15 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สิ่งที่ "คนนำทางตาบอด" ไม่รู้ว่า

กำลังนำพาคนที่หลับตาก้าวตาม

เดินออกนอกลู่นอกทางจากที่พระศาสดา

ทรงตรัสสอนไว้มานานนับพันปีนั้น

 

ยังมีประเด็นสำคัญอยู่อีกอย่างหนึ่ง

ซึ่งคนนำทางตั้งแต่รุ่นแรกๆมาแล้ว

ได้ "ตีความ" คำสอนพระศาสดา

ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

 

จนทุกวันนี้

ความผิดพลาดนั้นได้สร้างความเสียหาย

ต่อจิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะล้มเหลวในภารกิจของจิตวิญญาณ

อย่างสิ้นเชิง

 

ความผิดพลาดนั้นได้สร้างความเสียหาย

ต่อดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ทั้งระบบ

เพราะมนุษย์เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกไม่ได้

จึงยังผลให้โลกเสียสมดุลรุนแรงขึ้นทุกวัน

 

นอกจากนั้นความผิดพลาดเดียวกันนี้

ยังสร้างความเสียหายต่อ "อนันตจักรวาล"

หรือ "เอกภพ" ที่่เป็นระบบใหญ่อีกด้วย

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ความผิดพลาดที่สร้างความเสียหาย

ทั้งสามมิติที่เรากล่าวมาแล้วนั้น

เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะคิดเชื่อมโยง

ด้วยจิตตปัญญาของเครื่องยนต์แห่งกรรมได้

ที่ผ่านมานับพันปีจึงไม่มีใคร "ฉุกคิด" มาก่อน

 

สัจธรรมที่คนนำทางตาบอด

ตีความผิดพลาดจนเกิดความเสียหาย

เราจะเริ่มต้นพิจารณาตรงบรรทัดที่ว่า

 

หลังจากพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว

ในวันเพ็ญเดือนหกหรือวันวิสาขบูชา

ก็ได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์

ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

และได้แสดงธรรมเทศนากัณฑ์แรก

คือ #ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร

ณ วันเพ็ญเดือน 8

คือวันอาสาฬหบูชานั่นเอง

 

พวกเขาได้อธิบายความเอาไว้ว่า

"ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร"

ที่พระองค์แสดงปฐมเทศนาต่อปัญจวัคคีย์นั้น

ประกอบด้วยสัจธรรมซึ่งกล่าวถึงที่สุด 2อย่าง

อันบรรพชิตไม่ควรปฏิบัติคือ

 

1. การลุ่มหลงมัวเมาในกาม

2. การทรมานตนให้ลำบากเปล่า

3. มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางที่ควรดำเนิน

คืออริยสัจสี่และมรรคมีองค์แปด

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

#ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร

ที่พระองค์แสดงปฐมเทศนา

โปรดปัญจวัคคีย์นั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน

กับสิ่งที่คนนำทางตาบอด

บันทึกไว้ในคัมภีร์ที่สืบสอนต่อๆกันมาถึงยุคนี้

ตามที่เรายกมาอ้างอิงไว้ข้างต้นแล้ว

 

ท่านทั้งหลายคงยังจำกันได้ว่า

ในตอนที่ผ่านมาเราได้กล่าวถึงแผนที่การคิด

ตามลำดับขั้นตอนการตรัสรู้ของพระศาสดา

ในวันเพ็ญเดือนหกหรือเดือนวิสาขบูชา

ซึ่งสามารถกล่าวโดยสังเขปได้ดังนี้คือ

 

1. ยามแรกทรงหยั่งรู้ได้ว่า...

ได้ผ่านการเกิดเป็นมนุษย์มาหลายภพชาติแล้ว

ภพชาติปัจจุบันของพระองค์จึงมิใช่ชาติแรก

มนุษย์โลกทุกคนก็เป็นแบบเดียวกันกับพระองค์

 

ดังนั้น

ที่เคยมองว่าการมีสังสารวัฏเป็นเหตุแห่งทุกข์

จึงมิใช่พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

คนทั้งโลกก็มีประสบการณ์แบบเดียวกัน

 

พระองค์จึงมีคำถามต่อตนเองว่า

อะไรเป็นเหตุให้ตายแล้ว

จิตวิญญาณต้องกลับมาเกิดให้ทุกข์อีก

 

2. ยามสองทรงหยั่งรู้ได้ว่า...

มนุษย์ทุกคนล้วน #มีกรรมเป็นกำเนิด

จึงสังเคราะห์สัจธรรมนี้ด้วยปัญญาญาณได้ว่า

ถ้ายังก่อกรรมทำเวรกันอยู่ไม่รู้วิธียุติกรรม

การตายแล้วเกิดใหม่ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป

 

พระองค์จึงมีคำถามต่อตนเองว่า

กรรมเวรเกิดจากอะไร

จึงเป็นเหตุให้เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว

จิตวิญญาณต้องกลับมาเกิดใหม่อีก

 

3. ยามสามทรงวิเคราะห์ได้ว่า

กรรมเวรที่ทำให้จิตวิญญาณต้องเกิดใหม่

มาจาก "อาสวะกิเลส" ภายในจิตใจของตน

เป็นตัวก่อกรรมทำเหตุทั้งสิ้น

 

ดังนั้น

ในยามสามนี้เองพระองค์จึงใช้องค์ปัญญา

ที่ได้จากการสั่นสะเทือนสมองทั้งสองซีก

ทำการชำระอาสวะกิเลสภายในจิตใจจนสิ้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เมื่อพระองค์ทรงชำระจิตจนสว่างใสได้แล้ว

แสดงว่าพระองค์สามารถอยู่เหนือกรรมได้

เมื่อทรงสามารถอยู่เหนือกรรมได้แล้ว

ก็ทรงเป็นอิสระจากกฎแห่งกรรมได้เช่นกัน

 

เมื่อทรงสามารถอยู่เหนือกรรมได้

เพราะจิตว่างไปจากอาสวะกิเลสตัณหา

ทำให้การก่อกรรมใหม่จึงไม่มี

แต่เนื่องจากทรงหยั่งรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า

พระองค์ยังคงมีกรรมเก่าค้างคามาจากอดีตอยู่

กรรมเก่านั้นจึงหนุนส่งให้พระองค์มาเกิดใหม่

แต่ถ้าจะตายแล้วไม่กลับมาเกิดใหม่อีก

กรรมเก่าที่ทรงถือติดตัวมาด้วย

จักต้องชำระให้หมดสิ้นด้วยเช่นกัน

จึงจะบรรลุมรรคผลสูงสุดคือ "นิพพาน" ได้

 

ด้วยเหตุนี้เอง

หลังจากคืนวันวิสาขะบูชา

ที่ทรงตรัสรู้ความจริงเหล่านี้แล้วในสองเดือน

พระองค์ใช้เวลาทั้งหมดนั้นชำระกรรม

ที่ติดค้างมาจากอดีตชาติจนหมดสิ้น

ด้วยจิตปัญญาปาฏิหาริย์ของพระองค์นั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

สัจธรรมที่พระองค์ทรงคิดค้นมาได้

ทั้งสัจธรรมระดับโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม

รวมทั้งองค์ธรรมอันเกิดจากการหยั่งรู้ด้วยจิต

ที่ต้องใช้พลังฌานสมถะขั้นสูงสุดนั้น

พระองค์ทรงเข้าถึงได้

ด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย

กับปัญญาญาณของสมองซีกขวา

ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้

ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์แล้ว

 

หลังจากนั้นก่อนถึงวันเพ็ญเดือนแปด

ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชาเพียงไม่กี่วัน

พระองค์ก็ทรงมีคำถามตนเองอีกว่า

 

ในภพชาติแรก

ที่จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

ยังไม่ได้ก่อกรรมทำเวรอะไรไว้

จนเป็นเหตุให้ต้องถือกำเนิดชาติภพเลย

แล้วอะไรเป็นเหตุให้จิตวิญญาณต้องมาเกิด

ทำไมจิตวิญญาณต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

 

เพราะคำถามสำคัญ 2 ประการนี้

จึงเป็นที่มาขององค์ธรรมอันยิ่งใหญ่

ที่จะกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า

สัจธรรมบทที่ว่านี้พระองค์ทรงตรัสรู้ได้จริงๆ

อันเป็นสิ่งที่คนนำทางตาบอดทั้งหลาย

ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าสัจธรรมองค์นี้คืออะไร

พระศาสดาทรงหมายถึงอะไรอย่างไร

นั่นคือ "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" นี่เอง

 

เห็นทีจะต้องกล่าวต่อตอนหน้า

เพราะว่าความบทนี้ยาวเกินไปแล้วล่ะนะ

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

15-10-2019