัวท่าน

ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นสร้างกระบวนการผลิต

พลังงานจิตทางด้านบวกมอบให้โลกนั่นแหละ

 

เพียงเริ่มต้นจากคนสองคน

มันก็จะสร้างเครือข่ายแบบ MLM

เพิ่มเป็นจำนวนคนนับเท่าทวีมิรู้สิ้นสุด

โลกนี้จึงมีพลังงานมากพอและต่อเนื่อง

จนยังผลให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้

อย่างต่อเนื่องยาวนานตราบกระทั่งบัดนี้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

กระบวนการผลิตพลังงานความรักเพื่อให้

ที่เรากล่าวมาให้รู้ตั้งแต่ต้นนั้น

มันเป็น "กฎเกณฑ์" หรือ "หลักการ"

ร่วมกันหมุนธรรมจักรในตนเองเชิงสังคม

เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก

มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกของพวกท่าน

นำไปใช้ในการ "บิดแกนแม่เหล็กโลก"

ที่พระผู้สร้างทรงติดตั้งเอาไว้ในแกนโลก

พร้อมกำหนดให้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

ปฏิบัติตามกระบวนการที่เราเปิดเผยมานี้

เอาไว้ล่วงหน้ามาตั้งแต่แรก

 

โดยพระบิดา เรา และพระศาสดา

เรียกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับกระบวนการนี้ว่า

 

#ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร

 

ความจริงระดับอนุตรธรรมเหล่านี้

เราเคยกล่าวไว้นานมาแล้ว 3 ประการคือ

 

1. ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตในระบบโลกจะเป็นใคร

จะทำตนวางเฉยหรือเพิกเฉยโดยทำเป็น

ไม่รู้ ไม่สน ไม่ฟัง ไม่จำ ไม่ทำ ไม่ได้เด็ดขาด

เพราะมันจะเสียชาติเกิด

มันจะเสียทีที่ได้มาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้

 

2. เราประกาศให้โลกรู้ว่า

การที่จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

มิใช่บังเอิญมิใช่มาเที่ยวเล่นมิใช่มาทุกข์

แล้วพยายามสร้างทางเบี่ยง

หลุดลอยไปเกิดอยู่บนแดนสวรรค์มายา

เพียงเพื่อว่าต้องการจะหนีทุกข์

 

แล้วหลอนตนเองว่า

ถ้าได้ไปเกิดเป็นเทพพรหมอยู่บนนั้นได้

มันคือการ "นิพพาน" ทางจิตวิญญาณแล้ว

ซึ่งเป็นความหลงความเชื่อจนเป็นค่านิยมใหม่

 

ของประดาคนนำทางตาบอดว่า

เส้นทางเทวดาเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง

ทั้งๆที่พระศาสดาไม่ได้สอนไว้แบบนั้นเลย

ตัวชี้วัดความเชื่อผิดๆ

จนสับสนกับบทบาทของนักรบแห่งแสงก็คือ

 

พี่ๆน้องๆผู้หลงทางเหล่านี้

จะมีค่านิยมตั้งชื่อนามให้แก่กันและกัน

เป็นเทพเป็นเทวดาหรือว่าเป็นพรหม

เพื่อบ่งชี้ว่ายังมีชื่อมีชั้นกันอยู่

แล้วเหมาเอาเองดื้อๆว่าไปเกิดบนนั้น

คือ "นิพพาน" แล้ว

 

ทั้งๆที่เพียงแค่ดับหายไปจากโลก

ไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีกเท่านั้นเอง

จิตวิญญาณก็ยังต้องเกิดใหม่

โดยขึ้นไปแขวนลอยอยู่บนนั้นอยู่ดี

 

อัตตาตัวตนก็ยังมีอยู่

ความทุกข์ก็ยังมีอยู่เพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง

 

หน้าที่ทางจิตวิญญาณที่ต้องทำก็มิได้ทำ

กลับละทิ้งหน้าที่จนจิตวิญญาณร้องไห้

 

3. เรายังประกาศให้โลกรู้ไว้ด้วยว่า

พระศาสดาของคนนำทางตาบอดมิได้ตรัสรู้

เรื่อง #อริยะสัจและมรรค หรือ "อริยมรรค"

แต่องค์ธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นสูงส่งยิ่งกว่าอีก

เพราะเป็นองค์ธรรมระดับ "อนุตรธรรม"

นั่นคือเรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" นี่เอง

 

เรายังบอกไว้ด้วยว่า

จิตวิญญาณแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนนั้น

ต้องการให้ "หมุนธรรมจักร"

แทนที่จะ "หมุนกรรมจักร" อยู่ทุกวี่ทุกวัน

ซึ่งการหมุนกรรมจักรนั้น

เกิดขึ้นเพราะการมุ่งกระทำใดๆเพื่อตนเอง

แต่การหมุนธรรมจักรนั้นเป็นการทำเพื่อโลก

ซึ่งเป็นการทำด้วยรักบริสุทธิ์

คือรักเพื่อ "ให้" โดยแท้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เลิกค่านิยมการไปเกิดเป็นเทวดาเทพพรหม

เมื่อตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้วเสียเถิด

เพราะมันเป็นการดำเนินออกนอกลู่

จิตวิญญาณไปแล้วไม่ไปลับ

จะไปต่ออีกก็ไม่ได้และไม่รู้ว่าจะไปไหน

 

ทั้งๆที่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์โลกได้แล้ว

ทุกคนที่สามารถหมุนธรรมจักรกับคนรอบข้างได้

เพียงเท่านี้และไม่มีอะไรมากหรือยากเลย

ท่านผู้นั้นก็ช่วยให้จิตวิญญาณของตนหลุดพ้น

คือ "นิพพาน" อันเป็นที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์

โดยไม่ต้องหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด

ที่พาท่านทั้งหลายเดินหลงทางอยู่อีกต่อไป

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

28-10-2019