20 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คนนำทางตาบอดควรฉุกคิดกันได้แล้ว

จากการสะกิดของเราในบทที่ผ่านมาว่า

พระศาสดามิได้ตรัสรู้เรื่องอริยสัจสาม

กับมรรคมีองค์แปดในคืนเพ็ญเดือนหกเลย

คืนนั้นพระองค์ทรงคิดรู้สัจธรรมสำคัญ

ที่ทรงหาคำตอบมาตลอดได้ว่า

จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ยังไงเท่านั้น

 

บทที่แล้วเราได้ให้เหตุผล

เพื่อชวนฉุกคิดเอาไว้สั้นๆ

แต่บทนี้เราจะนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้น

ในคืนเพ็ญเดือนวิสาขะนั้น

มาขยายความเพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้นดังนี้

 

1. เป็นองค์ธรรมที่ทรงใช้พระปรีชา

ของสมองซีกซ้ายนำซีกขวาคิดวิเคราะห์

ตามหลักอิทัปปัจยตาคือหลักแห่งเหตุและผล

ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปก็คิดกันได้ถ้าคิดเป็น

 

เพียงแค่มีปัญหาในชีวิตที่ก่อให้เกิดทุกข์

กับความต้องการดับทุกข์อันเกิดจากปัญหา

เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการคิดด้วยปัญญา

จนเป็นที่มาของสูตรสำเร็จอันยิ่งใหญ่

ในการใช้แก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหา

อันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง

คือ อริยสัจสามกับมรรคแปดนั่นเอง

 

2. เป็นองค์ธรรมที่ทรงนำมา

พิจารณาต่อยอดว่า

ถ้าจิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะมีกรรมจากอดีตชาติเป็นกำเนิด

แล้วถ้าจะไม่กลับมาเกิดอีกก็ต้องหยุดก่อกรรม

แล้วถ้าจะหยุดก่อกรรมทำเวรต้องทำอย่างไร

ก็ทรงได้คำตอบเพิ่มอีกว่าจิตวิญญาณนั้น

ต้องว่างไปจากอาสวกิเลสทั้งหมด

นั่นคือสภาวจิตต้องเป็น #สุญตา เท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ทั้งหมดที่เรากล่าวมาในข้อนี้

เป็นขั้นตอนการคิดวิสัชนาของพระศาสดา

ในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะหรือเดือนหกนั่นเอง

 

3. เมื่อทรงได้คำตอบทั้งหมดนั้นแล้ว

พระศาสดาทรงมีมหาปิติเป็นอย่างมาก

ที่ทรงคิดรู้ได้แล้วว่าจะดับการมีสังสารวัฏ

ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงได้ยังไง

นั่นคือต้องชำระจิตให้ว่างไปจากกิเลสตัณหา

อย่างสิ้นเชิงให้จงได้เท่านั้น

 

ดังนั้น

หลังคืนตรัสรู้พระองค์จึงทรงเร่งชำระจิต

เพื่อทำให้จิตว่างไปจากอาสวะกิเลสให้สิ้น

พระองค์จึงทรงใช้ปฏิบัติการทางเท็คนิก

โดยเลือกวิธีปฏิบัติ "สมถะกรรมฐาน"

เพื่อทำการกำหนดจิตให้อยู่ในโอวาทตนเอง

จะได้ไม่ไปข้องแวะกับกิเลสตัณหาราคะง่ายๆ

 

เมื่อฝึกจิตเป็นสมถะจนมีอำนาจเหนือจิต

ในระดับที่สามารถควบคุมจิตตนเองได้แล้ว

พระองค์จึงทรงใช้ปฏิบัติการทางเท็คนิก

อีกขั้นหนึ่งที่เรียกว่า "วิปัสนากรรมฐาน"

โดยอาศัยฌานที่เป็นผลจาก "สมถกรรมฐาน"

กับความฉลาดทางปัญญาในการคิด

เป็นเครื่องมือช่วยกำจัดอาสวกิเลส

จำพวกตัณหา อารมณ์ทั้งปวงและราคะจริต

ให้ดับหายไปจากสภาวจิตจนเป็นสุญตาได้

 

4. เมื่อชำระจิตจนเป็นสุญตาได้สมบูรณ์แล้ว

ทรงมีดำริต่อยอดทางการคิดต่อไปว่า

ถ้ามนุษย์มีกรรมเป็นกำเนิด

แล้วจิตวิญญาณภพชาติแรกที่มาเกิดเป็นมนุษย์

มี "กรรม" อะไรเป็นตัวนำให้กำเนิด

ปรากฏว่าทรงเข้าถึง #อนุตรธรรม อันยิ่งใหญ่ได้

จากคำถามตนเองง่ายๆที่ไม่มีใครคิดเป็น

และไม่มีใครเข้าถึงคำตอบนี้ได้ด้วย

นอกจาก "พระบุตรเอก" พระองค์เดียวเท่านั้น

 

โดยรายละเอียดที่สำคัญนั้น

เราได้เปิดเผยเอาไว้ในบทที่ผ่านมาแล้วว่า

จิตวิญญาณมนุษย์เป็นใคร มาจากไหน

มาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร

ใครอนุญาตให้มาและมาทำหน้าที่อะไรบ้าง

พระศาสดาทรงเข้าถึงคำตอบได้ทั้งหมด

 

5. สัจธรรมความจริงระดับอนุตรธรรมเหล่านี้

พระองค์ทรงใช้จิตกับสมองส่วนกลาง

สั่นสะเทือนสมองทั้งระบบด้วยความถี่สูงมาก

จนเปิดมิติการใช้ปัญญาแห่งพญาอินทรี

ทะลุผ่านจักระที่เจ็ดหรือจักระเพชร

จนสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลได้สำเร็จ

 

เพื่อติดต่อขอรับคำตอบจากองค์ความรู้สูงสุด

คือ องค์จิตจักรวาลหรือพระผู้เป็นเจ้าได้

ซึ่งตามปกติแล้วจะไม่มีมนุษย์คนใด

สามารถใช้ปัญญาสูงสุดในระดับนี้ได้

เพราะสภาวะจิตของมนุษย์ไม่เป็นสุญตา

นอกจากพระบุตรเอกแห่งองค์จิตจักรวาล

อย่างเช่น องค์เยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

ที่สามารถใช้ช่องทางพิเศษนี้ติดต่อกับพระเจ้า

เพื่อนำพระโอวาทมากล่าวต่อชาวโลก

โดยทรงถือติดตัวมากับจิตวิญญาณ

มาจุติเป็นมนุษย์เพื่อทำหน้าที่บุตรเอกด้วย

 

ปรากฏว่าคำตอบที่พระองค์ได้รับ

ซึ่งทรงสามารถ "ล่วงรู้" หรือ "ล้วงความรู้" มาได้

โดยไม่ต้องคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์เลย

ซึ่งองค์สัจธรรมระดับอนุตรธรรม

ที่ทำให้พระองค์ทรงมีมหาปิติเป็นที่สุดก็คือ

ความรู้ที่ว่า.....

 

ในการมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกนั้น

จิตวิญญาณมิได้มีกรรมเป็นกำเนิด

แต่จิตวิญญาณมาเกิดเพราะขันอาสา

เข้ามาทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

โดยถือพันธะสัญญา 6 คือ ภารกิจ 6 อย่าง

ที่ต้องทำให้สำเร็จร่วมกันกับมนุษย์คนอื่นๆ

ซึ่งจะทำสำเร็จได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน

หมุนธรรมจักรในตนเองให้ได้ก่อน

เมื่อทำได้แล้วก็จะเป็นเงื่อนไขให้คนรอบข้าง

หมุนธรรมจักรในตนเองต่อๆกันไปเรื่อยๆได้

 

เมื่อมนุษย์ร่วมกันหมุนธรรมจักรเป็นผลสำเร็จ

พลังงานแห่งความรักที่ได้จากการหมุนร่วมกัน

จะยังผลให้ดาวเคราะห์โลกเหวี่ยงหมุนตาม

จนหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องด้วยความเร็วคงที่ได้

 

พระองค์เข้าถึงอนุตรธรรมได้

ด้วยองค์ปัญญาที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป

เช่นเดียวกันกับพระบุตรเอกแห่งองค์จิตจักรวาล

โดยทรงเรียกว่า #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ซึ่งพระศาสดาทรงตั้งชื่อองค์สัจธรรมบทนี้ว่า

#ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร

อันหมายถึงหลักการหมุนธรรมชาติในตนเอง

ร่วมกันกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ

เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตนเองต่อเนื่อง

ในการค้ำจุนสมดุลโลกด้วยความรัก

 

6. ดังนั้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

หลังจากพระองค์ตรัสรู้องค์ธรรมนี้ได้

ภายในเวลาราวสองเดือนหลังวันตรัสรู้แล้ว

จึงทรงติดต่อสื่อสารทางจิตกับปัญจวัคคีย์

ศิษย์สาวกของพระองค์เอง

เพื่อนัดหมายว่าพระองค์จะเสด็จไปพบ

ณ ป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน ชานกรุงพาราณสี

เพื่อบอกกล่าวอนุตรธรรมพิเศษนี้แก่พวกเขา

 

เพราะเหตุนี้เอง

ปัญจวัคคีย์จึงเป็นมนุษย์ 5 คนแรก

ที่ได้รับรู้รับทราบความจริงที่จริงแท้

ที่ทรงตรัสว่ารู้แล้วนี้ก่อนใครเพื่อน

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เรามีข้อสังเกตให้ท่านเรียนรู้ความจริง

ในด้านตรงข้ามกันกับความเชื่อ

ของประดาคนนำทางตาบอดตั้งแต่อดีตว่า

 

1. คนนำทางตาบอด

ไม่เคยทำความเข้าใจองค์ปัญญา

ที่เรียกว่า "อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ"

ที่พวกเขาก็กล่าวอยู่เองว่า

พระศาสดาตรัสรู้ด้วยปัญญานี้

ให้กระจ่างสว่างกมลที่ทุกคนเข้าใจได้ว่า

มันต่างจากสติปัญญาและปัญญาญาณยังไง

 

2. คนนำทางตาบอด

เมื่อกล่าวถึงรายละเอียดเรื่อง

"ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" พวกเขาก็จะนำเอา

องค์ธรรมเรื่องอริยสัจสามกับมรรคแปด

มาสาธยายขายความรู้ที่ผิดพลาดอยู่เสมอ

 

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังให้นิยามที่คับแคบ

ด้วยสมองซีกซ้ายนำซีกขวาด้วยว่า

"ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" นี้

พระศาสดาทรงหมายถึงอาณาจักรแห่งธรรม

ที่มนุษย์ต้องถือครองอริยสัจและมรรคเท่านั้น

อันเป็นที่มาของ "ธงธรรมจักร"

ซึ่งเป็นกงล้อที่มีซี่ล้อรวมทั้งสิ้น 12 ซี่

ทั้งๆที่ตามจริงแล้วน่าจะเป็น 11 ซี่ด้วยซ้ำ

(เพราะอริยสัจมี 3 บวกกับมรรคมี 😎

 

เมื่อคนนำทางตาบอดไม่รู้ว่า

จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะขันอาสาพระบิดามาหมุนธรรมจักร

เพื่อใช้ความรักเมตตาค้ำจุนโลกให้สงบสมดุล

พวกเขาจึงไม่เคยกล่าวสอนคนก้าวตาม

ที่หลับตาก้าวตามกันอยู่แล้วให้ได้รู้

เพราะคนนำทางตาบอดเองก็ไม่รู้ว่าตนไม่รู้

 

ดังนั้น

ตลอดระยะเวลานับพันปีที่ผ่านมา

ทั้งคนนำทางตาบอดและคนก้าวตามตาบอด

จึงพากันหลงทางนิพพาน

โดยหลุดลอยไปติดค้างกันบนสวรรค์มายา

พากันเดินวกวนเหมือนคนขึ้นเขาวงกต

ใช้เวลาเดินอยู่นานก็ไปไม่ถึงยอดสุดสักที

เหมือนว่าพวกเขากำลังเดินขึ้นเขาพระสุเมรุ

ที่เป็นภูเขาสูงใหญ่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที

 

นอกจากนั้น

พวกเขาเองยังไม่ฉุกคิดอีกด้วยว่า

ใยพระศาสดาอนุญาตให้สร้างพระพุทธรูป

เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ได้

ทั้งๆที่พระองค์เองทรงสอนให้ละเลิก

การยึดติดอัตตาตัวตนมายาทั้งหลาย

โดยทรงเน้นให้ยึดองค์ธรรมคำสอนแทน

เพราะมันเสี่ยงต่อความงมงาย

ทำให้จิตสกปรกด้วยอาสวะกิเลสกันอีก

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

พระพุทธรูปที่เป็นมายาแทนพระศาสดานั้น

จะมียอดแหลมอยู่บนพระเศียร

ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปที่มีเสาอากาศ

เพื่อรับคลื่นสัญญาณจากอวกาศ

ไม่ต่างจากเสาอากาศวิทยุทีวีที่บ้านของท่าน

มีไว้เพื่อรับคลื่นสัญญาณวิทยุโทรทัศน์นั่นเอง

 

นี่คือความแยบยลของพระศาสดา

ที่ไม่ปรารถนาจะใช้เวลาอธิบายว่า

อนุตรธรรมเรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" นี้

พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยองค์ปัญญาอะไร

ทรงได้รับความรู้นี้มาจากใครที่ไหนกัน

เพราะมันเป็นเรื่องส่วนพระองค์

สู้ใช้เวลากล่าวสัจธรรมที่ค้นพบได้

จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่า

 

ดังนั้น

พระองค์จึงทรงเห็นควรให้

สร้างพระพุทธรูปมายาของพระองค์

มียอดแหลมคล้ายเสาอากาศ

ที่มีลักษณะเป็นดั่งเปลวเพลิง

ติดตั้งอยู่บนพระเศียรดั่งสวมชฎา

ตามทิศทางของคลื่นการคิด

ที่พุ่งผ่านขึ้นไปเหนือศีรษะสู่จักรวาล

 

โดยทรงคาดหวังว่า

คนฉลาดเมื่อได้เห็นมายานี้

จะได้ฉุกคิดกันว่า

 

พระองค์ทรงบรรลุอนุตรธรรมได้

ด้วยการใช้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ติดต่อสื่อสารกับมหาคุรุแห่งจักรวาล

คือ องค์จิตจักรวาล

พระผู้เป็นคลังแห่งสัจธรรมทั้งปวง

ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพนี้ได้

จนเป็นที่มาของประโยคที่ว่า

#เหนือฟ้ายังมีฟ้า

 

นั่นคือ

เหนือพระศาสดาก็ยังมีพระผู้เป็นเจ้า

พระศาสดามิใช่ผู้เป็นใหญ่สุดในจักรวาล

พระศาสดาจึงมิใช่พระผู้เป็นเจ้า

ตามที่คนนำทางตาบอด

นำพาพวกท่านหลงเชื่อกันมานานนับพันปี

 

นอกจากนั้น

คนนำทางตาบอดก็ยังไม่รู้ด้วยว่า

ทำไมจึงต้องจุดธูป 3 ดอก หรือ 6 และ 9

ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

นอกจากจะคิดเองเออเองเท่านั้นว่า

พระศาสดาคงหมายถึงการบูชาพระรัตนตรัย

อันประกอบด้วยองค์สาม คือ

พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

 

แต่แท้จริงแล้วธูปที่จุดทั้ง 3 ดอก

ในทุกพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นั้น

สมัยโบราณผ่านมาพราห์มกับฮินดู

กับประดาฝ่ายลัทธิเทวนิยมทั้งหลายนั้น

เขาหมายถึงการจุดบูชาเทพเจ้าของเขา

คือ พระอิศวร พระศิวะ และพระนารายณ์

 

แต่สำหรับพระศาสดาของท่านนี้

ทรงจุดธูปเพื่อน้อมระลึกถึงพระคุณพระบิดา

อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด

ซึ่งทรงสถิตพระองค์ดำรงอยู่

ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของดาวเหนือ

โดยจุดแดงๆ 3 จุดของธูปที่ปักไว้

เมื่อมองจากฟ้าจะเห็นเป็นรูปสามเหลี่ยม

ที่ผู้จุดได้ทำเป็นปฏิบัติบูชาเสมอนั้น

แท้แล้วเป็นการทำสามเหลี่ยม

กับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้เป็นเจ้า

ไม่ต่างจากพี่ๆน้องชาวคริสต์

ทำเครื่องหมายสำคัญรูปสามเหลี่ยม

เพื่อเชื่อมโยงตนเองกับโลกไว้กับพระเจ้า

ทุกๆครั้งที่กล่าว เอเมน อามีน

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

บัดนี้โลกและจิตวิญญาณของพวกท่าน

ถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว

ท่านต้องนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน

โดยหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาลนี้ให้ได้

 

แต่ถ้าท่านยังเดินหลงทางกันอยู่

ท่านยังหลับหูหลับตาโดยไม่ยอมฟังเรา

ท่านยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ

ท่านยังจำผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณไม่ได้

ท่านยังทำตัวเหมือนลูกกำพร้ามานับพันปีแล้ว

ท่านยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของท่านเป็นใคร

ท่านยังไม่รู้หน้าที่ว่าท่านต้องหมุนธรรมจักร

ท่านยังไม่รู้ว่าหมุนธรรมจักรอย่างไร

ฯลฯ

 

ท่านทั้งหลายจะมิอาจหลุดพ้นกลับบ้านได้

ท่านทั้งหลายจะตกอยู่ในบึงไฟ

ท่านทั้งหลายจะถูกทิ้งลงไปในบ่อย่ำองุ่น

เมื่อแผนปฏิบัติการชำระโลกเพื่อเปลี่ยนยุค

ดำเนินมาถึงพิกัดที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่

ในวันเวลาอีกไม่ช้าไม่นานแล้ว

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

20-10-2019