12 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สิ่งที่ "คนนำทางตาบอด" ไม่รู้ไม่เห็นว่า

ตนกำลังนำพา "คนตาม" ที่ถูกหลอกว่าตาบอด

เดินออกนอกลู่นอกทางจากที่พระศาสดา

ทรงก้าวนำไว้เป็นแบบอย่างนับพันปีนั้น

ในประเด็นตัวอย่างประการต่อมาก็คือ

 

คนนำทางตาบอดทั้งหลาย

เข้าใจว่าพระศาสดาทรงตรัสรู้เรื่อง "อริยสัจ 4"

ซึ่งรวม "มรรค 8" เอาไว้ในองค์ธรรมนั้นด้วย

จึงพากันมุ่งเน้นสั่งสอนถ่ายทอดธรรมะบทนี้

อย่างจริงจังและทุ่มเทตลอดมานับพันปี

โดยไม่มีผู้ใดฉุกคิดหรือไม่มีใครให้สติเลยว่า

ความเชื่อของพวกเขานั้นมันไม่ถูกต้อง

 

ตามตัวอย่างในบทที่ผ่านมาแล้วนั้น

เราก็ได้ชี้ให้เห็นความจริงของพระศาสดาว่า

พระองค์ทรงค้นพบอริยมรรคดังกล่าวได้

ด้วยวิธีใช้สติปัญญาคิด

ตามหลักแห่ง "อิทัปปัจยตา"

คือพิจารณาปัญหานั้นๆด้วยเหตุด้วยผล

ซึ่งผู้คนธรรมดาทั่วๆไปก็คิดได้ถ้าคิดเป็น

 

โดยที่พระศาสดาเองทรงคิดรู้สัจธรรมบทนี้ได้

ก็ด้วยพระปรีชาตั้งแต่แรกออกบวชใหม่ๆแล้ว

ซึ่งขณะนั้นยังมิได้ตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" เลย

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

คำว่า "พระพุทธเจ้า" นี้เราหมายถึง

 

คำสรรพนามที่ใช้กล่าวสรรเสริญพิเศษ

ต่อผู้ที่มีความเป็นเลิศในการใช้จิตตปัญญา

อันเป็นความฉลาดของสมองทั้งสองซีก

คือสติปัญญาของสมองซีกซ้าย

กับปัญญาญาณของสมองซีกขวา

ที่ใช้ได้เหนือกว่ามนุษย์โลกเสรีโดยทั่วไป

 

เพราะคนนำทางตาบอด

ไปเข้าใจว่าพระศาสดาตรัสรู้อริยมรรค

จึงเล็งเห็นว่าเรื่อง "อริยสัจ 3" กับ "มรรค 8"

เป็นสัจธรรมข้อใหญ่เป็นหัวใจของศาสนา

เลยพากันทุ่มเทกายใจไปทางนี้กันสุดโต่ง

จนพากันหลงผิดต่อไปอีกด้วยว่า

ถ้าใครไม่เข้าใจเรื่องทุกข์คนนั้นไม่ถึงธรรม

โดยนักบวชบางคนยังเคยกล่าวกับเราด้วยว่า

ถ้าโยมยังไม่รู้จักกับความ "ทุกข์" ให้ถ่องแท้

โยมก็อย่าเพิ่งพูดเรื่อง "นิพพาน" เลย

 

ความทั้งหมดที่นักบวชรายนี้กล่าวต่อเรา

เป็นเพราะว่าตัวเขาเองยึดติดอยู่กับความทุกข์

เห็นความทุกข์ในจิตใจตนเป็นเรื่องใหญ่สุด

เห็นความทุกข์ในการเป็นมนุษย์น่ารังเกียจ

จึงได้แต่นึกเหมา "เดาเอง" ว่า

การเกิดมาเป็นคนบนโลกนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ขนาดพระศาสดายังทรงหนีทุกข์ออกบวช

โดยจับเอาเรื่องราวของพระองค์มาปรุงแต่ง

แบบจับแพะชนแกะด้วยวิธี "ปะติด-ปะต่อ"

จนออกนอกรีตนอกรอยพระบาทไปจนไกลลิบ

อย่างไม่รู้สติและไม่รู้สำนึก

ทั้งนี้เพราะ "ตาบอด" ไม่อาจใช้สติปัญญาได้

 

ความมืดบอดประการถัดมาก็คือ

พวกเขาคิดกันอยู่อย่างเดียวว่า

จิตวิญญาณของทุกคนไม่ควรเกิดมาเป็นมนุษย์

เพราะมาเกิดแล้วต้องแก่เจ็บตายต้องเจอปัญหา

ซึ่งมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

โดยที่พวกเขาไม่เคยถามตนเองบ้างเลยว่า

จิตวิญญาณของตนเป็นใคร มาจากไหน

มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม บังเอิญมาเกิด

มาท่องเที่ยวกันบนโลกนี้หรือว่าพลัดหลงเข้ามา

 

เพราะพวกเขาตาบอดคือขาดปัญญา

จึงไม่สามารถเข้าถึงคำตอบในคำถามเหล่านี้ได้

นอกจากนั้นพวกเขายังมีจิตบอดอีกด้วย

เพราะยึดติดครูคนเดียวคัมภีร์เล่มเดียว

จึงไม่ฉลาดพอที่จะคิดได้เองว่า

มีครูหลายคนดีกว่ามีครูคนเดียว

อ่านคัมภีร์หลายเล่มดีกว่าอ่านอยู่เล่มเดียว

ซึ่งเป็นเรื่องสามัญเอามากๆที่น่าจะนึกรู้ได้ว่า

 

พระคัมภีร์เล่มเดียว

ไม่อาจจะบันทึกความรู้ทั้งจักรวาลได้ครบถ้วน

ศาสดาพระองค์เดียว

ไม่อาจจะกล่าวสัจธรรมทั้งจักรวาลได้ครบถ้วน

 

ดังนั้น

มนุษย์ผู้ฉลาดปราดเปรื่องทั้งหลาย

จึงต้องมีครูหลายคนแทนที่จะยึดติดแค่ครูบางคน

ต้องอ่านคัมภีร์หลายเล่มแทนที่จะยึดอยู่เล่มเดียว

 

เพราะคนนำทางตาบอดเอง

ยึดมั่นในครูคนเดียว ยึดคัมภีร์เล่มเดียว

จึงชี้นำให้คนที่ก้าวตาม

หลับหูหลับตาก้าวตามในแบบของตนไปด้วย

 

ทั้งๆที่พระศาสดาทรงตรัสให้สติเอาไว้แล้วว่า

สัจธรรมทั้งหลายที่พระองค์นำมาสอนไว้

มันเป็นแค่ใบไม้ในกำมือของพระองค์เท่านั้น

เท่ากับทรงยืนยันว่า "ใบไม้นอกกำมือ" ยังมีอีก

อย่าได้ยึดติดแต่คำสอนของพระองค์

ให้เรียนรู้ที่จะรับฟังคำสอนของครูคนอื่นด้วย

ในบทสอนที่เกี่ยวกับ "กาลามสูตร" นั้น

พระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้เอง

พวกเขาจึงเป็นคนนำทางตาบอดของท่าน

เพราะสอนให้ท่านเชื่อเพื่อก้าวตามทำตาม

โดยนำเอาพระศาสดามาแอบอ้าง

ทั้งๆที่พระศาสดามิได้สอนไว้เช่นนั้นเลย

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

นอกจากพระศาสดาจะทรงสอนให้

ไม่ยึดติดครูคนเดียว

ไม่ยึดคัมภีร์เล่มเดียวแล้ว

ยังทรงสอนให้ #อัตตาหิอัตโนนาโถ

อันหมายถึงสอนให้รู้จักพึ่งพาตนเองด้วย

 

แต่คนนำทางตาบอดทั้งหลายเหล่านี้

นอกจากจะไม่สอนให้คนที่ก้าวตามพวกตน

รู้จักพึ่งสติปัญญาของตนเอง

รู้จักพึ่งสองมือสองเท้าของตนเอง

รู้จักพึ่งความสามารถของตนเอง

ตามคำสอนของพระศาสดาแล้ว

ยังสนับสนุนให้คนทั้งหลายพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ยังสนับสนุนให้พึ่งพารูปเคารพกับวัตถุมงคล

จนส่วนใหญ่พากันงมงายไปทั่วบ้านทั่วเมือง

 

เพราะชาวบ้านจะติดปัญหาเรื่องปากท้อง

ว่าต้องมาก่อนเรื่องหลักธรรมดำเนินชีวิต

ท่านทั้งหลายจึงจะแลเห็นได้ชัดเจนว่า

ทุกยุคสมัยที่ผ่านมานับพันปีจนบัดนี้

คนที่พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงมีมากกว่า

คนที่รู้จักพึ่งพาตนเองหลายเท่า

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

ก็เพื่อเป็นกระจกส่องเงาที่ชัดใส

สำหรับ "คนนำทางตาบอด" โดยเฉพาะ

ซึ่งนับเป็น "กระจกเงาบานที่สอง" แล้วล่ะนะ

 

ขอสติทางวิญญาณจงบังเกิดแก่คนนำทาง

ผู้ที่ได้อ่านพระโอวาทตอนนี้ด้วยตาทั้งสองดวง

ผู้ที่ได้รับฟังพระโอวาทตอนนี้ด้วยหูทั้งสองข้าง

ผู้ที่รับรู้พระโอวาทตอนนี้ด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง

เพื่อเลิกการเป็นคนนำทางตาบอดเสียที

 

ขณะที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ทรงมีเวลาให้อีกไม่นานที่จะประทานอภัยให้

ก่อนคืนและวันที่มหันตภัยพิบัติจะมาเยือน

ใครรู้สิทธิ์ก็จงรีบใช้สิทธิ์ของตนเถิด

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

12-10-2019