17 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เราได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่า

สัจธรรมสูงสุดที่พระศาสดาตรัสรู้ได้นั้น

มิใช่อริยสัจสี่กับมรรคมีองค์แปด

อย่างที่คนนำทางจากบรรพกาล

เชื่อกันมาอย่างนั้นสอนต่อกันมาอย่างนั้น

 

โดยเราได้ชี้แจงแสดงเหตุผล

เอาไว้สรุปความได้ว่า

 

1. "อริยสัจสาม" กับ "มรรค" มีองค์แปดนั้น

เป็นสัจธรรมความจริงที่จริงแท้

ที่พระองค์ทรงคิดรู้ได้ด้วยสติปัญญา

ของสมองซีกซ้่ายนำซีกขวา

ตามหลักแห่งอิทัปปัจจยตา

ซึ่งเป็นวิธีคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล

ที่มนุษย์ทุกคนถ้ามีตะเกียงไม่ไร้น้ำมัน

และจุดตะเกียงได้คือนึกเป็นและคิดเป็น

ก็สามารถที่จะเข้าถึงคำตอบนี้เองได้

 

เรายังได้ขยายความให้แล้วอีกด้วยว่า

"อริยสัจ" มีเพียง 3 ประการเท่านั้น คือ

ทุกข์ สมุทัย และนิโรธ

ทั้งสามประการนี้เป็น "สูตรสำเร็จ"

ที่ใช้จัดการกับทุกปัญหาที่เผชิญในชีวิต

จนเป็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ที่ในใจได้

 

นอกจากนั้นเรายังบอกให้รู้ด้วยแล้วว่า

"มรรค" ที่เป็น "สัมมา" ทั้งแปดประการนั้น

เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม

ด้วยวิธีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

โดยไม่สร้างเงื่อนไขด้านลบต่อคนรอบข้าง

ซึ่งเป็นวิธีที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต

เพื่อมิให้นำปัญหาน้อยใหญ่มาสู่ตนเอง

จากการต่อสู้ ตอบโต้และต่อต้านอย่างรุนแรง

ของคนรอบข้างของตนนั่นเอง

 

2. ทั้ง "อริยสัจสาม" กับ "มรรคแปด" นี้

เป็นเพียงสัจธรรมระดับโลกิยธรรมเท่านั้น

ที่มนุษย์โลกสามารถใช้เป็นสูตรสำเร็จ

ในการครองตนอย่างสงบสุขไร้ทุกข์ได้

และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสันติสุขได้

โดยไม่มีอะไรสลับซับซ้อนเลย

 

3. ทั้ง "อริยสัจสาม" กับ "มรรคแปด" ที่ว่านี้

พระองค์เข้าถึงได้ตั้งแต่แรกที่ทรงออกบวช

ในขณะที่ยังมิได้ถึงกาลตรัสรู้เลยด้วยซ้ำไป

 

โดยกระจกส่องเงา "บานที่สี่" ตอนที่แล้วนั้น

เราก็ได้ฉายเงากระบวนการคิดต่อยอด

อริยสัจสี่กับมรรคมีองค์แปดที่พระองค์รู้แล้ว

เพื่อเข้าถึงความจริงอันสูงสุดแห่งสัจธรรมนี้

โดยทรงใช้ญาณหยั่งรู้จากพลังจิตขั้นสูง

สั่นสะเทือนสติปัญญาและปัญญาญาณ

ซึ่งเป็นพลังอำนาจของสมองสองซีกที่มีอยู่

จนบรรลุการรู้แจ้งสูงสุดได้ว่า

 

เพราะจิตที่ครอบคลุมไว้ด้วยอาสวะกิเลส

เป็นที่มาแห่งตัณหาคือความอยากไม่อยาก

จนนำไปสู่การก่อกรรมทำผิดบาป

จนนำไปสู่ความทุกข์ยากทั้งหลายในชีวิต

ทั้งของตนเองและผู้อื่นตลอดมา

 

จึงทำให้พระองค์ทรงคิดรู้ได้ว่า

ผลกรรมที่ก่อขึ้นนั้นเป็นเหตุแห่งการเกิดใหม่

ที่ได้ความว่า "มนุษย์ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด"

ซึ่งเป็นเงื่อนไขให้จิตวิญญาณต้องมีสังสารวัฏ

จนไม่รู้จักจบสิ้นเพราะยุติกรรมกันไม่ได้

 

ในประการต่อมาก็ทรงรู้ด้วยว่า

ความทุกข์ทั้งหลายในชีวิตมิใช่สิ่งน่ากลัว

มิใช่สิ่งน่ารังเกียจที่จะต้องเลี่ยงหนีเลย

เพราะทรงรู้แล้วว่าใครๆก็ต้องเผชิญกันทั้งนั้น

มิใช่มีเพียงแค่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว

 

ทั้งทุกข์มากทุกข์น้อยทุกข์หนักทุกข์นาน

มนุษย์ก็สามารถจะจัดการกับความทุกข์นั้นๆได้

ด้วยวิธีแก้ปัญหาซึ่งเป็นที่มาแห่งทุกข์ให้ลุล่วง

ด้วยสูตรแห่ง "อริยสัจสาม" ที่ทรงค้นพบ

 

กับการไม่สร้างปัญหาใดๆให้ตนเอง

ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาด

โดยไม่สร้างเงื่อนไขด้านลบ

ที่จะไปรบกับคนรอบข้างได้อย่างเบ็ดเสร็จ

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ในราตรีทีตรงกับคืนเพ็ญเดือนหกนั้น

พระองค์ยังมิได้ทรงนึกคิดอะไรต่อไปอีก

เพราะทรงใช้เวลา "ปีติ" ในสัจธรรมที่ค้นพบ

จากการที่ทรงเพิ่งเข้าถึงคำตอบสำคัญ

ที่ทรงค้นคว้าหาความจริงมายาวนานได้

 

แต่หลังจากเพ็ญเดือนหกไม่เกินสองเดือน

ขณะที่พระองค์ทรงเจริญกรรมฐานวิสัชนาอยู่

จู่ๆพระองค์ทรงมีคำถามต่อตนเองขึ้นมาว่า

 

แม้พระองค์จะจัดการอาสวะกิเลสให้ดับสิ้น

จนไม่เป็นเหตุแห่งการก่อกรรมใหม่ขึ้นมาได้

และการได้รู้ด้วยว่า "ผลกรรม" จากอดีตชาติ

ที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิดด้วยนั้น

จักต้องถูกชำระให้หมดสิ้นไปภายในภพชาตินี้

ซึ่งพระองค์ก็กำลังเร่งดำเนินการอยู่แล้วนั้น

ถ้าหากชำระกรรมเก่าได้หมดสิ้นเมื่อใด

พระองค์จะทรงดับการเกิดใหม่ได้เมื่อนั้น

 

คำถามเด็ดที่ทรงนึกถามตนเองขึ้นมา

ก็คือคำถามที่ว่า..........

 

"จิตวิญญาณของตน

มาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกได้อย่างไร"

 

ในเมื่อมนุษย์ทุกคน #มีกรรมเป็นกำเนิด

แล้วจิตวิญญาณมี "กรรม" อะไรเป็นกำเนิด

จึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้ด้วย

โดยที่ในความคิดดำริของพระองค์นั้น

ไม่มีเรื่องของ "ทุกข์" เข้ารบกวนความคิดเลย

 

ด้วยพลังอำนาจแห่งจิตระดับสุญตา

กับความปรีชาในการใช้ความฉลาดของสมอง

บวกกับความฉลาดนึกคิดตั้งคำถามตนเอง

เพราะพลังทั้งสามประการดังกล่าวนี้

จึงยังผลให้จิตหยาบเข้าถึงอำนาจสูงสุดได้

จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ

ไปช่วยกันสั่นสะเทือนสมองพร้อมกันทั้งระบบ

ไม่มีการแยกทำงานเป็นซีกซ้ายซีกขวาอีก

 

ผลปรากฏว่ามิติทางจิตตปัญญาของพระองค์

ในการสร้างความสัมพันธ์กับองค์จิตจักรวาล

เพื่อการติดต่อสื่อสารกับผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ

ซึ่งพระบิดาทรงเป็นผู้กำกับมิติอยู่

ถูกเปิดออกผ่านจักระที่เจ็ดตรงต่อมพิทูอิทารี

อันเป็นฐานสถิตย์ของจิตวิญญาณในทันที

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

มนุษย์โลกทั่วไปที่สภาวะจิตไม่ถึงขั้นสุญตา

จะไม่สามารถเข้าถึงมิติการใช้ปัญญาพิเศษ

ด้วยช่องทางพิเศษที่ว่านี้ได้เลย

นอกจากพระบุตรเอกที่พระบิดาส่งมาจุติ

ให้ทำหน้าที่กล่าวพระโอวาทแทนพระองค์

ในยุคที่จิตสามนึกมนุษย์โลกตกต่ำมากเท่านั้น

 

พระบุตรเอกจะถือเครื่องมือสำคัญนี้ติดตัวมาด้วย

เพื่อติดต่อสื่อสารกับพระบิดาหรือพระเจ้า

ขณะกล่าวพระโอวาทต่อมนุษย์โลก

ดังเช่นองค์เยซูคริสต์เจ้า เป็นต้น

 

ดังนั้น

พลังอำนาจทางจิตตปัญญา

อันเกิดจากพลังจิตขั้นสุญตา

จนเปิดประตูมิติแห่งการคิดช่องทางพิเศษนี้ได้

พระบิดาทรงเรียกว่า #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

 

นี่เป็นความฉลาดสูงสุด

ที่มนุษย์จะน้อมนำความรู้จากมหาคุรุแห่งจักรวาล

เข้าสู่กระบวนการคิดของตนได้ในระบบจิตสู่จิต

ทั้งสัจธรรมระดับโลกิยะธรรมโลกุตรธรรม

จนกระทั่งสัจธรรมสูงสุดที่มนุษย์คิดเองไม่ได้

นั่นคือสัจธรรมความจริงระดับ #อนุตรธรรม เป็นต้น

 

คำตอบที่พระองค์ได้รับมา

ผ่านกระบวนการคิดขอคำตอบจากมหาคุรุ

เป็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรมพอสังเขปก็คือ

 

ในภพชาติแรกนั้น

จิตวิญญาณแบ่งภาคมาจากจิตจักรวาลดวงเล็ก

เพื่อขันอาสาพระบิดาที่เป็นจิตจักรวาลดวงใหญ่

ลงมาจุติเป็นคนสองมิติบนโลกเสรี

ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพระบบใหญ่นี้

เพื่อทำหน้าที่แทนพระบิดาหรือพระผู้สร้าง

ในการใช้ความรักความเมตตา "ค้ำจุนโลก"

และสร้างจิตสำนึกให้โลกเพื่อช่วยให้โลกมีอำนาจ

ในการค้ำจุนจุดศูนย์กลางเอกภพเอาไว้

เพื่อรักษาความสมดุลของอนันตจักรวาล

ให้มั่นคงยั่งยืนตลอดกาลนิรันดร์

 

โดยทรงทราบด้วยว่า

ถ้าจิตวิญญาณโดยมนุษย์จะทำหน้าที่นี้ได้

ทุกคนจะต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์ก่อน

วิธีการ "คน" คือการหมุนธรรมจักรในตนเอง

หมุนด้วยจิตที่สั่นสะเทือนเป็นความรักเมตตา

ดั่งพระวจนะที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"

ซึ่งพระองค์ได้นำสัจธรรมชั้นสูงบทนี้

ไปแสดงปฐมเทศนาต่อปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก

ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อเพ็ญเดือนมาฆะ

โดยพระองค์ให้ชื่อองค์ธรรมนี้ว่า

#ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร

 

เพราะสัจธรรมขั้นสูงสุดเป็นอนุตรธรรมบทนี้

ต้องใช้องค์ปัญญาขั้นสูงสุดเหนือมนุษย์ปกติ

จึงจะสามารถเข้าถึงคำตอบมาได้

เพราะคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถคิดรู้เองได้

จึงเป็นสิ่งที่ระดับพระศาสดาเท่านั้นแหละ

ที่จะตรัสได้ว่าพระองค์ทรงรูัแล้ว...รู้แล้ว

 

ทรงรู้ได้โดยไม่ต้องคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์

เพียงแต่นึกคำถามก็ได้ความรู้นั้นมาแล้ว

พระองค์จึงทรงออกอุทานว่ารู้แล้วๆๆ(ตรัสรู้)

ด้วยความมีมหาปิติเอาไว้เช่นนั้นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ที่เรากล่าวว่า

พระศาสดามิได้ทรงตรัสรู้อริยสัจสาม

กับมรรคมีองค์แปดนั้นไม่ผิดหรอก

เพราะเป็นสัจธรรมระดับโลกิยะธรรม

ที่มนุษย์โลกทุกคนหากคิดเป็นก็คิดได้

 

แต่ "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" นี่ต่างหาก

ที่ทรงตรัสรู้ได้ด้วย "อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ"

มิใช่ด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้ายนำขวา

หรือปัญญาญาณของสมองซีกขวานำซ้าย

 

น่าเสียดายที่คนนำทางตั้งแต่กาลอดีต

พากันหลงผิดเลอะลืมและสับสน

มัวแต่วกวนวุ่นวายอยู่แต่เรื่องทุกข์

จึงต้องเป็นคนนำทางตาบอด

พาคนตาบอดหลงทางไปนิพพาน

หลุดลอยไปเกิดบนสวรรค์มายาแทน

 

พอพบว่าอยู่ตรงนั้นก็ยังทุกข์อยู่

จะกลับลงมาก็ไม่ได้จะไปต่อก็ไม่ง่าย

จนนิพพานทางจิตวิญญาณกลับบ้านกันไม่ได้

ตราบกระทั่งบัดนี้จนจวนจะสิ้นยุคแล้ว

ก็ยังเกาะแน่นกันอยู่จนยากที่จะ "แกะ"

 

พระศาสดาทุกพระองค์เป็นของสูง

ไม่ว่าพระองค์ใดก็ตามล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

เรารู้จักพระศาสดาทุกพระองค์

เพราะเรามาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เรามาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง

 

ดังนั้น

ท่านทั้งหลายจักต้องขบคิดเอาไว้ด้วยว่า

 

คนที่อยู่ต่ำยิ่งมองต่ำจะมองไม่เห็นสูง

คนที่อยู่สูงแต่มองต่ำจักมองไม่เห็นสูง

คนที่อยู่สูงมองสูงเป็นจึงจะเห็นสูงได้

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

17-10-2019